บทเรียนสื่อใหม่กับการเมือง -เก็บตกการบรรยายจากอดีตนักข่าว CNN
ดิฉันได้ไปฟังบรรยายเรื่องสื่อใหม่กับการเมืองใหม่มาค่ะ ที่สนใจประเด็นนี้เพราะผู้บรรยายเป็นอดีตนักข่าว CNN เป็นอาจารย์ด้านการสื่อสารทั้งหนังสือพิมพ์และรัฐศาสตร์ เคยสอนถ่ายภาพ สอนด้านวิทยุ และอีกสารพัดดีกรี แต่ไปฟังครั้งนี้ ตั้งใจให้เข้าคอนเซ็ปต์ โดยจะรายงานข่าวทางสื่อใหม่ไปด้วย ทั้งทวิตเตอร์และเฟสบุ๊ค ฟังไป ดิฉันก็รายงานไป อาศัยเป็นคนพิมพ์ไว สรุปความพอได้ ก็รายงานทางสือใหม่ไปจนจบ และพบว่า มีผู้สนใจ ติดต่อมาอยากนำสิ่งที่ดิฉันรายงานไปรวบรวมเป็นข้อมูลเผยแพร่ต่อ ต้องขอบคุณมาก ขณะเดียวกันดิฉันเองก็ตั้งใจจะเขียนเพื่อเติมข้อมูลที่สัมผัสจากในวงบรรยายจริง เชื่อมกับประสพการณ์ตรงของตัวเองอยู่ด้วยเช่นกัน เพื่อเตือนความทรงจำของตัวเองและแบ่งปันผู้สนในแง่มุมของสื่อใหม่ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตเราไปแล้ว
แนะนำวิทยากรก่อนค่ะ “ราล์ฟ เจ เบ็กไลเทอร์” เป็น ผอ.ศูนย์การสื่อสารทางการเมือง มหาวิทยาลัยเดลาแวร์ มีประสบการณ์ด้านสื่อกระจายเสียงมากว่า 30 ปี เคยได้รับรางวัลในฐานะอาจารสอนวิชาการสื่อสาร หนังสือพิมพ์ และรัฐศาสตร์ เขาเคยทำงานเป็นนักข่าวต่างประเทศของ CNN เดินทางมากที่สุด 97 ประเทศ ใน 7 ทวีป (ประเทศไทย เป็นประเทศที่ 100 ในการเดินทางของเขา) เคยเป็นพิธีกร ดำเนินรายการ Great Decisions ทางสถานีโทรทัศน์ PBS ปัจจุบันเขาสอนหลายวิชาและเป็นวิทยากรหลักสูตรด้านการสื่อสารหลายอย่างและได้รับรางวัล “การสอนยอดเยี่ยม”มาแล้ว ราล์ฟ เริ่มต้นการบรรยายว่าเขาทราบว่าพวกเราเพิ่งผ่านการเลือกตั้งที่น่าตื่นเต้นมา (ผู้ฟังส่วนใหญ่เป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่) หัวข้อบรรยายวันนี้ก็เกี่ยวกับการเลือกตั้ง และที่อเมริกาก็จะมีเลือกตั้งปีหน้าเหมือนกันด้วย การบรรยายครั้งนี้ไม่ใช่การวิเคราะห์การเมืองไทย แต่จะพูดเรื่องการใช้สื่อและการเมือง โดยวิเคราะห์สิ่งที่เกิดในอเมริกา แต่เชื่อว่าผู้ฟังสามารถเชื่อมโยงเหตุการณ์เข้าด้วยกันได้
“ผมขอเล่าอดีตของผมหน่อย เมื่อก่อนผมก็นั่งฟังการบรรยายเหมือนที่คุณนั่งเหมือนกัน และตอนนี้ผมได้เป็นคนพูด ผมเคยทำงานซีเอ็นเอ็น เขาส่งผมไปรายการเรื่องความสัมพันธ์ระหว่างประเทศในหลายๆ ประเทศ ในขณะที่ครอบครัวผมอยู่ดีซี แต่ผมต้องเดินทางทั่วโลกไปสัมภาษณ์ทั้งคนที่เกี่ยวข้องกับความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ นายกรัฐมนตรี ประธานาธิบดี กษัตริย์ ผู้นำเผด็จการ แต่สิ่งที่ผมไม่เคยทำคือข่าวสงคราม หน้าที่ผมคือ รายการความเป็นจริงก่อนสงครามจะเกิดขึ้น และพยายามสร้างสันติภาพเมื่อสงครามสิ้นสุดลง”
ราล์ฟ บอกว่าทักษะที่นักข่าวควรมี คือต้องสามารถตั้งคำถามที่ท้าทายให้ตอบ ไม่ใช่ถามคำถามง่ายๆ เช่น คนอเมริกันรู้ว่าทหารอเมริกันจำนวน 58,226 คนตายในสงครามเวียดนาม แต่กว่า 40 ปีมาแล้วคนเวียดนามยังไม่รู้เลยว่าทหารและประชาชนชาวเวียดนามตายไปเท่าไร คนจำนวนน้อยมากที่ตอบเรื่องนี้ได้ ผมได้ไปค้นหาความจริงที่ฮานอย ตั้งคำถามกับอดีตผู้นำของเวียตนามในขณะนั้น และไปค้นข้อมูลทางเอกสาร ถึงตอนนี้อาจารย์ผู้ได้รับรางวัลด้านการสอนยอดเยี่ยม ก็เปิดคลิปงานข่าวชิ้นนั้นให้ชม เป็นคลิปสั้นๆ ประมาณ 1 นาที ภาพตัวเขา เปิดหน้ารายงานสดอยู่หน้าสุสานคนเวียตนามที่กรุงฮานอย ตั้งคำถามที่น่าท้าทายนั้น และเป็นเนื้อข่าวที่รายงานได้อย่างกระชับ เร้าใจ “สิ่งที่ผมค้นพบคือเราได้ข้อมูลว่าทหารและคนเวียตนามตายกว่า 3 ล้านคน ตัวเลขนี้เป็นการเปิดเผยข้อมูลครั้งแรก ผมคิดว่าตัวอย่างนี้เป็นตัวอย่างของการตั้งคำถามที่ไม่เคยมีคำตอบ ทำให้เกิดการค้นพบข่าวสำคัญ”
ราล์ฟโชว์ภาพเครื่องพิมพ์ดีด โทรศัพท์บ้าน และอธิบายว่ามันคือสื่อเก่า ทุกวันนี้เด็กเล็กอยู่กับสื่อใหม่ในชีวิตประจำวัน บางคนมีอุปกรณ์เหล่านี้รอบตัวมากกว่า 1 ชิ้น ทั้งโทรศัพท์ไร้สาย “จำคำของผมไว้ แคมเปญการเมืองในอนาคตจะใช้สื่อใหม่ที่คนสื่อสารถึงกัน 2 ทางได้”ราล์ฟ เริ่มเข้าสู่ประเด็นของสื่อกับการเมือง เขาชวนเราให้ลองเปรียบเทียบการเมืองช่วงสงครามเย็น ที่อเมริกา และรัสเซีย ต้องพยายามสื่อสารและจูงความคิดไปยังประเทศอื่นด้วยการสื่อสารแบบเก่า เครื่องมือสื่อสารใหญ่โต เทอะทะ ใช้เวลานาน คนมากมาย (เขาโชว์คลิปของซีเอ็นเอ็น เกี่ยวกับการรายงานข้อมูลและสถานการณ์สงครามทางวิทยุในยุคก่อน ) แต่ปี 2011 วิธีดั้งเดิมแบบนี้ถูกลืมไปหมดแล้ว
เขาพูดถึงกรณีประเทศอียิปต์เกิดการชุมนุมขับไล่ประธานาธิบดีของผู้คนมากมาย ขณะที่ทีวีรัฐบาลเสนอภาพความสงบเรียบร้อย แต่ในอินเตอร์เน็ตคนทั้งโลกเห็นภาพความเป็นจริงที่แตกต่าง ทั้งประชาชนและทหารอียิปต์ต่างก็รู้ว่าทั้งโลกกำลังจับตามองอยู่ ไม่ใช่จากทีวีรัฐบาล แต่เป็นสื่อใหม่ทางอินเตอร์เน็ต โดยเฉพาะในช่วงที่สำคัญที่สุดคือรัฐบาลอียิปต์สั่งให้ปราบปรามประชาชน จากนั้นเขาโชว์ภาพนิ่งเหตุการณ์ชายคนหนึ่งยืนประจันหน้ารถถังและถามผู้ร่วมฟังว่ารู้จักภาพนี้หรือไม่ ? แทบทั้งหมดในห้องไม่ยกมือ เขาเฉลยว่านี่คือภาพเมื่อปี 1989 ตอนรัฐบาลจีนส่งทหารมาปราบประชาชนที่เทียนอันเหมิน เขาบอกว่าที่ประเทศจีนไม่ค่อยมีใครรู้เพราะภาพนี้ไม่ถูกเผยแพร่ในยุคนั้น แต่ทุกวันนี้หากมีการเผชิญหน้าระหว่างกัน เราจะเห็นทันทีเพราะมีสื่อใหม่ รัฐบาลไหนๆ ก็ไม่สามารถซ่อนความจริงแบบนี้จากประชาชนได้อีก
“หลังเกิดเหตุในอียิปต์ ก็เกิดเหตุที่บาร์เรน โดยทหารบาร์เรนตัดสินใจใช้ความรุนแรง เราก็เห็นได้ทันทีจากเฟสบุ๊ค ที่เยเมนก็เกิดกรณีคล้ายกันและจบไม่ลง เราสามารถติดตามนาทีต่อนาทีจากสื่อใหม่ โดยไม่ต้องสนใจทีวีว่าจะสนใจทำเรื่องแบบนี้หรือไม่ กรณีลิเบีย เราได้ข่าวจากลิเบียผ่านสื่อใหม่ใช่หรือไม่ ?” เช่นนั้นเรามาพูดเรื่องสื่อใหม่ว่ามีบทบาทต่อการเมืองโลกอย่างไรกันดีกว่า ราล์ฟโชว์ภาพเหตุการณ์ผู้ประท้วงชาวอียิปต์ถือป้ายภาษาอังกฤษในลักษณะต่างๆ ในเหตุการณ์นั้น บางคนเอาก้อนหินมาเรียงกันเขียนว่าเฟสบุ๊ต ทวิตเตอร์เพื่อดึงดูดผู้ชมทางสื่อใหม่ พวกเขารู้ว่าสื่อสารกับโลกได้ และขณะที่การเผชิญหน้ากันอยู่นั้น รัฐบาลอียิปต์เองก็ตัดสินใจมีเฟสบุ๊คเป็นของตัวเอง “แต่อย่าสรุปว่าสื่อใหม่จะมาแทนที่ เพราะสื่อใหม่เองก็สามารถถูกปล้นหรือเจาะเข้าไปได้เช่นกันนะ ไม่นานมานี้เองสถานีโทรทัศน์ FOX ของอเมริกา เพิ่งมีคนแฮกเข้าไปในระบบสื่อใหม่ และรายงานว่าประธานาธิบดีโอบามาถูกลอบสังหาร ดังนั้นการที่เราได้ข่าวจากสื่อใหม่ ต้องตรวจสอบให้ชัดเจนด้วย”
ราล์ฟพูดถึงเหตุการณ์ในประเทศไทย ที่มีการเตือนไม่ให้ใช้สื่อใหม่ก่อนวันเลือกตั้ง เขาบอกว่าไทยได้สร้างประวัติศาสตร์ใหม่คือ พยายามห้ามการใช้สื่อใหม่ ซึ่งเขาคิดว่าไม่น่าจะเป็นไปได้นอกจากเว็บนั้นจะล่มหรือถูกปิดไป และเชื่อว่าการเลือกตั้งครั้งต่อไปไม่ว่าที่ไหน และประเด็นห้ามสื่อใหม่ในการเมืองจะเป็นประเด็นสำคัญในทุกประเทศ เขาชวนดูภาพบนจอเพาเวอร์พอยท์ของเขา เป็นภาพแผนที่โลกที่เราคุ้นเคยในปัจจุบัน แต่เขาให้เราสังเกตสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น โดยกราฟฟิคบนหน้าจอของเขาทำให้แผนที่โลกค่อยๆ หายไป กลายเป็นแผนที่ใหม่ นั้นคือแผนที่แสดงจำนวนผู้เล่นเฟสบุ๊ค (สามารถตรวจสอบจำนวนผู้ใช้ FB ได้ที่ http://www.checkfacebook.com/ แต่ราล์ฟก็ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่า แม้บางประเทศไม่มีการใช้เฟสบุ๊คมาก เช่นที่ประเทศจีน เพราะถูกแบนโดยรัฐบาล แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าคนจีนจะไม่เชื่อมต่อ Social network เพราะคนจีนก็มีสังคมออนไลน์ของตนเอง และใช้มันมากด้วย
“ผมอยากให้คุณดูภาพนี้อีกครั้ง สังเกตจุดขาวๆ ที่หนาแน่น เช่นยุโรป อเมริกาฝั่งตะวันออก อินโดนีเซีย มาเลเซีย ในทางรัฐศาสตร์เรามองประเทศเป็นประเทศที่พัฒนาแล้ว ประเทศด้อยพัฒนา แต่สไลด์นี้แสดงถึงประเทศที่พัฒนาแล้วทางเฟสบุ๊ค ด้อยพัฒนาทางเฟสบุ๊ค ยิ่งเฟสบุ๊คเชื่อมกันมากเท่าไร โอกาสที่ทั่วโลกจะรู้เกี่ยวกับคุณ ประเทศของคุณมีมากขึ้นเรื่อยๆ” เขาแสดงชาร์ทการใช้อินเตอร์เน็ตของประเทศต่างๆ ในโลก เราจะเห็นภาพประชากร FB ในยุโรปและอเมริกา แต่ก็ย้ำว่า ประเทศที่พัฒนาแล้วทางอินเตอร์เน็ตไม่ได้แปลว่าคนในประเทศนั้นจะมีการสื่อสารกับคนอื่นๆมากแต่อย่างใด ต้องดูจากปริมาณผู้ใช้เว็บไซต์เครือข่ายทางสังคมด้วย โดยประเทศที่มีผู้ใช้โซเชียลเน็ตเวิร์คอย่างเฟสบุ๊คมากที่สุดคือกลุ่มประเทศในยุโรปและอเมริกาเหนือ เขาชวนดูสถิติประเทศขนาดเล็กๆ เช่นเกาหลีใต้ สิงคโปร์ เป็นประเทศเล็กที่ทุ่มงบประมาณมหาศาลให้คนเข้าถึงอินเตอร์เน็ต แต่ประเทศอียิปต์คนแค่ 25 % เข้าถึงอินเตอร์เน็ตเท่านั้น หากแต่ย้อนไปมองเหตุการณ์ทางการเมืองที่ผ่านมา ก็ไม่ได้หมายความว่าการจะเป็นข่าวใหญ่ได้ก็เพราะมีอินเตอร์เน็ตมาก แต่คนที่มีความสามารถใช้การสื่อสารผ่านเน็ตมีประสิทธิภาพต่างหากที่จะทำให้ข้อมูลถูกเผยแพร่ สำหรับประเทศไทย คนไทยไทยประมาณ 27 % เข้าถึงอินเตอร์เน็ต มีคนใช้เฟสบุ๊คประมาณ 10.6 ล้านคน และเป็นจำนวนที่มีอายุต่ำกว่า 35 ปี หมายความว่าคนรุ่นใหม่เป็นพลังทางการเมืองได้ในอนาคตผ่านสื่อใหม่ “ลองมาดูสถิติของใช้ที่เกาหลีใต้ แม้จะมีอินเตอร์เน็ตดี แต่ก็ใช้เฟสบุ๊คกันไม่มาก กรณีไทยมีคนใช้เฟสบุ๊คเพียงครึ่งหนึ่งของคนที่เข้าถึงอินเตอร์เน็ตหมายถึงเพียง 13 % เท่านั้น แต่พวกคุณจำได้ไหมว่าการเมืองไทยก็หาเสียงผ่านเฟสบุ๊คนะ นักการเมืองไทยก็เห็นว่าพวกคุณสำคัญที่จะเอื้อมมือมาสื่อสาร” ราล์ฟ เริ่มเข้าสู่ประเด็นการใช้สื่อใหม่ซึ่งมีผลกับการเมืองโดยเฉพาะการหาเสียงโดยยกตัวอย่างกรณีของสหรัฐอเมริกา
เขาโชว์นิตยสารนิวยอร์คเกอร์ ซึ่งมีภาพการ์ตูนภาพมิเชลกับโอบามาอยู่ในห้องทำงานประธานาธิบดี โอบามาแต่งกายด้วยชุดแบบอาหรับ ในเตาผิงมีการเผาธงชาติอเมริกา ซึ่งถือว่าเป็นการ์ตูนการเมืองที่แรง ภาพนี้ตีพิมพ์ในนิตยสารหลายเดือนก่อนเลือกตั้ง แต่คนอเมริกันน้อยมากที่เห็นนิตยสารนี้ และรูปนี้ก็ไม่มีผลกระทบอะไร แต่ฝ่ายตรงข้ามของโอบามาเอาไปโพสต์และส่งต่อทางสื่อใหม่ ทำให้คนจำนวนมากได้เห็นภาพนี้ จากนั้นเขาโชว์คลิปการหาเสียงของแมคเคนซึ่งเป็นคู่แข่งของโอบามา ในคลิปนั้นมีหญิงคนหนึ่งซึ่งเป็นผู้สนับสนุนแมคเคนถามว่า ตกลงโอบามาเป็นอาหรับใช่ไหม ? “ผมเรียกสิ่งเหล่านี้ว่าสงครามใต้ดิน” เขาชวนคิดต่อว่า การเลือกตั้งของไทยที่ผ่านมา ก็น่าจะมีแต่คนไทยที่เกี่ยวข้องใช่ไหม แต่ความเป็นโลกที่ไร้ขอบเขต “คนข้างนอก”ก็เข้ามาเกี่ยวข้องได้ด้วยการทำสงครามใต้ดินผ่านทางสื่อใหม่ “แต่การสื่อสารทางการเมืองผ่านสื่อใหม่ก็ใช่มีแค่ภาพลบ” เขาโชว์คลิปบนยูทูปที่ เป็นคลิปรณรงค์และชื่นชอบโอบามาของคนหนุ่มสาวที่คลั่งไคล้โอบามามาก เป็นคลิปที่เซ็กซี่ ยาวร่วม 10 นาที ไม่ได้เผยแพร่ทางสถานีโทรทัศน์ คนทำไม่ได้เงินจากโอบามา ไม่ได้อยู่ในทีมหาเสียง ไม่ได้เป็นสื่อ แต่เขาทำขึ้นมาและมีคนเข้าไปดูกว่า 50 ล้านครั้ง ก่อนโอบามาได้รับเลือกตั้งเลยทีเดียว”
ในช่วงของการถามตอบ มีนักศึกษาถามว่าเราคิดอย่างไรกับการบล็อคอินเตอร์เน็ต เขาบอกว่า แน่นอน เขาไม่เห็นด้วยกับการบล็อคอินเตอร์เน็ต มันเป็นอุปสรรคต่อการพัฒนา เขาเล่าด้วยว่าปี 2001 เขาได้รับเชิญจากรัฐบาลซีเรียไปบรรยายเรื่องบทบาทอินเตอร์เน็ต รัฐบาลซีเรียเป็นเผด็จการ แม้จะมีการเลือกตั้งก็ตาม แต่ก็มีผู้นำเป็นคนเดิมต่อเนื่อง ไม่มีคู่แข่ง “ผมร่างคำบรรยายเสร็จ แต่รัฐบาลซีเรียขอดู ผมก็ส่งให้ดูและบอกว่าผมจะไม่เปลี่ยนอะไร ในที่สุดผมก็ถูกยกเลิกการเชิญไปบรรยาย เพราะเขารู้ดีว่าสิ่งที่ผมจะบรรยายคือ บทบาทอินเตอร์เน็ตจะส่งผลต่อรัฐบาลเผด็จการอย่างไร คงไม่ต้องบอกว่าเรื่องแบบนี้ก็เกิดในหลายประเทศเช่นกัน” เขาบอกด้วยว่า โดยทั่วไปประเทศที่ค่อนไปทางเผด็จการ และรัฐต้องการคุมประชาชนย่อมไม่เห็นด้วยที่จะให้เข้าถึงอินเตอร์เน็ต แต่โทรทัศน์ดาวเทียม จะไม่ถูกควบคุมโดยรัฐบาล เช่น ในประเทศซาอุดิอาระเบีย ประชาชนรับสัญญาณจากโทรทัศน์อัลจาซีราได้ “ผมเชื่อว่าในอนาคต อินเตอร์เน็ตจะส่งทางดาวเทียมได้ รัฐบาลใดใดก็คุมอินเตอร์เน็ตไม่ได้อีกต่อไป เหมือนจีพีเอสที่เข้ามาในโทรศัพท์มือถือของเราได้”
มีนักศึกษาถามว่า การที่สื่อใหม่จะมีผลต่อการพัฒนา ขึ้นอยู่ระบบการปกครองของประเทศ แล้วจะแก้อย่างไร เขาบอกว่า ประเทศที่เป็นประชาธิปไตย การแลกเปลี่ยนกันเป็นเรื่องปกติ การจะพัฒนาสื่อใหม่โดยทั่วไปก็น่าจะขึ้นอยู่กับระบบการปกครองของประเทศนั้นๆ แต่ลองดูตัวอย่างในประเทศตะวันออกกลาง มีการใช้อินเตอร์เน็ตและสื่อใหม่ทางการเมืองมากกว่า ประสบความสำเร็จกว่าอเมริกาด้วยซ้ำไป สื่อใหม่ทางการเมืองมันจะมีประสิทธิภาพมาก เมื่อช่องทางปกติถูกปิด แต่สิ่งที่เป็นคำถามกับเราคือ เราใช้เฟสบุ๊ค และทวิตเตอร์ ทางการเมืองหรือเปล่าล่ะ ส่วนใหญ่นัดกันกินข้าว เอารูปมาโชว์กันมากกว่าใช่หรือไม่ ?” ราล์ฟจบการบรรยายครั้งนี้ด้วยคำถามที่ท้าทายต่อพวกเรา ผู้ใช้สื่อใหม่ ! ^_____^
เรียบเรียงจากการรายงานข่าวทางสื่อใหม่ http://www.facebook.com/photo.php?fbid=10150245528819571&set=a.489090574570.270355.749584570&type=1&theater ขณะเข้าร่วม การบรรยายเรื่องสื่อใหม่ กับ การเมืองใหม่ : New Media New Politic โดย: ราล์ฟ เบ็กไลเทอร์ อดีตนักข่าว CNN วันพุธที่ 6 กรกฎาคม 2554 เวลา 09.00 – 12.00 น. ณ สำนักหอสมุด มหาวิทยาลัยเชียงใหม่