วสันต์ เสตสิทธิ์ / กองบก.วารสารดาวดิน ฉบับปีที่ ๑๒ “พวกเรารบด้วยจิตใจ ไม่ใช่ศาสตรา”
ตลอดระยะเวลา ๑๒ ปีที่ผ่านมา ครอบครัวดาวดิน มีพ่อ แม่ พี่ น้อง และผม อาศัยอยู่ร่วมกันใต้ชายคาเดียวกันด้วยความสงบสุข คนในครอบครัวนี้มักจะมีเรื่องเล่าที่ชวนให้คิด ตั้งคำถาม แลกเปลี่ยน และค้นหามาเล่าสู่กันฟังเสมอๆ ด้วยความที่สมาชิกแต่ละคนในครอบครัวล้วนเป็นคนช่างสงสัย ช่างพูดจาพาที และไม่งมงายต่ออะไรที่ไม่ได้ตั้งอยู่บนพื้นฐานความจริงหรือลอยคว้างเป็นหมอกควันอยู่ในอากาศ ไม่หลงเชื่อในอะไรก็ตามที่ไม่มีเหตุและผลรองรับดุจแม่ธรณีที่ประคับประคองแม่คงคา
เมื่อมีเวลาว่างลงจากการร่ำเรียนวิชากฎหมาย หรือทำงานส่งอาจารย์ในวิชาเลือกเสรี หรือแม้แต่กลับจากการลงพื้นที่ชาวบ้านที่ถูกละเมิดสิทธิชุมชนโดยนโยบายการพัฒนาของภาครัฐ ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาลประชาธิปไตยหรือรัฐบาลเผด็จการก็ตามที
พวกเรามักจะใช้เวลาว่างนั้นพูดคุยถึงบางสิ่งบางอย่างที่เป็นทั้งนามประธรรมและรูปธรรม เช่นถกเถียงกันว่า ความรู้คืออะไร ความยุติธรรมคืออะไร ศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์คืออะไร ชีวิตใหม่คืออะไร ฯลฯ
นานๆครั้งก็เรียนรู้ความเป็นมนุษย์ของกันและร่วมกันด้วยการแบ่งปันมุมมองเกี่ยวกับโลกทัศน์และชีวทัศน์ของแต่ละคนว่าเป็นอย่างไร ระดมสมองร่วมกันค้นหาคำตอบว่ามุมมองที่คนมีต่อโลกและการใช้ชีวิตของคนในโลกควรสอดคล้องกันหรือไม่ พวกเรามักจะนั่งล้อมกองไฟมองตาและสนทนากันตั้งแต่เรื่องราวเล็กๆภายในครอบครัว เช่น เรื่องงาน ความคิด ชีวิตใจ และความใฝ่ฝัน จนถึงเรื่องใหญ่ๆ ระดับประเทศชาติ ทั้งปัญหาการเมืองเชิงโครงสร้างและปัญหาระดับชุมชนชายขอบ และเชื่อมโยงไปไกลถึงประชาคมโลก พวกเรามักจะสนใจเรียนรู้ไปเสียทุกเรื่อง แม้ว่าจะไม่รอบรู้มากแต่ไม่ก็ถึงกับไม่สนใจอะไรเลย
…บางครั้งครอบครัวของเราก็มีสิ่งใหม่ๆที่ท้าทายเข้ามาให้ลงมือทำ เพื่อทดสอบความแน่วแน่ของจิตใจเป็นประจำ แต่พวกเราจะเริ่มต้นทำงานด้วยความร่าเริงเบิกบาน ลงมือทำงานแม้บางครั้งจะไม่รู้อะไรเลย ถูกบ้างผิดบ้างก็กลับมานั่งพัก เพื่อสรุปบทเรียนร่วมกันและลงมือทำใหม่อีกครั้งในบทเรียนถัดไป
จนกระทั่ง ๒๒ พฤษภาคม ๒๕๕๘ พี่น้องพวกเรา ๗ คน ก้าวออกไปแสดงเจตนารมณ์แทนคนในครอบครัวว่า “คัดค้าน รัฐประหาร” ที่อนุสาวรีย์ประชาธิปไตย จังหวัดขอนแก่น ด้วยเหตุผลว่า ปัญหาการเมืองของชาติส่งผลกระทบต่อคนในครอบครัว ชุมชน และท้องถิ่นของพ่อ แม่ พี่ น้องในภาคอีสานอย่างไร ลูกหลานของพวกเราได้ประจักษ์แก่สายตาตัวเองแล้วว่า การดำเนินโครงการต่างๆด้วยปืนของรัฐบาลทหารนั้น มันได้ทำลายหลักการ ๕ ข้อ ในอนาคตของสังคมไทยลงไปอย่างไร
กล่าวคือ
๑. ประชาธิปไตย แต่ท่านแย่งชิงอำนาจนั้นไป และแต่งตั้งสภาของท่าน
๒. สิทธิมนุษยชน(สิทธิชุมชน) แต่ท่านกลับละเมิดผู้ที่เห็นต่างกับความคิดท่าน
๓. ความยุติธรรม แต่ท่านจับมันด้วยศาลทหารที่อยู่ในมือของท่าน
๔. การมีส่วนร่วม แต่ท่านปิดกั้นการร่วมตัดสินใจและการตรวจสอบถ่วงดุลท่าน
๕. สันติวิธี แต่ท่านคุกคามเราด้วยกองกำลังและอาวุธของท่าน
สิ่งที่ท่านทำลงไปนั้นเราเรียกมันว่า “เผด็จการ” และเราจะไม่เรียกร้องสิ่งใดจากเผด็จการ สิ่งที่เราทำตลอดมา เราเรียกมันว่า “การต่อสู้”
และเราจะรวมพลังกันสู้เพื่ออำนาจอธิปไตยที่เป็นของประชาชน
พวกของเราคือเหล่าสามัญชน
“นี่ไม่ใช่คำสุดท้ายแล้วเราจะไม่ยอมแพ้ ”
พวกเขาลุกขึ้นเป็นตัวแทนของพวกเราร้องตะโกนถึงปัญหาที่เกิดขึ้นในแผ่นดินที่เดือดระอุ ใต้ร่มเงาของเผด็จการพาลครองเมือง
แต่คิดแล้วก็น่าขัน
คน ๗ คน ชูป้ายผ้าแล้วไปบอกเล่าความจริงที่เกิดขึ้นกับคนในครอบครัว หมู่บ้าน และชุมชน และแผ่นดินอีสานที่พวกเขาอาศัยอยู่ และก็มันน่าหัวเราะที่ทหารชั้นนายพลของประเทศนี้หวาดกลัวเด็ก ๗ คน ของครอบครัวเล็กๆ ครอบครัวหนึ่งที่มีเพียงป้ายผ้าในมือและคำพูดที่กลั่นออกมาจากจิตสำนึกของพวกเขา ภายใต้อำนาจตามมาตรา ๔๔ แห่งรัฐธรรมนูญชั่วคราว และฝ่าฝืนคำสั่งของหัวหน้าคณะรักษาความสงบแห่งชาติ(คสช.) ที่ ๓/๒๕๕๘ ข้อ ๑๒ เรื่อง ชุมนุมมั่วสุมทางการเมืองตั้งแต่ ๕ คนขึ้นไป
พวกเขาถูกจับด้วยคำสั่งที่ไม่ใช่กฎหมายของผู้นำกองทัพ พวกเขาจึงยอมทำผิดต่อกฎเกณฑ์ที่ข่มเหงรังแกคน แต่ไม่ยอมผิดต่อจิตสำนึกมั่นในธรรมของตนเอง พวกเขาไม่ได้หวาดกลัวต่อการจ้องมองหน้าศัตรูผ่านกรงขัง แต่พวกเขากลัวว่าจะกลับมามองหน้าคนในครอบได้ไม่เต็มตามากกว่า
จากนั้นเด็กหนุ่มทั้ง ๗ คน ของครอบครัวนี้ก็ถูกจับเข้ากรงขัง พร้อมกับเพื่อนๆของที่กรุงเทพฯ ก็ถูกจับเหมือนกันในเย็นวันนั้น พวกเขาทั้งหมดเพียงตั้งใจจะไปอวยพรวันเกิดให้กับการครบรอบ ๑ ปีเผด็จการด้วยการออกไปมองดูนาฬิกาและชูป้ายผ้าเพื่อบอกเล่าความจริงที่เกิดขึ้นในครอบครัวตัวเองเท่านั้น แต่พวกขบถแผ่นดินก็ตั้งข้อหาให้พวกเราเป็นภัยต่อความมั่นคง และคนในครอบครัวพวกเราก็ถูกคุกคามตามติดเป็นเงา
เมื่อพวกเขาซึ่งเป็นลูกหลานไปพูดความจริงเช่นนั้นแล้วถูกจับ พ่อ แม่ พี่ น้อง ในครอบครัวของพวกเขาก็ย่อมพูดหรือทำอะไรไม่ได้เช่นกัน
เมื่อรับทราบข้อกล่าวหาดังนั้นแล้ว พวกเราทั้ง ๗ คน จึงเดินทางกลับบ้านไปหาพ่อแม่ พี่น้อง ที่บ้านเกิดเพื่อทำไร่ทำไร่นาพักผ่อนและกล่าวอำลาพ่อแม่ แผ่นดิน ท้องฟ้า ขุนเขาป่าไม้และลำธาร เฝ้ารอการมาจับของทหาร ตำรวจ โดยที่พ่อแม่ พี่น้องได้กางแขนโอบลูกอย่างอบอุ่น เหมือนต้นไม้แผ่กิ่ง ก้าน ใบ ให้ร่มเงาแก่ผู้คน พร้อมกับยืนยันแก่ลูกๆทั้ง ๗ คนว่า
“ลูกๆไม่ต้องกลัวนะ พ่อกับแม่อยู่นี่แล้ว ถ้าพวกเขาจะมาเอาตัวลูกๆไปจริงๆ พ่อกับแม่จะส่งให้ถึงมือเขาด้วยตัวเอง”
และแล้วเหล่าทหารกล้าก็เกรงกลัวต่อครอบครัวและหมู่บ้านเล็กๆในดินแดนที่ห่างไกล พวกเรารอแล้วรอเล่าที่จะให้พวกเขาเข้ามาจับแต่พวกเขาก็ไม่มา จนพวกเราตกลงใจกันว่า ถ้าอย่างนั้นพวกเราจะไปให้จับที่เมืองหลวงและให้กำลังเพื่อนๆ ของพวกเราอีก ๗ คนด้วย
พวกเรากล่าวคำอำลาต่อพ่อแม่ พี่น้อง ในครอบครัวว่า
“ถ้าพวกเขายังไม่จับพวกลูกอีกพวกเราจะกลับมาที่บ้าน และบอกแก่พ่อแม่ว่า เราชนะแล้วแม่จ๋า ปัญหาของพ่อแม่ได้ยินถึงหูผู้นำเผด็จการแล้ว”
พวกเราจึงตัดสินใจเดินทางฝ่าวงล้อมของเหล่าทหารกล้าที่ปิดทางเข้าของหมู่บ้านเล็กๆ แห่งหนึ่ง ด้วยความช่วยเหลือและด้วยความเจนจัดชำนาญเส้นทางของคนในพื้นที่ ทำให้พวกเรามุ่งหน้าสู่กรุงเทพฯ ด้วยความสะดวกและปลอดภัย
และนี่คือถ้อยแถลงของคนหนุ่มสาวถึงผู้ใหญ่ในบ้านเมือง
“พวกเราคนหนุ่มสาวทั้ง ๑๔ คน ไม่มีอาวุธใดจะต่อกรกับปลายปืนในมือพวกท่านและกองทัพของท่าน พวกเรามีเพียงมือเปล่า และหัวจิตหัวใจที่ก้มหัวให้ความอธรรมไม่ได้ แต่พวกเราขอบอกว่าแก่ท่านว่าสิ่งที่ได้ทำลงไปนั้นไม่ใช่เพราะความบ้าบิ่นหรือขี้ขลาดแต่อย่างใด พวกเราไม่ได้หนีท่านจนหัวซุกหัวซุนหรือไม่ได้ยกกองทัพประชาชนเข้ายึดอำนาจคืนจากท่าน ขอให้ท่านอย่าเข้าใจผิด พวกเรามีเพียงความกล้าหาญที่ไปบอกความจริงแก่ท่านว่า ท่านต่างหากที่เป็นขบถไม่ใช่พวกเรา แล้วเหล่าทหารหาญอย่างท่านล่ะกล้าพอหรือไม่ที่จะออกมาพูดความจริงว่า ท่านยึดอำนาจประชาชนไปด้วยเหตุผลใด
และเหตุการณ์ที่ผ่านมาก็เป็นที่แน่ชัดอยู่แล้วว่า รัฐบาลทหารได้ครองอำนาจอย่างไม่ชอบธรรมและไร้ซึ่งขอบเขต ใช้ปืนกดหัวคนในชาติให้อยู่ใต้คำสั่งราวกับว่าประชาชนในชาติเป็นทหารในกองทัพตัวเอง บริหารงานประเทศราวกับบัญชาการรบในสงครามที่มีแต่การนองเลือดและความตาย ท่านทำให้บ้านเมืองนี้เสื่อมทรุดและตกต่ำ ท่านพร่ำบอกแต่ว่าจะคืนความสุขให้คนในชาติ แต่เมื่อประชาชนมีปัญหาเรื่องปากท้องไปร้องเรียนท่านก็บอกปัดความรับผิดชอบไป แล้วขับไล่เขาออกจะที่ทำกินหรือเอาโครงการที่เขาไม่ต้องการเข้ามาแทน ท่านซ้ำเติมความทุกข์ยากลงในอกของประชาชนต่างหากไม่ใช่คืนความสุข
พวกเราเป็นเพียงเด็กก็จริงอยู่แต่ก็พอรู้หลักการปกครองอยู่บ้างว่า
การครองจิตใจของประชาชนสำคัญกว่าการครองแผ่นดิน บ้านเมืองจะได้สงบสุขร่มเย็นอย่างแท้จริงได้ ไม่ใช่ด้วยการบีบบังคับหรือข่มขู่ให้คนอยู่ในความหวาดกลัว แต่ต้องด้วยความนอบน้อมก้มหัวให้ประชาชน จงอย่าลืมว่า ผู้ปกครองเปรียบเหมือนเรือลำหนึ่งที่ลอยคว้างกลางมหาสมุทร ประชาชนดุจดั่งน้ำที่ประคับประคองเรือให้ไปถึงฝั่ง เมื่อน้ำทำให้เรือลอยอยู่ได้ก็จมเรือลงได้เช่นกัน
แต่เมื่อผู้ปกครองคนใดไร้หลักธรรมประจำใจ ยังคงลุ่มหลงในอำนาจ ความโลภ และความโกรธอยู่เต็มหัวใจ ยังไม่สามารถเอาชนะธรรมชาติฝ่ายต่ำของตัวเองได้ ท่านก็ไม่อาจเอาชนะใจคนในแผ่นได้เช่นกัน แม้ว่าท่านจะมีกองทัพที่เปี่ยมไปด้วยแสนยานุภาพสักเพียงใด แต่ท่านก็ต้องพ่ายแพ้แก่ใจคนไปตลอดกาล
ท่านทำถูกแล้วที่เกรงกลัวจิตใจอันห้าวหาญและรักความเป็นธรรมของหนุ่มสาวทั้ง ๑๔ คน ท่านต้องกลัวอยู่แล้วเพราะอำนาจของท่านไม่ชอบธรรม ท่านไม่อาจปกครองแผ่นดินและประชาชนด้วยปืนได้ยั่งยืนนานนักหรอก
เพราะตราบใดที่ประชาชนยังคงต่อสู้เพื่อทวงคืนอำนาจของตัวเองอยู่ร่ำไป ตราบนั้นท่านต้องคืนอำนาจให้พวกเขาอยู่วันยังค่ำ แม้พวกเราไม่มีอาวุธและกองทัพเข้าสู้รบปรบมือกับท่านหรอก แต่ขอให้ท่านจงจำไว้ว่า ประชาชนมีความคิด ชีวิต และจิตใจ ซึ่งนั้นคืออาวุธที่ร้ายกาจและทรงพลังอย่างหนึ่ง
และมันเป็นอาวุธเพียงชิ้นเดียวที่ทหารหาญอย่างท่านนั้นไม่มี! ”