พิษโควิด-19 ตั้งแต่ปี 2563 เป็นต้นมา ทำให้เกิดผลกระทบต่อระบบเศรษฐกิจทั้งโลก ประเทศไทยได้รับผลกระทบในเกือบทุกสาขาธุรกิจ และที่เห็นจะรุนแรงมากเป็นพิเศษ คงเป็นเรื่องของการท่องเที่ยว ทำให้ตลาดแรงงานมีความอ่อนแอลงอย่างเห็นได้ชัด กลุ่มแรงงานที่มีความเสี่ยงสูงคือกลุ่มลูกจ้างชั่วคราว
กิจการหลายกิจการต้องปิดทำการชั่วคราว บางกิจการมีความจำเป็นต้องปิดกันอย่างถาวร และเมื่อรายจ่ายยังคงเดิม แต่รายรับลดลงถึงกับไม่มีเลย เป็นเหตุจำเป็นให้ผู้ประกอบการ นายจ้าง ต้องหาแนวทาง และปรับรูปแบบการดำเนินธุรกิจใหม่ เพื่อรองรับภาวะเศรษฐกิจในช่วงนี้ และสิ่งที่ตามมาคือ ผู้คนตกงาน กลุ่มคนเหล่านั้นจะทำอะไรต่อ
ผู้เขียนในนาม “อยู่ดีมีแฮงออนไลน์” วันนี้ได้มีโอกาสเดินทางไปที่ บ้านโพนปลาโหล ต.เต่างอย อ.เต่างอย จ.สกลนคร หากเอ่ยถึง อ.เต่างอยหลายคนคงคุ้นหูกับชื่อ หรือได้ยินกิตติศัพท์ของ “พญาเต่างอย” ซึ่งเป็นสถานที่ท่องเที่ยวสุดโด่งดังในหมู่นักเสี่ยงโชค และหลาย ๆ คนคงเคยได้ยินเพลงที่มีเนื้อร้องพูดถึงเต่างอยของนักร้องสาวเสียงพิณ จินตรา พูลลาภ กันมาบ้างแล้ว ยิ่งตอกย้ำถึงความดังและเป็นที่นิยมของพญาเต่างอยนี้ แต่นั่นก็ไม่ใช่สาเหตุหลักของการเดินทางมาที่ อ.เต่างอย ในครั้งนี้ เพราะวันนี้เรามีนัดพูดคุยกับศิลปินเซรามิกรุ่นใหม่ ที่ตั้งใจกลับมาอยู่บ้านอย่างจริงจัง หลังจากเจอพิษโควิด-19 ทำให้งานที่เคยทำประจำลดน้อยลง การกลับมาอยู่บ้านอย่างจริงจัง จึงได้นำเอาความรู้ทางด้านศิลปะที่มีมาพัฒนางานเครื่องปั้นดินเผาจนเป็นที่รู้จักของคนใน จ.สกลนคร
“ต้น-สุทธิพงษ์ ศรีไกรภักดิ์” หลังจากเรียนจบจากคณะมนุษศาสตร์ สังคมศาสตร์ สาขาศิลปกรรม (แขนงประติมากรรม) ได้เข้าทำงานเป็นผู้ช่วยช่างปั้นใน จ.สกลนคร ทำพิมพ์แม่แบบ ปั้นขี้ผึ้ง หล่อพิมพ์ หล่อไฟเบอร์กลาส นอกจากนั้นยังรับงานปั้นปูนสดตามวัดต่าง ๆ
ในช่วงต้นปี 2563 เกิดวิฤตโควิด-19 แพร่ระบาดทำให้งานที่ทำประจำลดน้อยลง การเดินทางไปทำงานหรือไปในพื้นที่ต่าง ๆ ก็ทำไม่ได้ จึงตัดสินใจที่จะกลับบ้าน ที่บ้านโพนปลาโหล ต.เต่างอย อ.เต่างอย จ.สกลนคร เพราะมีประสบการณ์ มีความรู้พื้นฐานเรื่องงานเครื่องปั้นดินเผาอยู่แล้ว แต่ช่วงนั้นยังไม่ได้ทำอย่างจริงจัง เพราะช่วงทำงานจับงานหลายด้าน การกลับมาอยู่บ้านทำให้มีความสนใจเรื่องเครื่องปั้นดินเผามากขึ้น และได้เริ่มลงมือทำอย่างจริงจัง เรียกชื่อผลงานตัวเองว่า “ดินจี่เสรีไท”
สุทธิพงษ์ ศรีไกรภักดิ์เล่าให้กับทีมงานอยู่ดีมีแฮงฟังว่า “งานที่ทำอยู่ทุกวันนี้ น่าจะเป็นคนแรก ๆ ในจังหวัดสกลนคร ที่ทำดริปเปอร์คือหนึ่งในอุปกรณ์ดริปที่สำคัญที่สุดและขาดไม่ได้ในการทำกาแฟดริป มักทำจากวัสดุ พลาสติก ,สแตนเลส และเซรามิก แต่ความพิเศษของดริปเปอร์ที่นี่จะต่างจากที่อื่น ๆ คือจะทำจาก ดินเหนียวและปั้นจากมือทุกชิ้น และเป็นคนรุ่นใหม่ ที่ไม่เข้าไปทำงานใน กทม. หลังจากเรียนจบก็เลือกที่จะตั้งหลักทำงานที่บ้านเกิดเลย และสร้างแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ให้ได้เห็นว่าทำได้ และก็อยู่บ้านได้และส่งต่อแรงบันดาลใจให้กับคนอื่น ๆ”
“ดินจี่เสรีไท” นิยามและความหมายคือ “ดินจี่” ก็คือดินที่เอาไฟไปเผาให้เกิดความร้อน ชาวบ้านที่นี่เรียก “จี่” คือการเผ่าโดยใช้คำให้เป็นพื้นบ้าน บ่งบอกความเป็นตัวตน
“เสรีไท” ก็คือบริเวณพื้นที่จังหวัดสกลนคร มีเรื่องราวประวัติศาสตร์ของกลุ่มกองกำลังพัฒนาชาติไทย อีกทั้งยังเป็นลูกหลานของกลุ่มสหายในพื้นที่ก็เลยเอาเรื่องราวเหล่านั้นมาตั้งเป็นชื่อชิ้นงานว่าเรียกว่า “ดินจี่เสรีไท”
“ดิน” วัตถุดิบงานปั้นจากสกลนครบ้านเกิด
สุทธิพงษ์ ศรีไกรภักดิ์ เล่าให้กับทีมงานอยู่ดีมีแฮงฟังต่ออีกว่า ช่วงแรก ๆ ของการเริ่มปั้น จะต้องเดินทางไปเอาดินเหนี่ยวที่ บ้านกลาง อ.ท่าอุเทน จ.สกลนคร และ ดินเหนียวที่ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย เป็นแหล่งปั้นครก ซึ่งเป็นดินท้องถิ่นที่สามารถเผาไฟสูงได้ หลังจากใช้ดินเหนี่ยวของ อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม และ อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย ได้สักพักมีงานวิจัยของอาจารย์ใน จ.สกลนครว่าดินของสกลนครก็สามารถใช้ได้เช่นกัน ก็เลยกลับมาใช้ดินเหนียวของสกลนครในบริเวณ “แอ่งสกลนคร”เพราะในอดีตเคยเป็นบ่อเกลือมาก่อน ชาวบ้านจะเข้าไปเอาเกลือที่ไหลมากับน้ำเค็ม ทำให้ดินบริเวณนั้นมีความเค็ม มีแร่เหล็กบางอย่างที่อยู่ในความเค็ม มีโซเดียม มีความมันวาวอยู่ในผิวดิน และใช้ดินอยู่ในพื้นที่ อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร บริเวณลุ่มแม่น้ำสงคราม แม่น้ำยาม รอยต่อไปถึง อ.ศรีสงคราม จ.สกลนคร บริเวณนั้นจะมีเตาเผาโบราณ มีแร่ถลุงเหล็กในอดีตเคยเป็นสถานที่ทำเครื่องปั้นดินเผามาก่อน ซึ่งบ่งบอกความเป็นตัวตนของ ดินจี่เสรีไท ได้อย่างชัดเจน เพราะเป็นดินในพื้นที่ ซึ่งแตกต่างจากดินในพื้นที่อื่น
ขอบคุณภาพ : ดินจี่เสรีไท
ดินในจังหวัดสกลนครมีความน่าสนใจคือสามารถเผาไฟสูงได้ และไม่ต้องเคลือบ มีเนื้อดินที่แกร่งมีคุณสมบัติเป็นเนื้อสโตนแวร์ มีความเหนียวความแข็งแรงของเนื้อดิน ทนความร้อนได้สูง และมีเสียงเป็นเอกลักษณ์เหมือนเสียงของแก้ว เมื่อเวลาเผาเสร็จ และมีน้ำหนักและเสียงต่างดินของที่อื่น มีแร่เหล้กในดินออกมามีความมันวาว ดินมีความสวย เรียบ เนียน ไม่มีทรายปนเยอะ ต่างจากดินในพื้นที่อื่น ไม่สามารถทำได้
ผลงานทุกชิ้นปั้นจากมือ
ผลงานเซรามิกในชื่อ “ดินจี่เสรีไท” เป็นแบรนด์ที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อ 1 ปีที่แล้ว หลังจากที่ต้นกลับมาอยู่บ้านและตัดสินใจลงมือทำอย่างจริงจัง และตอนนี้มีรูปแบบการขายเฉพาะออนไลน์เท่านั้น
“งานที่ปั้นราคาเริ่มต้นชิ้นละ 500 บาท ไปจนถึงราคา 1,000-2,000 บาท ชิ้นที่แพงที่สุดที่เคยขายคือชิ้นละ 2,500 บาท เพราะเป็นงานปั้นจากมือ ทุกขั้นตอนใช้มือปั้นหมด จะต่างจากการใช้เครื่องปั้นที่ทำทีละหลาย ๆ ชิ้น เอกลักษณ์ก็จะต่างกันเพราะทำจากมือทุกชิ้น ซึ่งการขายจะทยอยปล่อย ไม่ได้เอาออกมาขายหมดครั้งเดียว รายได้แต่ละรอบตกประมาณครั้งละ 20,000-30,000 บาท การขายแบบออนไลน์ทำให้งานไปได้เร็ว เป็นที่รู้จักเพิ่มมากขึ้น มีลูกค้าเข้ามาสั่งซื้อชิ้นงานเรื่อย ๆ”
สร้างความหลากหลายให้กับชิ้นงาน พร้อมเก็บเกี่ยวประสบการณ์ให้กับชีวิต
“เน้นชิ้นงานที่มีความหลากหลาย แล้วแต่ความชอบของลูกค้าสามารถทำได้หมด ถ้าลูกค้าเข้ามาเห็นก็จะเห็นว่าทำได้หลากหลายรูปแบบ มีตัวเลือก ถ้าทำแต่ชิ้นงานในรูปแบบเดียว ก็ไปต่อไม่ได้ ต้องทำรูปแบบอื่น ๆ ไปด้วยต้องทำให้หลากหลาย แต่ตอนนี้ยังไม่สำเร็จ ต้องอาศัยฝึกประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ เพราะยังไม่มีชื่อเสียงเหมือนศิลปินรุ่นใหญ่ต้องเก็บเกี่ยวประสบการณ์ไปเรื่อย ๆ”
สุทธิพงษ์ ศรีไกรภักดิ์ ถือเป็นต้นแบบที่สามารถสร้างแรงบันดาลใจให้คนหนุ่มสาวพื้นที่อื่น ๆ ได้เป็นอย่างดี นี่คือดอกผลจากความรักต่อบ้านเกิด โดยมีงานศิลปะหรือที่ยุคนี้เรียกว่างานคราฟต์เป็นสื่อกลางในการเชื่อมร้อยและส่งต่อพลังให้กัน ที่ถือว่าเขาสามารถทลายโจทย์ของการกลับมาอยู่บ้านเพื่อให้รอด และหวังจะกลายเป็นกำลังสำคัญเพื่อต่อเติมเมืองสกลนครให้มีวิถีชีวิตชีวาในสายตาของเขาและคนในชุมชน