บ้านหนึ่งหลังกับกองทัพนับแสน

บ้านหนึ่งหลังกับกองทัพนับแสน

20152107162540.jpg

วสันต์  เสตสิทธิ์ กองบก.วารสารดาวดิน ฉบับปีที่ ๑๒  “พวกเรารบด้วยจิตใจ ไม่ใช่ศาสตรา”

ตลอดระยะเวลา ๑๒ ปีที่ผ่านมา ครอบครัวดาวดิน  มีพ่อ แม่ พี่ น้อง  และผม อาศัยอยู่ร่วมกันใต้ชายคาเดียวกันด้วยความสงบสุข  คนในครอบครัวนี้มักจะมีเรื่องเล่าที่ชวนให้คิด ตั้งคำถาม แลกเปลี่ยน  และค้นหามาเล่าสู่กันฟังเสมอๆ  ด้วยความที่สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวล้วนเป็นคนช่างสงสัย ช่างพูดจาพาที  และไม่งมงายต่ออะไรที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงหรือลอยคว้างเป็นหมอกควันอยู่ในอากาศ  ไม่หลงเชื่อในอะไรก็ตามที่ไม่มีเหตุและผลรองรับดุจแม่ธรณีที่ประคับประคองแม่คงคา 

เมื่อมีเวลาว่างลงจากการร่ำเรียนวิชากฎหมาย  หรือทำงานส่งอาจารย์ในวิชาเลือกเสรี  หรือแม้แต่กลับจากการลงพื้นที่ชาวบ้านที่ถูกละเมิดสิทธิชุมชนโดยนโยบายการพัฒนาของภาครัฐ  ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยหรือรัฐบาลเผด็จการก็ตามที 

พวกเรามักจะใช้เวลาว่างนั้นพูดคุยถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นทั้งนามประธรรมและรูปธรรม  เช่นถกเถียงกันว่า  ความรู้คืออะไร  ความยุติธรรมคืออะไร  ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์คืออะไร  ชีวิตใหม่คืออะไร  ฯลฯ 

นานๆครั้งก็เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ของกันและร่วมกันด้วยการแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับโลกทัศน์และชีวทัศน์ของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร  ระดมสมองร่วมกันค้นหาคำตอบว่ามุมมองที่คนมีต่อโลกและการใช้ชีวิตของคนในโลกควรสอดคล้องกันหรือไม่ พวกเรามักจะนั่งล้อมกองไฟมองตาและสนทนากันตั้งแต่เรื่องราวเล็กๆภายในครอบครัว  เช่น  เรื่องงาน  ความคิด  ชีวิตใจ  และความใฝ่ฝัน  จนถึงเรื่องใหญ่ๆ ระดับประเทศชาติ  ทั้งปัญหาการเมืองเชิงโครงสร้างและปัญหาระดับชุมชนชายขอบ  และเชื่อมโยงไปไกลถึงประชาคมโลก พวกเรามักจะสนใจเรียนรู้ไปเสียทุกเรื่อง แม้ว่าจะไม่รอบรู้มากแต่ไม่ก็ถึงกับไม่สนใจอะไรเลย

…บางครั้งครอบครัวของเราก็มีสิ่งใหม่ๆที่ท้าทายเข้ามาให้ลงมือทำ  เพื่อทดสอบความแน่วแน่ของจิตใจเป็นประจำ  แต่พวกเราจะเริ่มต้นทำงานด้วยความร่าเริงเบิกบาน  ลงมือทำงานแม้บางครั้งจะไม่รู้อะไรเลย  ถูกบ้างผิดบ้างก็กลับมานั่งพัก  เพื่อสรุปบทเรียนร่วมกันและลงมือทำใหม่อีกครั้งในบทเรียนถัดไป 

จนกระทั่ง  ๒๒  พฤษภาคม  ๒๕๕๘  พี่น้องพวกเรา ๗ คน  ก้าวออกไปแสดงเจตนารมณ์แทนคนในครอบครัวว่า  “คัดค้าน  รัฐประหาร”  ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย  จังหวัดขอนแก่น  ด้วยเหตุผลว่า  ปัญหาการเมืองของชาติส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัว  ชุมชน  และท้องถิ่นของพ่อ แม่ พี่ น้องในภาคอีสานอย่างไร  ลูกหลานของพวกเราได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเองแล้วว่า การดำเนินโครงการต่างๆด้วยปืนของรัฐบาลทหารนั้น  มันได้ทำลายหลักการ ๕ ข้อ  ในอนาคตของสังคมไทยลงไปอย่างไร 

กล่าวคือ 

๑.  ประชาธิปไตย  แต่ท่านแย่งชิงอำนาจนั้นไป  และแต่งตั้งสภาของท่าน

๒.  สิทธิมนุษยชน(สิทธิชุมชน)  แต่ท่านกลับละเมิดผู้ที่เห็นต่างกับความคิดท่าน

๓.  ความยุติธรรม  แต่ท่านจับมันด้วยศาลทหารที่อยู่ในมือของท่าน

๔.  การมีส่วนร่วม  แต่ท่านปิดกั้นการร่วมตัดสินใจและการตรวจสอบถ่วงดุลท่าน

๕.  สันติวิธี  แต่ท่านคุกคามเราด้วยกองกำลังและอาวุธของท่าน

สิ่งที่ท่านทำลงไปนั้นเราเรียกมันว่า “เผด็จการ” และเราจะไม่เรียกร้องสิ่งใดจากเผด็จการ  สิ่งที่เราทำตลอดมา  เราเรียกมันว่า  “การต่อสู้” 

และเราจะรวมพลังกันสู้เพื่ออำนาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชน

พวกของเราคือเหล่าสามัญชน

“นี่ไม่ใช่คำสุดท้ายแล้วเราจะไม่ยอมแพ้ ”

พวกเขาลุกขึ้นเป็นตัวแทนของพวกเราร้องตะโกนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในแผ่นดินที่เดือดระอุ ใต้ร่มเงาของเผด็จการพาลครองเมือง    

แต่คิดแล้วก็น่าขัน

คน ๗ คน ชูป้ายผ้าแล้วไปบอกเล่าความจริงที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัว  หมู่บ้าน  และชุมชน  และแผ่นดินอีสานที่พวกเขาอาศัยอยู่   และก็มันน่าหัวเราะที่ทหารชั้นนายพลของประเทศนี้หวาดกลัวเด็ก ๗  คน  ของครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่มีเพียงป้ายผ้าในมือและคำพูดที่กลั่นออกมาจากจิตสำนึกของพวกเขา  ภายใต้อำนาจตามมาตรา ๔๔ แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว  และฝ่าฝืนคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.)  ที่ ๓/๒๕๕๘  ข้อ ๑๒ เรื่อง  ชุมนุมมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป 

พวกเขาถูกจับด้วยคำสั่งที่ไม่ใช่กฎหมายของผู้นำกองทัพ  พวกเขาจึงยอมทำผิดต่อกฎเกณฑ์ที่ข่มเหงรังแกคน  แต่ไม่ยอมผิดต่อจิตสำนึกมั่นในธรรมของตนเอง  พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวต่อการจ้องมองหน้าศัตรูผ่านกรงขัง  แต่พวกเขากลัวว่าจะกลับมามองหน้าคนในครอบได้ไม่เต็มตามากกว่า

จากนั้นเด็กหนุ่มทั้ง ๗ คน  ของครอบครัวนี้ก็ถูกจับเข้ากรงขัง  พร้อมกับเพื่อนๆของที่กรุงเทพฯ ก็ถูกจับเหมือนกันในเย็นวันนั้น  พวกเขาทั้งหมดเพียงตั้งใจจะไปอวยพรวันเกิดให้กับการครบรอบ ๑ ปีเผด็จการด้วยการออกไปมองดูนาฬิกาและชูป้ายผ้าเพื่อบอกเล่าความจริงที่เกิดขึ้นในครอบครัวตัวเองเท่านั้น  แต่พวกขบถแผ่นดินก็ตั้งข้อหาให้พวกเราเป็นภัยต่อความมั่นคง  และคนในครอบครัวพวกเราก็ถูกคุกคามตามติดเป็นเงา 

เมื่อพวกเขาซึ่งเป็นลูกหลานไปพูดความจริงเช่นนั้นแล้วถูกจับ  พ่อ แม่ พี่ น้อง  ในครอบครัวของพวกเขาก็ย่อมพูดหรือทำอะไรไม่ได้เช่นกัน

เมื่อรับทราบข้อกล่าวหาดังนั้นแล้ว  พวกเราทั้ง ๗  คน จึงเดินทางกลับบ้านไปหาพ่อแม่ พี่น้อง  ที่บ้านเกิดเพื่อทำไร่ทำไร่นาพักผ่อนและกล่าวอำลาพ่อแม่  แผ่นดิน  ท้องฟ้า  ขุนเขาป่าไม้และลำธาร เฝ้ารอการมาจับของทหาร  ตำรวจ  โดยที่พ่อแม่  พี่น้องได้กางแขนโอบลูกอย่างอบอุ่น  เหมือนต้นไม้แผ่กิ่ง ก้าน ใบ  ให้ร่มเงาแก่ผู้คน  พร้อมกับยืนยันแก่ลูกๆทั้ง ๗ คนว่า 

“ลูกๆไม่ต้องกลัวนะ  พ่อกับแม่อยู่นี่แล้ว  ถ้าพวกเขาจะมาเอาตัวลูกๆไปจริงๆ  พ่อกับแม่จะส่งให้ถึงมือเขาด้วยตัวเอง”

และแล้วเหล่าทหารกล้าก็เกรงกลัวต่อครอบครัวและหมู่บ้านเล็กๆในดินแดนที่ห่างไกล  พวกเรารอแล้วรอเล่าที่จะให้พวกเขาเข้ามาจับแต่พวกเขาก็ไม่มา  จนพวกเราตกลงใจกันว่า  ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปให้จับที่เมืองหลวงและให้กำลังเพื่อนๆ ของพวกเราอีก ๗ คนด้วย

พวกเรากล่าวคำอำลาต่อพ่อแม่  พี่น้อง  ในครอบครัวว่า

“ถ้าพวกเขายังไม่จับพวกลูกอีกพวกเราจะกลับมาที่บ้าน  และบอกแก่พ่อแม่ว่า เราชนะแล้วแม่จ๋า  ปัญหาของพ่อแม่ได้ยินถึงหูผู้นำเผด็จการแล้ว” 

พวกเราจึงตัดสินใจเดินทางฝ่าวงล้อมของเหล่าทหารกล้าที่ปิดทางเข้าของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง  ด้วยความช่วยเหลือและด้วยความเจนจัดชำนาญเส้นทางของคนในพื้นที่  ทำให้พวกเรามุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ด้วยความสะดวกและปลอดภัย

และนี่คือถ้อยแถลงของคนหนุ่มสาวถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมือง

“พวกเราคนหนุ่มสาวทั้ง ๑๔  คน  ไม่มีอาวุธใดจะต่อกรกับปลายปืนในมือพวกท่านและกองทัพของท่าน  พวกเรามีเพียงมือเปล่า  และหัวจิตหัวใจที่ก้มหัวให้ความอธรรมไม่ได้  แต่พวกเราขอบอกว่าแก่ท่านว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นไม่ใช่เพราะความบ้าบิ่นหรือขี้ขลาดแต่อย่างใด พวกเราไม่ได้หนีท่านจนหัวซุกหัวซุนหรือไม่ได้ยกกองทัพประชาชนเข้ายึดอำนาจคืนจากท่าน ขอให้ท่านอย่าเข้าใจผิด  พวกเรามีเพียงความกล้าหาญที่ไปบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านต่างหากที่เป็นขบถไม่ใช่พวกเรา  แล้วเหล่าทหารหาญอย่างท่านล่ะกล้าพอหรือไม่ที่จะออกมาพูดความจริงว่า  ท่านยึดอำนาจประชาชนไปด้วยเหตุผลใด 

และเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นที่แน่ชัดอยู่แล้วว่า รัฐบาลทหารได้ครองอำนาจอย่างไม่ชอบธรรมและไร้ซึ่งขอบเขต  ใช้ปืนกดหัวคนในชาติให้อยู่ใต้คำสั่งราวกับว่าประชาชนในชาติเป็นทหารในกองทัพตัวเอง บริหารงานประเทศราวกับบัญชาการรบในสงครามที่มีแต่การนองเลือดและความตาย ท่านทำให้บ้านเมืองนี้เสื่อมทรุดและตกต่ำ ท่านพร่ำบอกแต่ว่าจะคืนความสุขให้คนในชาติ  แต่เมื่อประชาชนมีปัญหาเรื่องปากท้องไปร้องเรียนท่านก็บอกปัดความรับผิดชอบไป  แล้วขับไล่เขาออกจะที่ทำกินหรือเอาโครงการที่เขาไม่ต้องการเข้ามาแทน ท่านซ้ำเติมความทุกข์ยากลงในอกของประชาชนต่างหากไม่ใช่คืนความสุข

พวกเราเป็นเพียงเด็กก็จริงอยู่แต่ก็พอรู้หลักการปกครองอยู่บ้างว่า

การครองจิตใจของประชาชนสำคัญกว่าการครองแผ่นดิน  บ้านเมืองจะได้สงบสุขร่มเย็นอย่างแท้จริงได้  ไม่ใช่ด้วยการบีบบังคับหรือข่มขู่ให้คนอยู่ในความหวาดกลัว  แต่ต้องด้วยความนอบน้อมก้มหัวให้ประชาชน  จงอย่าลืมว่า  ผู้ปกครองเปรียบเหมือนเรือลำหนึ่งที่ลอยคว้างกลางมหาสมุทร  ประชาชนดุจดั่งน้ำที่ประคับประคองเรือให้ไปถึงฝั่ง  เมื่อน้ำทำให้เรือลอยอยู่ได้ก็จมเรือลงได้เช่นกัน

แต่เมื่อผู้ปกครองคนใดไร้หลักธรรมประจำใจ  ยังคงลุ่มหลงในอำนาจ  ความโลภ  และความโกรธอยู่เต็มหัวใจ  ยังไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติฝ่ายต่ำของตัวเองได้  ท่านก็ไม่อาจเอาชนะใจคนในแผ่นได้เช่นกัน  แม้ว่าท่านจะมีกองทัพที่เปี่ยมไปด้วยแสนยานุภาพสักเพียงใด  แต่ท่านก็ต้องพ่ายแพ้แก่ใจคนไปตลอดกาล 

ท่านทำถูกแล้วที่เกรงกลัวจิตใจอันห้าวหาญและรักความเป็นธรรมของหนุ่มสาวทั้ง ๑๔ คน ท่านต้องกลัวอยู่แล้วเพราะอำนาจของท่านไม่ชอบธรรม  ท่านไม่อาจปกครองแผ่นดินและประชาชนด้วยปืนได้ยั่งยืนนานนักหรอก 

เพราะตราบใดที่ประชาชนยังคงต่อสู้เพื่อทวงคืนอำนาจของตัวเองอยู่ร่ำไป  ตราบนั้นท่านต้องคืนอำนาจให้พวกเขาอยู่วันยังค่ำ  แม้พวกเราไม่มีอาวุธและกองทัพเข้าสู้รบปรบมือกับท่านหรอก  แต่ขอให้ท่านจงจำไว้ว่า  ประชาชนมีความคิด  ชีวิต  และจิตใจ  ซึ่งนั้นคืออาวุธที่ร้ายกาจและทรงพลังอย่างหนึ่ง

และมันเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียวที่ทหารหาญอย่างท่านนั้นไม่มี! ”

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ