ที่ดิน 1 ไร่ของประเทศไทย หากอยู่ในบริเวณที่เจริญสุด ๆ อาจมีมูลค่าเป็นพันล้าน แต่หากมันอยู่ในพื้นที่ทุรกันดาร มันอาจมีราคาไม่ถึง 1 หมื่นบาทด้วยซ้ำ นั่นคือมูลค่าที่มนุษย์ตั้งขึ้นจากระบบ Demand & supply ที่ใช้เกณฑ์เรื่องทำเลเป็นหลัก แต่แน่นอนว่าที่ดิน 1 ไร่จาก 2 ทำเลนี้จะสร้างมูลค่าเพิ่มในอนาคตได้ต่างกันราวฟ้ากับเหว
แต่หากจะเอาพื้นที่ 1 ไร่นี้มาทำเกษตรเลี้ยงครอบครัว ถ้ารู้ถึงหูบรรพบุรุษพวกท่านคงมาเข้าฝันหัวเราะเยาะทั้งคืนแน่ เพราะสมัยโน้นไร่นาของพวกเขาว่ากันที่ร้อยไร่ขึ้นไป แต่กระนั้นสาวน้อยวัยกลางคนอย่าง “ปราณี กล้าหาญ” ผู้ที่เคยต่อสู้กับมหานครแห่งเทพมาค่อนชีวิต ก็ยังตัดสินใจทุบหม้อข้าวตัวเอง เธอเอื้อนเอ่ยกับพ่อว่าจะกลับมาอยู่บ้านเพื่อทำเกษตรเหมือนบรรพบุรุษ ซึ่งสร้างทั้งความดีใจให้ผู้เป็นพ่อที่ลูกจะกลับมาสู่อ้อมอกอีกครั้ง แต่ก็ยังลังเลว่ามันจะไปรอดหรือ เพราะเขามีพื้นที่ให้ลูกเพียงแค่ 1 ไร่อย่างกับบทละครน้ำเน่าที่ถูกเขียนเอาไว้
“สวนทรัพย์กล้าหาญ” ตั้งอยู่ที่บ้านนาขาม ตำบลสำโรง อำเภอโพธิ์ไทร จังหวัดอุบลราชธานี เป็นไร่นาสวนผสมเล็กๆอยู่หลังบ้านของปราณีเอง หากมองเผินๆก็เหมือนสวนครัวทั่วไป แต่หากลองพิจารณาดูรอบๆ มันมีอะไรหลายอย่างซ่อนตัวอยู่ในพื้นที่เล็กๆนี้
เราไปถึงที่นั่นสาย ๆ พบปราณีกำลังนั่งเล่นอย่างสบายใจอยู่บนแคร่ เราจึงถามว่าไม่ทำงานหรือ เธอบอกว่าทำเสร็จตั้งแต่เช้าแล้ว นี่เป็นเวลาพักผ่อนที่ไม่เคยหาได้สมัยอยู่เมืองหลวง แล้วเธอก็เล่าเรื่องก่อนที่จะได้มานั่งอยู่ตรงนี้ว่า
“ไปใช้ชีวิตใน กทม. ทำงานโรงงาน (โรงพิมพ์) ตั้งแต่อายุ 18 ปี จนถึงช่วงหนึ่งที่ถึงจุดอิ่มตัวเลยอยากออก จุดอิ่มตัวที่ว่าก็คือ เริ่มเหนื่อยกับงาน เช้ามาก็ทำแต่งานซ้ำซาก จำเจ เพราะงานโรงงานหน้าที่เรามีแค่นั้น เช้ามาเข้าโรงงาน ถึงเวลาเลิกงานก็กลับเข้าห้องพัก ชีวิตมันไม่มีอะไรที่แปลกใหม่ มันน่าเบื่อ จึงคิดหาสิ่งที่จะทำได้เมื่อกลับบ้าน”
การทำงานด้วยอารมณ์เบื่อหน่ายในหน้าที่ เป็นตัวกระตุ้นให้เธอเริ่มค้นคว้าข้อมูลว่าคนที่หนีกรุงกลับบ้านเขาทำอะไรกัน หนึ่งในสิ่งที่สนใจที่สุดก็คือ “เกษตรกรรม”
“คือมันอยู่ในสายเลือดอยู่แล้ว การเรียนรู้จึงง่ายกว่าอาชีพอื่น เพราะพื้นฐานพ่อแม่เราก็พาทำแบบนี้อยู่แล้ว แต่เมื่อเราตัดสินใจทำเกษตรแล้ว วิธีไหนจะง่ายสำหรับเรา ทำแล้วให้มันยั่งยืน ทำแล้วให้มันสามารถต่อยอดให้เราดำรงชีวิตอยู่ได้ คือเราจะเอาความรู้เดิมมาประยุกต์ใช้กับความรู้ในยุคปัจจุบันเพื่อให้มันไปได้ แต่ก็มีเสียงคัดค้านจากหลายคนว่า จะไปรอดเหรอ ขนาดรุ่นพ่อแม่เราทำยังเป็นหนี้เป็นสิน ไปทำเกษตรทำอย่างไรจะมีเงินใช้ทุกวัน ไม่เหมือนอยู่ กทม.ที่มีเงินใช้ทุกวัน แต่ก็มีคนที่สนับสนุนอยู่บอกว่าให้กลับมาเถอะ มันเป็นอาชีพอิสระ ถ้าได้ก็เพราะเราทำเอง หรือเสียก็เพราะเราทำเอง ก็มีอยู่ 2 มุมที่ถูกมอง ส่วนคนที่ไม่เห็นด้วยนั้นหมายถึงเขายังยึดติดการใช้เงินอยู่ เพราะเขายังมองไม่เห็นว่าจะหาเงินได้จากทางไหน เขาก็เลยคัดค้าน”
เมื่อไม่เห็นหนทางในการยกระดับชีวิตตัวเองและครอบครัวในเมืองหลวงบวกกับสถานการณ์โควิด-19 ระบาด ที่ส่งผลให้ชีวิตย่ำแย่ลง เหตุผลมันมากพอให้เธอลาออกจากงานเมื่อปีที่แล้ว(2563)เพื่อกลับมาเริ่มต้นชีวิตใหม่ จึงบอกพ่อว่าจะกลับมา
“เราได้วางแผนไว้ก่อนตั้งแต่อยู่กรุงเทพฯแล้วว่าจะกลับมาทำเกษตร แต่ก็ไม่คิดว่าจะได้กลับมาเร็วขนาดนี้ นั่นเป็นเพราะโควิด-19 ที่มีผลกระทบกับงาน ทั้งงานไม่มี โอทีไม่มี โบนัสไม่ได้ ก็เลยจบอาชีพพนักงานบริษัทแล้วกลับมาทำอาชีพเกษตร ซึ่งคิดว่าเราน่าจะมีรายได้มากกว่าทำงานที่บริษัท เลยเริ่มหาข้อมูลเกี่ยวกับการทำเกษตรเมื่อ 2 ปีก่อน พอเราเริ่มหาข้อมูลเรื่อย ๆ มันก็เริ่มซึมซับ ยิ่งเห็นคนที่ประสบความสำเร็จ หรือบางคนต้องผ่านอุปสรรคอะไรมา เราก็เอามาประยุกต์ต่อยอดในพื้นที่ของเราเอง ความรู้ทั้งหมดที่ว่านี้ได้มาจากยูทูบ”
ปราณีเล่าถึงสภาพพื้นที่ของหมู่บ้านแห่งนี้ว่า แถบนี้จะแห้งแล้งไม่มีน้ำและเป็นดินทราย ไม่มีความอุดมสมบูรณ์แต่อย่างใด ที่ผ่านมาชาวบ้านต้องรอน้ำจากฟ้าฝนธรรมชาติอย่างเดียวเท่านั้น เธอจึงทดลองทำธนาคารน้ำใต้ดินจนมีน้ำใช้ตลอดทั้งปี
“พอได้น้ำแล้วก็ปรับพื้นที่เพื่อเก็บน้ำ จากแปลงนาธรรมดามาเป็นคลอง แล้วเราก็สามารถเลี้ยงปลา หอย กุ้งได้ นี่คือการต่อยอดจากการมีน้ำ เพราะเมื่อมีน้ำแล้วเราสามารถเลี้ยงสัตว์ได้ ปลูกพืชได้ ฉะนั้นสิ่งสำคัญในการทำเกษตรก็คือน้ำ หลังจากนั้นจึงปรับพื้นที่โดยการหาพันธุ์ไม้ชนิดต่าง ๆ มาลง”
ใช้เวลาเพียงแค่ 1 ปี พื้นที่ 1 ไร่ของปราณีก็เริ่มมีพืชหลายชนิดขึ้น ส่วนใหญ่จะเป็นสิ่งที่เธอชอบกิน ส่วนปศุสัตว์ก็เลี้ยงหลายอย่างทั้ง หมู ,ปลา ,ไก่ไข่ ,เป็ด ,กบ ,หอย ,กุ้งฝอย
“ปลูกทุกอย่างที่เราอยากกินก่อนในช่วงแรก ทั้งฝรั่ง ลองกอง ชมพู่ หรือ ทุเรียนอย่างละต้นก่อน หรือเราชอบกินหน่อไม้ก็หาไผ่มาปลูก ก็ปลูกไปวันละต้นสองต้น เวลาไปตลาดหรือที่ต่าง ๆ แล้วเห็นต้นไม้ก็ค่อย ๆ ซื้อกลับมา เราไม่ได้ซื้อมาครั้งเดียวพร้อมกัน ค่อยๆทำไปเรื่อย ๆ”
แม้จะดูเหมือนปลูกเลี้ยงเยอะแยะไปหมด แต่ปราณีบอกว่าในแต่ละวันเผลอแป๊บเดียวก็มืดค่ำเสียแล้ว ซึ่งอารมณ์แบบนี้ไม่เคยเกิดขึ้นตอนเป็นพนักงานบริษัท
“วิถีชีวิตในแต่ละวัน เริ่มต้นจากเก็บเห็ดแต่เช้าก่อนพระอาทิตย์ขึ้นแล้วเอามาโพสต์ขาย ถ้ามีเยอะก็ออกเร่ขายในหมู่บ้านซึ่งใช้เวลาไม่ถึงชั่วโมงก็หมด หลังจากนั้นก็มาให้อาหาร หมู ไก่ ปลา เสร็จแล้วก็ไปรดน้ำต้นไม้ฝั่งที่ไม่มีสปริงเกอร์ ก็เสร็จงานในช่วงเช้า ตอนกลางวันแดดร้อนเราก็หางานในร่มทำหรือบางครั้งก็นอนกลางวัน(หัวเราะ) ส่วนช่วงเย็นก็เป็นงานเดิมที่ทำตอนเช้าหมุนวนกันอยู่อย่างนี้ไม่มีอะไรวุ่นวาย ไม่ใช่งานหนักแต่เป็นงานสนุกจนทำให้ดูเหมือนว่าแต่ละวันค่ำเร็วมาก ไม่เหมือนตอนอยู่กรุงเทพฯ ที่คอยดูแต่นาฬิกาว่าเมื่อไหร่จะได้เลิกงาน ซึ่งถ้ารู้อย่างนี้คงกลับมานานแล้ว”
ทฤษฎีเกษตร 1 ไร่ 1 แสนนั้นถูกต่อยอดมาจากเกษตรทฤษฎีใหม่ของในหลวง ร.9 แต่นำระบบการบริหารจัดการที่มีประสิทธิภาพเข้ามาใช้ คนที่มีความสามารถด้านการบริหารจัดการที่ดี จะสามารถทำกำไรได้มากจากพื้นที่ที่มีอยู่อย่างจำกัด แม้ในปีแรกที่ทำจะยังไม่มีรายได้มากนัก แต่หากทำอย่างต่อเนื่องจริงจัง ผลลัพธ์ก็จะเริ่มผลิดอกออกผลในปีถัดมา
“รายได้หลักคือไข่ไก่ที่อย่างน้อยต้องขายได้ 300 บาทต่อวันซึ่งได้กำไรครึ่งต่อครึ่งจากต้นทุน ส่วนบางวันก็ขาย ปลา กบ หอย พืชผักซึ่งมันขายได้ทุกอย่าง อีกหน่อยก็เป็นช่วงขายลูกอ๊อดที่ผลิตไม่เคยทันลูกค้า จากนั้นก็เป็นรายได้รายเดือนคือขายลูกหมู ตอนนี้มีแม่พันธุ์อยู่ 4 ตัว แต่ละตัวจะให้ลูก 5-10 ตัว เลี้ยงให้ได้อายุ 45 วันจึงขายตัวละ 1 พันบาท แต่ละเดือนรวมแล้วจะมีรายได้เพียว ๆ หลังหักค่าใช้จ่ายทุกอย่างออกไปหมดแล้ว เป็นเงินเก็บเดือนละหมื่นกว่าบาท”
สิ่งหนึ่งที่ปราณีให้ความสำคัญในการบริหารจัดการไม่ว่าจะเป็นงานเล็กหรืองานใหญ่ก็คือการทำบัญชีรายรับรายจ่าย
“เกษตรกรบ้านเราไม่ให้ความสำคัญกับการทำบัญชีรายรับ-รายจ่าย ทำให้เกิดความล้มเหลวในการใช้จ่ายเพราะมันไม่มีการวางแผน ซึ่งแต่ละเดือนเราต้องรู้ว่าเรามีรายรับจากไหน รายจ่ายอะไร เป็นรายจ่ายที่เกิดประโยชน์หรือไม่ ยกตัวอย่างเช่นการลงทุนทำนา มีทั้งค่าไถ ค่าปุ๋ย ค่าเก็บเกี่ยว ค่าแรง แต่ชาวนามักถามกันถึงยอดขายในแต่ละปีเท่านั้น ไม่เคยคิดต้นทุนการผลิตเลย”
ปัจจุบันสวนของปราณีเริ่มเป็นที่รู้จักของคนในพื้นที่ นอกจากผู้คนจะมาเป็นลูกค้าซื้อวัตถุดิบไปทำกับข้าวแล้ว ยังมีบางส่วนที่มาเพื่อขอความรู้จากเธอ แม้จะเพิ่งเริ่มทำไม่นานนัก แต่นั่นก็มากพอที่จะเป็นองค์ความรู้จากประสบการณ์ตรงและถ่ายทอดให้คนอื่นได้ “มีคนมาดูงานที่นี่เยอะ ทุกคนอยากทำแต่บอกว่าไม่มีทุน ซึ่งเขาจะไม่ถามรายละเอียดเราว่าได้ทุนมาจากไหน ส่วนใหญ่จะคิดแค่ว่าต้องลงทุนด้วยเงินเพียงตูมเดียว แต่จริงๆแล้วเราทำแบบค่อยเป็นค่อยไป ค่อย ๆ ลงทุนไปเรื่อย ๆ สมมุติว่าคนสองคนมีเงินก้อนหนึ่งเท่ากัน คนหนึ่งเอาเงินไปฝากธนาคาร อีกคนเอามาทำแบบนี้ คิดว่าแบบไหนจะได้มากกว่ากัน ซึ่งหนูคิดว่าทำแบบนี้ดีกว่า เพราะฝากธนาคารครึ่งปีถึงได้ดอกเบี้ยครั้งหนึ่ง แต่ถ้าเอามาทำแบบนี้เราจะได้ดอกเบี้ยตั้งแต่วันแรกที่ทำ”
ผ่านไป 1 ปีทำให้ปราณีเริ่มมั่นใจแล้วว่ามาถูกทาง สามีของเธอที่ก่อนหน้านี้ยังทำงานอยู่ที่ กทม.เพื่อรอดูผลว่าจะเป็นอย่างไร ปัจจุบันเขากลับมาเพื่อช่วยงานปราณีแล้ว รวมทั้งพ่อของเธอที่ไม่มั่นใจในตอนแรก แต่ตอนนี้กลายมาเป็นผู้ช่วยหลักอีกคนในการพัฒนาสวนเล็กๆแห่งนี้
“เอาใจตัวเองเป็นที่ตั้ง ถ้ามีใจรักในการทำแบบนี้ ยังไงก็ประสบความสำเร็จ สิ่งแรกคือต้องมั่นใจว่าตัวเองชอบในสิ่งที่ทำ ถ้าไม่ได้ชอบยังไงก็ไปไม่รอดเพราะงานเกษตรต้องละเอียดมากกว่างานอื่น ๆ เราต้องรู้นิสัยใจคอของสิ่งที่เราปลูกทุกสิ่งทุกอย่าง เราถึงจะทำได้ ต้องเอาใจใส่เป็นอย่างดี อยากให้มาดูที่สวนทรัพย์กล้าหาญว่าที่ดิน 1 ไร่ทำอะไรได้บ้าง หมู เห็ด เป็ด ไก่ ปลา กบ หอย เลี้ยงได้ทำได้ ใช้พื้นที่ให้เกิดประโยชน์ทุกตารางนิ้ว พืชผักปลูกตามร่องน้ำร่องสวนได้หมด ยังไงก็ขึ้นถ้าดูแลดี นี่คือความใส่ใจในการปลูกพืช เราใส่ใจดีพืชเราก็งาม”
ในภาวะโรคระบาดรุนแรงจนทำลายระบบเศรษฐกิจ ความมั่นคงทางอาหารคือเรื่องที่เราต้องให้ความสำคัญ คนเมืองหลวงที่อยู่อย่างแออัดยัดเยียดกลายเป็นกลุ่มคนที่ใช้ชีวิตอย่างยากลำบาก และส่วนใหญ่ในนั้น คือคนชนบทที่เข้าไปเพื่อหวังยกระดับชีวิตของตัวเองและครอบครัว แต่เมื่อมันไปเป็นไปตามฝัน คงมีหลายคนที่อยากกลับสู่มาตุภูมิ แต่จะทำอย่างไรไม่ให้หนีเสือปะจระเข้
“สำหรับคนที่อยากกลับบ้าน ให้เตรียมตัวให้พร้อม ถึงจะไม่มีวิกฤติโควิด ก็คงมีวิกฤติอื่นๆตามมา ทุกคนต้องตื่นตัวอยู่ตลอดเวลา อย่าใช้ชีวิตแบบประมาทให้เตรียมความพร้อมสำหรับอนาคตที่จะเกิดขึ้น ให้ค้นหาตัวเองให้พบ ชีวิตของลูกเกษตรกรอย่างเราผลสุดท้ายก็จะต้องกลับมาอยู่บ้านเหมือนเดิม เราต้องคิดว่าเมื่อกลับมาอยู่บ้านแล้วจะใช้ชีวิตรูปแบบไหนให้มีความสุขในบั้นปลายชีวิตเพราะทุกคนต้องกลับมาอยู่บ้านแน่ ๆ ขึ้นอยู่กับว่าใครจะกลับมาช้าหรือเร็วแค่นั้น”
การมีที่ดินแค่ 1 ไร่หรือน้อยกว่านี้คงเป็นข้อจำกัดที่หลายคนใช้อ้างว่าไม่สามารถทำอะไรได้ และมันคงเป็นหนึ่งในทฤษฎีที่ทำได้แค่ในตำราเท่านั้น แต่คนที่มองข้ามข้อจำกัดนี้แล้วลงมือทำจริง จะได้คำตอบเองว่าเป็นอย่างไรและจะเอายังไงต่อ สำหรับปราณี กล้าหาญ เธอไม่ได้บอกว่าสิ่งที่ทำนี้จะเหมาะกับทุกคน การค้นหาตัวเองให้เจอคือสิ่งสำคัญ
และแม้ว่าพื้นที่ 1 ไร่ของเธอจะยังไม่ได้เดือนละแสน แต่คำว่าแสนสุขใจนั้น มีในแววตาของเธอทุกวินาที