แม้ตลาดสดหลายแห่งจะยังคงเปิดขายสินค้าตามปกติอยู่ แต่มีบางคนได้ตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ไปเดินตลาดให้ต้องเสี่ยงติดเชื้อไวรัสเพื่อผักแค่กำเดียว แล้วจะทำอย่างไรให้มีผักหรืออาหารกินตามปกติ หากเป็นชาวบ้านระดับรากหญ้ารากมะม่วงทั่วไป นี่คงไม่ใช่ปัญหา เดินยังไม่ทันรอบบ้านคงได้ผักมาเต็มมือแล้ว แต่สำหรับคนทำงานนั่งเก้าอี้หมุนทั้งวัน นี่แหละปัญหาใหญ่เมื่อเลิกงานแล้วจะเอาอะไรกิน
เช่นเดียวกับกลุ่มบุคลากรในคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี ที่บางคนต้องประสบภัยขาดแคลนผัก แต่วันนี้พวกเขาค้นพบวิธีเอาตัวรอดในสถานการณ์นี้แล้วโดยการหันมาเป็นพ่อค้าแม่ค้าและลูกค้าเสียเอง ซึ่งระบบการค้าขายของพวกเขานั้นไม่มีอะไรซับซ้อน เพียงแค่หาอะไรที่กินได้รอบ ๆ บ้าน รอบ ๆห้องพัก ถ่ายรูปแล้วลงในกลุ่มไลน์ของคณะ จากนั้นรอคำสั่งซื้อ เอาของมาส่งแล้วรับตังค์ นี่คือหนึ่งในวิธีแก้ปัญหาที่ง่ายและตรงจุดที่สุดแล้ว
อุษณีย์ ชูรัตน์ หรือ เช หนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่มีสินค้ามาขายเป็นประจำ นั่นเพราะเธอมีแปลงผักเล็ก ๆ อยู่ไม่ไกลจากมหาวิทยาลัยมากนัก โดยสวนแห่งนี้ได้รับการดูแลโดยพ่อแม่สามี เชมีหน้าที่นำผลผลิตมาขาย ซึ่งเมื่อก่อนจะเก็บไปขายที่ตลาดเป็นหลัก แต่พอเจอสถานการณ์โรคระบาดนี้เธอก็ไม่อยากเสี่ยงแล้ว เลยลองโพสต์ลงในกลุ่มไลน์คณะที่มีสมาชิกอยู่เกือบร้อยคน ปรากฏว่ามีสมาชิกต้องการซื้อจึงเก็บขายเรื่อยมาโดยไม่ต้องไปเสี่ยงติดเชื้อจากการสัมผัสในตลาดอีกต่อไป
สำหรับวิธีการซื้อขายของกลุ่มนั้นหากสมาชิกมีวัตถุดิบอะไรที่จะขายก็ให้ถ่ายรูปลงกลุ่ม ระบุราคา เมื่อมีคนแจ้งความประสงค์ว่าจะซื้อหรือที่พวกเขาเรียกกันว่า “เอฟ” คนขายก็จะเอาสินค้านั้นไปวางที่จุดนัดพบซึ่งปกติก็คือโต๊ะเล็ก ๆ ข้างห้อง รปภ.ของคณะ เมื่อวางเสร็จก็แจ้งคนซื้อว่าเอาของมาวางแล้ว จากนั้นคนซื้อก็จะมาหยิบสินค้าที่ตัวเองสั่งจองไว้โดยคนซื้อกับคนขายไม่ได้สัมผัสกันเลย แม้แต่ตอนจ่ายเงินยังใช้วิธีโอนทางมือถือ ตอบโจทย์ทั้งการลดความเสี่ยงจากการสัมผัสและแก้ปัญหาเลิกงานแล้วจะเอาอะไรกินได้
ปาริชาติ สุรมาตย์ หรือนก หนึ่งในสมาชิกกลุ่มที่ซื้อสินค้าเป็นประจำบอกว่าเมื่อก่อนเธอถึงขั้นต่อต้านการซื้อขายสินค้าเกษตรผ่านทางออนไลน์ เพราะมันไม่ได้เห็นของ ไม่มั่นใจในสินค้าว่าจะปลอดภัยหรือไม่ หรือเขาเอาสินค้าจากที่ไหนมาขายก็ไม่รู้ แต่เมื่อได้มีโอกาสลองสั่งซื้อปรากฏว่าวิธีการนี้สะดวกต่อวิถีชีวิตของตัวเองมาก และกลายเป็นว่ามีความมั่นใจในสินค้ามากกว่าไปซื้อที่ตลาด เพราะรู้จักกับคนขายจึงรู้เส้นทางการมาของพืชผักที่จะซื้อ
ผศ.มงคล ปุษยตานนท์ คณบดีคณะวิศวกรรมศาสตร์ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า จริง ๆ กลุ่มซื้อขายสินค้าของคณะก่อตั้งมา 4-5 ปีแล้ว ก่อนเกิดวิกฤติโควิด ซึ่งซื้อขายกันในลักษณะแลกเปลี่ยนผลิตภัณฑ์แบบพี่ ๆ น้อง ๆ มากกว่าการค้าขายแบบจริงจัง เพราะแต่ละคนไม่ได้เป็นเกษตรกรมืออาชีพ เพียงแค่ปลูกผักสวนครัวเล็ก ๆ น้อย ๆ หรือมีผลไม้ตามฤดูกาลก็เอามาโพสต์ขาย ซึ่งช่วยได้มากในภาวะวิกฤตินี้และคิดว่ากิจกรรมนี้น่าจะทำไปได้อีกนานเพราะคนซื้อกับคนขายก็เป็นคนกันเอง
การค้าขายสินค้าผ่านกลุ่มไลน์ไม่ได้มีแค่ของคณะวิศวกรรมศาสตร์เท่านั้น แต่ในระดับมหาวิทยาลัยเองก็มีกลุ่มประเภทนี้เช่นกัน อย่างกลุ่ม UBU Green Market เป็นกลุ่มขายสินค้าเกษตรอินทรีย์โดยเฉพาะ แต่ที่แตกต่างกันคือคนขายในนี้เป็นเกษตรกรที่อยู่รอบ ๆ มหาวิทยาลัยจึงทำให้มีสินค้าที่หลากหลายและมีปริมาณที่มากกว่า
แต่ใช่ว่าใครที่เป็นเกษตรกรจะเอาสินค้ามาขายในนี้ก็ได้ เพราะจริง ๆ แล้วพวกเขาคือเกษตรกรในโครงการบูรณาการความรู้สู่ชุมชนเพื่อพัฒนาอาชีพและส่งเสริมเศรษฐกิจฐานราก ซึ่งเป็นความร่วมมือระหว่างมหาวิทยาลัยอุบลราชธานีกับชุมชน โดยมหาวิทยาลัยจะเป็นผู้ถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการเกษตรทั้งปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ให้ชาวบ้าน รวมถึงการถ่ายทอดองค์ความรู้ด้านการตลาดและเทคนิคการขายสินค้าด้วยเทคโนโลยีใหม่ๆ ซึ่งแต่เดิมนั้นทางมหาวิทยาลัยจะมีตลาดนัดสีเขียวในมหาวิทยาลัยสัปดาห์ละ 4 วันโดยนำสินค้าเกษตรอินทรีย์จากโครงการนี้มาวางขาย แต่จนแล้วจนรอดก็รู้ถึงหูโควิด -19 และตามมารังควาญจนพวกเขาไม่สามารถเปิดตลาดได้ ทำให้กลุ่มคิดหาวิธีการขายใหม่ผ่านระบบออนไลน์แล้วส่งสินค้าแบบเดลิเวอรี
สามัคคี นิคมรักษ์ ประธานวิสาหกิจชุมชนศรีไคออร์แกนิกบอกว่า จริง ๆ แล้วกลุ่มซื้อขายสินค้าออนไลน์นี้ตั้งมาก่อนโควิด 19 ระบาดแล้วเมื่อเกือบ 3 ปีก่อน เป็นรูปแบบการขายที่ทำควบคู่กับระบบตลาดจริง แต่เมื่อไม่สามารถเปิดตลาดนัดได้ก็ยังเหลือช่องทางออนไลน์อยู่ ซึ่งข้อดีของระบบตลาดออนไลน์คือเกษตรกรสามารถวางแผนในฟาร์มได้ง่ายกว่า เพราะรู้ว่าพรุ่งนี้จะขายอะไร ขายปริมาณเท่าไหร่โดยมันคือระบบสมาร์ตฟาร์มนั่นเอง
วิธีการซื้อขายของกลุ่มนี้แตกต่างจากกลุ่มแรกเล็กน้อย คือของคณะวิศวกรรมศาสตร์จะเก็บผลผลิตมาก่อนแล้วค่อยโพสต์ขาย แต่ของกลุ่มเกษตรกรจะโพสต์ขายก่อนแล้วค่อยไปเก็บผลผลิต ส่วนการส่งสินค้าก็คล้ายคลึงกัน โดยคุณสามัคคีจะเป็นผู้รวบรวมสินค้าของสมาชิกแล้วเอาไปตระเวนส่งตามจุดนัดหมายต่าง ๆ ที่ส่วนใหญ่แล้วจะเป็นป้อมยาม เมื่อวางแล้วก็ถ่ายรูปแจ้งผู้ซื้อว่าเอาของมาส่งแล้ว หลังจากที่ลูกค้ามารับสินค้าไปแล้วถึงจะโอนเงินให้ ซึ่งกระบวนการซื้อขายแต่ละรอบนี้ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งวันก็เสร็จแล้ว
นอกจากนั้นภายในมหาวิทยาลัยอุบลราชธานียังมีกลุ่มซื้อขายที่ใหญ่ขึ้นมาอีก คือกลุ่ม ตลาดออนไลน์ชาวกันเกรา - UBU Online Mall เป็นกลุ่มสาธารณะในเฟซบุ๊ก มีสมาชิกกว่า 1.4 หมื่นคน ซึ่งเป็นกลุ่มที่ก่อตั้งขึ้นมาในช่วงการระบาดของโควิด 19 ระลอกแรก โดยสมาชิกภายในกลุ่มจะมีทั้งนักศึกษาปัจจุบัน ศิษย์เก่าที่จบไปแล้ว บุคลากรทางการศึกษา และคณาจารย์ เพื่อเป็นพื้นที่กลางในการซื้อขายสินค้าแทบทุกประเภท เพราะบางคนเรียนจบไปยังไม่มีงานทำแถมต้องมาเผชิญกับภาวะล็อกดาวน์ พื้นที่ตรงนี้ก็จะสามารถช่วยเพิ่มรายได้สำหรับพวกเขา
รศ.ดร. ชวลิต ถิ่นวงศ์พิทักษ์ รองอธิการบดีฝ่ายวิจัยนวัตกรรมและบริการวิชาการ มหาวิทยาลัยอุบลราชธานี กล่าวว่า สิ่งที่เกิดขึ้นนี้ถือเป็นการสร้างสังคมผู้ประกอบการได้เป็นอย่างดี นอกจากหลายคนจะมีรายได้จริงแล้ว ยังเป็นการฝึกฝนประสบการณ์ด้านการค้าขายของนักศึกษาแบบเสมือนจริง นอกจากนี้ทางมหาวิทยาลัยยังได้รับทุนสนับสนุนจากหน่วยบริหารและจัดการทุนด้านการพัฒนาระดับพื้นที่ (บพท) มหาวิทยาลัยอุบลราชธานีและบริษัท ดิจิแอดไวซ์ จำกัด เพื่อพัฒนาแพลตฟอร์มจับคู่ทางการค้าระหว่างผู้ผลิตพืชผักอินทรีย์กับผู้ซื้อที่ต้องการอาหารเพื่อสุขภาพ ปัจจุบันนี้อยู่ในระหว่างการทดลองใช้ 2-3 แอปพลิเคชัน ซึ่งให้บริการทั้งกลุ่มที่อยู่ในพื้นที่รอบมหาวิทยาลัย และบางแพลตฟอร์มที่จับคู่การค้าในระดับจังหวัดคือศรีสะเกษกับอุบลราชธานี
อย่างไรก็ตาม อาจารย์เชาวลิต ยังไม่ได้ทิ้งรูปแบบการค้าขายดั้งเดิม ซึ่งการค้าทั้งออนไลน์และออฟไลน์ยังคงต้องทำควบคู่กันไป ถึงแม้ว่าช่วงนี้รูปแบบออนไลน์จะขยายตัวมากกว่าก็ตาม แต่แบบออฟไลน์ก็ยังจำเป็นต้องมีอยู่เพื่อให้ผู้บริโภคได้เห็นว่าผู้ผลิตสินค้านั้นมีตัวตนอยู่จริง
การขายผ่านโซเชียลมีเดีย เช่น Facebook หรือ Line ที่เรียกว่า Social Commerce ซึ่งไทยเคยเป็นประเทศที่ใช้วิธีการค้าขายรูปแบบนี้มากที่สุดในโลก ( ที่มา : Paypal Asia Social commerce report 2018) อาจไม่ใช่เรื่องใหม่สำหรับใครหลายคน แต่สำหรับมนุษย์ยุคร้องเพลงจีบสาวแล้ว อาจเป็นเรื่องยากที่พวกเขาจะย้ายร้านค้ามาไว้ในมือถือ ตลาดตั้งแผงนั่งขาย ยังคงเป็นตัวเลือกแรกสำหรับพวกเขาอยู่ แต่เมื่อถึงยุคที่ห้ามผู้คนอยู่ใกล้กันเกิน 2 เมตรเช่นนี้ หากใครยังปรับตัวไม่ได้ปรับตัวไม่ทันก็คงจะต้องเจอกับความยากลำบากในการทำมาหากินโดยเฉพาะกับการค้าขาย เพราะเราไม่รู้ว่าโรคระบาดชาติล่มจมนี้ จะอยู่กับเราไปอีกนานแค่ไหน