ค่ำคืนหลังหวยออกกลางเดือนสิงหาคม วันที่ใครหลายคนไร้โชคไร้ความหวัง เช่นเดียวกับปังปอนด์ สาวน้อยวัย 11 ปี ที่วันนี้โชคไม่ดีนัก เธอเดินเร่ขายช้างไม่ได้ตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ นั่นหมายความว่าวันพรุ่งนี้เธอคงจะไม่ได้ไปเรียนหนังสืออีกตามเคย
ก่อนการระบาดของโควิด 19 ปังปอนด์พักอาศัยอยู่กับเจ๊หมี ในบ้านหลังเล็กๆ กลางชุมชนวัดโคกพระยา เจ๊หมีมีอาชีพพับดอกไม้ขายอยู่หน้าทางเข้าวิหารพระมงคลบพิตร ก่อนจะล้มป่วยติดเตียง ปังปอนด์จึงตัดสินใจออกมาเดินเร่ขายของในช่วงวันหยุดเสาร์อาทิตย์ เพื่อหารายได้เลี้ยงดูบุคคลที่เธอรักและเคารพเหมือนพ่อแม่
ในช่วงเวลาที่ยากลำบากของชีวิต ปังปอนด์ก็ได้รับข่าวดีเมื่อแม่ของเธอพ้นโทษออกมาอยู่กับเธอในบ้านหลังเล็กของเจ๊หมี เธอจำไม่ได้เสียด้วยซ้ำว่าเคยเห็นหน้าแม่ครั้งสุดท้ายตอนอายุเท่าไหร่
แต่การใช้ชีวิตในช่วงโควิดระบาดไม่ง่ายเลย แม่ของเธอถูกคัดชื่อเข้าไปอยู่ในทะเบียนบ้านกลาง ขณะที่ตัวเธอเองก็ยังไม่ได้ทำบัตรประชาชน การเข้าถึงรัฐสวัสดิการต่างๆ ไม่สามารถทำได้เลย ทั้งการฉีดวัคซีน และการขอรับเงินช่วยเหลือจากโครงการต่างๆ
การที่เจ๊หมีป่วยติดเตียง แม่ไม่มีงานทำ ครอบครัวไม่มีรายได้จนถูกตัดน้ำตัดไฟ ทำให้ปังปอนด์ตัดสินใจออกมาเดินเร่ขายของหน้าวิหารพระมงคลบพิตรเป็นประจำทุกวัน แม้ว่าเธอจะไม่ได้เต็มใจสักเท่าไหร่ก็ตาม
ฉันรู้จักปังปอนด์ก่อนวันสงกรานต์ปีที่แล้ว ฉันมาชวนเธอและเพื่อนๆไปฉีดวัคซีนป้องกันโควิด โดยที่ไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าพวกเขาไม่มีบัตรประชาชน บางคนไม่มีทะเบียนบ้าน และบางคนไม่มีบ้านอยู่เสียด้วยซ้ำ
ความสัมพันธ์ของฉันกับเด็กเร่ขายของค่อยๆ พัฒนาขึ้น เริ่มจากการไปเยี่ยมบ้าน มอบทุนการศึกษา แจกถุงยังชีพ แล้วชวนออกมาทำกิจกรรมห้องเรียนชุมชน เล่นดนตรี เรียนหนังสือ เก็บขยะ เดินวิ่งออกกำลังกาย จนคุ้นเคยกันเป็นอย่างดี ก่อนที่จะชวนกันสืบค้น หาเอกสาร เพื่อไปทำบัตรประชาชนจนสำเร็จ แล้วพาไปฉีดวัคซีนจนครบสองเข็มตามเป้าหมายที่วางเอาไว้ ซึ่งต้องใช้เวลานานนับปีเลยทีเดียว
ในกรณีของปังปอนด์ที่กำลังเข้าสู่วัยรุ่นนั้น ฉันและทีมงานสหวิชาชีพช่วยกันประสานงานให้เข้ารับการฝังยาคุมกำเนิด เพื่อป้องกันเหตุการณ์ไม่คาดฝันที่อาจจะเกิดขึ้นได้ในอนาคต
ตลอดระยะเวลา 1 ปีที่ผ่านมาความสัมพันธ์ระหว่างปังปอนด์กับแม่และเจ๊หมีไม่ได้ดีอย่างที่เธอวาดฝันเอาไว้ เจ๊หมีช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม่ไม่มีงานทำ หนำซ้ำยังวนเวียนกลับเข้าไปอยู่ในสังคมเดิมๆ จนทำให้เธอไม่ได้ไปโรงเรียนเหมือนกับเพื่อนๆ ในวัยเดียวกัน เพราะต้องออกไปเดินเร่ขายของหารายได้เลี้ยงครอบครัวทุกวัน วันไหนขายไม่ได้ก็จะถูกตีถูกด่าทอจนหมดกำลังใจ
ชื่อของปังปอนด์ถูกพูดถึงในกลุ่มคนทำงานด้านเด็กเกือบทุกหน่วยงาน เด็กผู้หญิงที่กำลังเริ่มโตเป็นสาวควรกลับไปเรียนชั้น ป.6 ให้จบการศึกษาภาคบังคับ มากกว่าจะต้องมาแบกรับภาระเลี้ยงดูผู้ใหญ่ถึงสองคน
ในค่ำคืนแห่งความโชคร้าย ปังปอนด์ถูกทำร้ายร่างกายและจิตใจ จนเธอต้องตัดสินใจเลือกที่จะเดินออกมาแสวงหาชีวิตใหม่
“หนูอยากไปโรงเรียน หนูอยากเรียนหนังสือ หนูไม่อยากไปขายของแล้ว” เด็กน้อยพูดไปร้องไห้ไประบายความในใจให้เจ้าหน้าที่สังคมสงเคราะห์ฟัง
คงเป็นเรื่องยากที่เด็กผู้หญิงอายุเพียง 11 ปี จะกล้าตัดสินใจเดินออกมาจากครอบครัวเพียงลำพัง ด้วยความหวังเดียวที่มี นั่นก็คือ “จะได้กลับไปเรียนหนังสือ”
ในกระเป๋าของเธอมีเงินเพียง 100 บาท ซึ่งได้จากการเดินเร่ขายของทั้งวัน และมันไม่เพียงพอสำหรับค่าใช้จ่ายในแต่ละวันของครอบครัว ทั้งค่าโทรศัพท์ ค่าบุหรี่ ค่ากิน และค่าใช้จ่ายอีกมากมายที่เธอรู้สึกอัดอั้นแต่ไม่สามารถเล่าออกมาให้ใครฟังได้
วันนี้ปังปอนด์เลือกที่จะออกมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ ทิ้งสังคมเดิมที่เต็มไปด้วยอบายมุข เธอตัดสินใจไปอยู่โรงเรียนประจำที่นักสังคมสงเคราะห์จัดหาให้ ด้วยความมุ่งมั่น ตั้งใจที่จะเรียนหนังสือให้จบ สูงที่สุดเท่าที่เธอจะทำได้
1 ปี กับ 4 เดือน ที่ฉันได้รู้จักสาวน้อยหัวใจแกร่งคนนี้ ฉันเห็นแววตาที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความมุ่งมั่น รอยยิ้มที่ใสซื่อบริสุทธิ์ บ่งบอกถึงความจริงใจ ปังปอนด์ไม่ได้ทำอะไรผิดเลย เธอมีสิทธิ์เลือกทางเดินชีวิตที่ดีที่สุด และฉันก็พร้อมที่จะคอยสนับสนุนเธอ เช่นเดียวกับเพื่อนๆ เด็กเร่ขายของอีกหลายคนที่คอยส่งกำลังใจให้เธอและรอชื่นชมความสำเร็จของเธอสักวัน