สิ่งที่เห็นอยู่ข้างหน้า คือภาพสีเทาจางที่ทอดยาวซ้ายขวา และผืนน้ำทะเลสีเทาเข้มที่กำลังไล่คลื่นน้ำเข้าฝั่งมาบรรจบกับหาดทราย
เท้าเรารู้สึกเย็น
คลื่นน้ำเค็มค่อยๆ ซึมลงผ่านเม็ดทราย คลื่นน้ำเค็มค่อยๆ ถ่อมตัวออกไปเปลี่ยนผ่านกับแรงน้ำฟองโตที่กำลังซัดหาดเข้ามาเป็นจังหวะ น้ำเค็มวิ่งเข้ามากลบเท้าเราจนมิดและปล่อยความเย็นให้สะท้านไปตามผิวหนัง น่องขา เข่า เอว
กลิ่นความเค็มของน้ำลอยฟุ้งอยู่ทั่วชายหาด ตั้งแต่ก้าวแรกที่ย่างออกเดินเมื่อยี่สิบนาทีที่แล้ว กลิ่นความเค็มนั้นยังไม่จางหาย แต่กลับกลายเป็นสิ่งที่เราเริ่มคุ้นชิน กลมกลืน เป็นส่วนหนึ่งของภาพสีเทาข้างหน้า
ครืน…….. ครืน………. ครืน…… ครืน…………. ครืน…. ครืน……..
นี่ฤา ความบริสุทธิ์ของตะกอนจากผืนดินที่ถูกหลอกล่อให้ลงเอยริมสมุทร
ความงามของชายหาดริมบ้านอังแตง ทางตอนเหนือของเมืองเย ในรัฐมอญ คือความบริสุทธิ์อย่างเรียบง่ายที่เราไม่เคยสัมผัสมาก่อน
เราไม่เคยลิ้มรสความสดใสของหาดทรายทางภาคใต้ของไทย ไม่เคยไปบาหลี ไม่เคยไปมัลดีฟ เราจึงไม่สามารถเปรียบเทียบได้ว่าสิ่งที่เราเห็นข้างหน้ามันงามมากกว่าที่ใด
แต่มันมีมนต์เสน่ห์ของบรรยากาศที่เรากำลังเผชิญอยู่ แสงแดดย่ามบ่ายที่กำลังแผดเผาผิวหนังให้ไหม้เกรียมก็ไม่อาจทะนงตัวมาบังคับให้เราผันหน้าหนีไปหลบใต้ร่มเงาที่อื่นได้
ภวังค์แห่งคลื่นน้ำเค็มสะกดให้เรายืนเสพความยิ่งใหญ่ที่เรียบง่ายของธรรมชาติ แต่ก็ไม่อาจพอที่จะทำให้เราหยุดรู้สึกเศร้าและตกใจกับความจริงที่จะเกิดขึ้นในอนาคต กับแรงดึงดูดที่ชักพาเรามาที่นี้
เราเดินตามชาวบ้านไปตามแนวหาดทราย เรียบเนินเขาที่ปกคลุมไปด้วยสวนป่าหมากต้นสูง และทะลุออกไปที่ทุ่งนาอีกฝั่ง ตอนนี้เป็นช่วงฝนน้อยปลายฤดูกาลเก็บเกี่ยว ทุ่งนาที่เคยเขียวชอุ่มไปด้วยคุณค่าทางอาหารของข้าว ตอนนี้เหลือเพียงหญ้าแห้งๆ และดินโคลนที่แตกตัวเป็นร่องเล็กๆ อย่างกับว่าธรรมชาติได้จารึกร่องรอยของน้ำที่ครั้งหนึ่งเคยอุ้มค้ำผืนดินและพืชพันธุ์ในบริเวณนี้ระเหยไปตามกาลเวลา
ระหว่างที่เดินไปตามคันนา มีวัวตัวใหญ่สีขาวแกมเทากำลังเดินผ่านต้นตาลกลางทุ่ง มันค่อยๆ สลับขาแหวกหญ้าแห้งที่ก่อกวนแนวเดินไปกว่าครึ่ง วัวตัวนั้นกำลังลากเกวียนไม้ที่มีผู้ชายคนหนึ่งอยู่บนนั้นไปตามแนวทางเดิน
เราหยุดพักเพื่อบันทึกความคุ้นชินของชาวบ้าน แต่อารมณ์ที่เกิดขึ้นในตัวเรากลับมองว่าสิ่งที่เห็นอยู่นั้นเป็นเรื่องแปลกที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
เราเดินต่อไปตามคันนาอีกสองสามกิโลก่อนจะปีนข้ามคันดินสูงที่ชาวบ้านสร้างไว้ป้องกันไม่ให้น้ำเค็มไถลเข้ามาที่นาของเขา ภาพอีกฝั่งคือชายเลนที่ทอดยาวและกว้างไกล เส้นแบ่งเขตระหว่างน้ำทะเลกับชายเลนถูกทำให้เบลอไปความยิ่งใหญ่ของตะกอนดิน
เราถอดรองเท้าแล้ววางไว้ที่จุดเริ่มต้นของหาดเลน ก้าวเท้าออกเดินไปข้างหน้า จากก้าวแรกที่หมู่บ้านประมงริมหาดทราย ผ่านสวนหมากและทุ่งนา ระยะทางก็คงไม่น้อยไปกว่า 5 กิโลเมตร แต่ทางหาดเลนข้างหน้า แม้จะดูยาวไกล แต่ด้วยภวังค์ที่สะกดความอยากของเราไว้ตั้งแต่แรกเริ่ม เราจึงหมดแรงปฏิเสธและยอมจำนนยกเท้าเปล่าก้าวเดินต่อไป
บนหาดเลนมีทุ่งหญ้าสีเขียวประปราย ครั้งแรกที่เห็นเราตื่นเต้นกับใบสีเขียวอ่อนเหล่านั้น จนกระทั่งถึงเวลาที่เราต้องไปเหยียบมันเพื่อผ่านไปข้างหน้า
เจ็บ
เท้าเปล่าที่เดินทอดน่องมาตลอดทางโดนท้าด้วยความแหลมคมของใบสีเขียวบนหาดเลน นี่เป็นครั้งแรกที่เราเผชิญกับพืชชนิดนี้ จะเบี่ยงตัวกลับก็เสียดายว่าจะไม่ได้สัมผัสทะเลอีกรอบ ถ้าเดินหน้าต่อ เราก็คงต้องทนกับความเจ็บไปตลอดแนว ท้ายที่สุด หลังจากเดินไปเรื่อยๆ เราก็พบว่า การไถลเท้าเพื่อรีดให้ใบหญ้าสีเขียวนั้นน้อมแทบเลนเป็นวิธีหนึ่งในการลดแรงปะทะกับความแหลมคมของใบหญ้า
เพื่อนรุ่นพี่ชี้ไปข้างๆ “เธอเคยเห็นดอกไม้บนหาดเลนไหม?”
เรามองตามนิ้วที่ชี้ไปข้างๆ
“ใครกันที่วาดรูปดอกไม้ได้เก่งขนาดนี้” ชายรุ่นพี่ร่างเล็กบอบบางกล่าวต่อ เขายิ้มที่มุมปากแล้วก็เดินมุ่งหน้าต่อไป ไม่ยืนรอให้เราได้ตอบคำถามที่เขาเปรยออกมา
พี่อีกคนส่งเสียงดีใจ “ดูๆ ตรงนั่น! หอยกำลังเดินเต็มไปหมดเลย! อ่า ตรงนั่นๆ ปูๆๆ” ความสนุกในน้ำเสียงของเขาทำให้เราลืมความเหนื่อยและความเจ็บ ได้แต่หยิบยกกล้องออกมาคอยถ่ายรูปธรรมชาติที่เราไม่เคยเห็นมาก่อน
ระหว่างทางไปทะเล เราได้พบเห็นหอยมากมายหลายชนิด ปูตัวเล็ก ตัวน้อย วิ่งกรูไปทั่วหาดเลน
บางครั้ง พี่จอมยุทธ์แห่งเสียงนกป่าจะสะกิดให้เราหยุดพูด แล้วถามว่า “ได้ยินเสียงนกตัวนั่นไหม ที่นี่มีนกเยอะมาก และมีหลายสายพันธุ์ที่เขาไม่เคยคิดว่ามันจะยังมีอยู่”
พี่ร่างเล็กผู้นี้เคยเล่าว่า เวลาที่เขาไปดูนก เขาจะไม่ค่อยพกกล้องส่องทางไกลไปและมักจะออกไปตอนกลางคืน สิ่งที่เขาอยากเห็น มันไม่จำเป็นต้องเห็น สิ่งที่สำคัญเวลาดูนกคือ รอและฟังเสียงของนกตัวนั้นๆ
บนหาดเลนแห่งนี้ เผยโฉมภูมิปัญญาของคนท้องถิ่นในการจับสัตว์น้ำ บางช่วงเราก็จะเห็นพรานทะเลเดินดุ่มๆ มาพร้อมกับรางวัลแห่งการรอคอย ทั้งปลา กุ้ง กั้ง หอยและปู ชาวประมงบางคนได้ปักไม้เป็นแนวเหมือนรั้วแล้วทาบตาข่ายไว้เพื่อดักปูหรือสัตว์น้ำ
จู่ๆ เพื่อนชาวมอญก็เดินดิ่งไปที่เสาไม้กลางเลนแล้วก้มลง
“วันนี้วันพระ ปล่อยให้ปูตัวนี้ไปก่อนละกัน” เสียงนุ่มนวลเหน่อๆ ของเขาทำเราตื้นใจไปทันที
ไม่ใช่เพราะเราเห็นว่าพี่คนนี้เป็นคนธรรมะธรรโม นี่คือความเชื่อท้องถิ่นที่เขาถูกหล่อหลอมมา แต่สิ่งที่ทำใฟ้เราตื้นตันคือ กฎระเบียบที่สะท้อนออกมาจากคำบอกเล่าของเขา การนับถืออาหารที่เขารู้จักละเว้นและพอ
คลื่นน้ำเค็มตอนนี้อยู่แค่เอื้อม แต่ดูเหมือนภวังค์ที่สะกดเราค่อยๆ จางไปกับแสงอาทิตย์สีแสดยามเย็น อาจเป็นเพราะน้ำในร่างกายถูกความร้อนสูบออกไปเกือบหมด สมองเลยรู้สึกมึนๆ อยากนั่งพัก หรืออาจเป็นเพราะแผนการสร้างโรงผลิตไฟฟ้าจากถ่านหินที่จะมายึดครองพื้นที่ตรงนี้และบริเวณรอบๆ ทั้งหมด 500 เอเคอร์ บวกกับท่าเรือรับถ่านหินคุณภาพจากแดนใต้เส้นศูนย์สูตรที่อยู่ห่างไปจากชายฝั่ง 3-5 กิโลเมตร
1280 คือตัวเลขจำนวนไฟฟ้าหน่วยเมกะวัตต์ที่ทางบริษัทเสนอไว้ในแบบของโรงผลิตไฟฟ้าถ่านหินอัลตร้าซุปเปอร์คริติกัล 200,000 ลูกบาศก์เมตร คือจำนวนน้ำเค็มที่โรงไฟฟ้าแห่งนี้กระหายต่อชั่วโมง
ความกังวลของชาวบ้านอังแตงกว่า 200 หลังคาเรือนและหมู่บ้านใกล้เคียงอีก 5-6 หมู่บ้านคือ แหล่งน้ำ ลมอากาศ สัตว์น้ำที่จะปนเปื้อนด้วยสารพิษ ความไม่สมบูรณ์ของผืนดินและพืชเศรษฐกิจหลักอย่างหมาก ทุ่งนาที่เป็นแหล่งอาหารพื้นฐานจะโดนกดทับด้วยโครงสร้างขนาดใหญ่ และที่สำคัญ การเข้ามาของคนจากพื้นที่อื่นที่จะมาพร้อมความคิดที่แตกต่างและความเป็นเมืองที่ชาวบ้านยังไม่รู้ว่าจะรับมือกับมันอย่างไร
“คุณได้ยินเรื่องที่เขาจะสร้างโรงไฟฟ้าถ่านหินที่เมืองเยไหม? ทางบริษัทเขาเข้าไปหาชาวบ้าน แต่พอดีมีหลายองค์กรที่พอทราบเรื่องอยู่ เราเลยเชิญเหล่าอาจารย์ นักอนุรักษ์ นักการเมืองท้องถิ่นทั้งหลายเข้าพื้นที่ไปอ่านอีไอเอขนาดมหึมา แล้วก็ตั้งคำถามกับทางตัวแทนบริษัท ซึ่งเธอคนนั้นก็เป็นคนมอญเหมือนกัน”
ทุ่งนาที่โอบล้อมชายหาด เป็นแนวกันระหว่างน้ำเค็มกับหมู่บ้านและสวนหมาก สวนผลไม้ ยังคงอยู่นะตอนนี้ แต่ความกังวลของชาวอังแตงได้วิ่งแซงหน้าให้ความคิดต่างค่อยๆ ผลักให้ความแตกแยกเข้ามาเยือน