“คุยให้เรารู้ และให้เขาได้ผ่อนคลาย” ครั้งแรกกับการเข้าใช้ชีวิตโรงพยาบาลสนามเชียงใหม่

“คุยให้เรารู้ และให้เขาได้ผ่อนคลาย” ครั้งแรกกับการเข้าใช้ชีวิตโรงพยาบาลสนามเชียงใหม่

“เพียงข้ามคืน ของการสังสรรค์เท่านั้น เราไม่มีใครรู้ตัวสักคน
เราแค่ฉลองให้กับการปิดเทอม และในวันหยุดยาวที่กำลังจะมาถึงเท่านั้น”

CM 241

CM 241

ในตอนนี้ที่จังหวัดเชียงใหม่ มียอดผู้ติดเชื้อโควิด-19 สูงขึ้นภายใน 11 วันที่ผ่านมา ตัวเลขในตอนนี้มีผู้ป่วยสะสมรวมถึง 1,733 ราย และตัวเลขในแต่ละวันยังเพิ่มสูงขึ้นอยู่ในหลักร้อย ตั้งแต่วันที่ 5 เมษายน ที่พบการระบาดที่สถานบันเทิงกลายเป็นศูนย์กลางการระบาดของเชื้อไวรัสโควิด-19  จำนวนผู้ติดเชื้อโควิด-19 เพิ่มขึ้นทั่วประเทศทำให้ตอนนี้มีผู้ป่วยติดเชื้อกว่าสามหมื่นราย เชียงใหม่ก็หนักตอนนี้เปิดโรงพยาบาลสนามแล้วสามแห่ง จุดเเรกที่ศูนย์ประชุมและเเสดงสินค้านานาชาติฯ หอพักหญิงของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ โรงยิมของมหาวิทยาลัยแม่โจ้ เพื่อรองรับผู้ป่วยที่ยังเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง

คุยรับประสบการณ์ กับน้องนักศึกษา มหาวิทยาลัยแห่งหนึ่ง เขาคือเคส CM 241 เขาเป็นคนแรก ๆ ที่ออกมาสื่อสารเรื่องราวบนสื่อออนไลน์ การเข้าไปอยู่ในโรงพยาบาลสนาม การเตรียมของหรือแม้กระทั่งบรรยากาศในโรงพยาบาลสนาม

“เหมือนมาค่าย เหมือนย้ายบ้าน แต่ไม่ค่อยเหมือนบ้าน เหมือนสถานกักกันคนเอวหวาน (ไม่เชื่อมาดูเอง) ไม่รู้คืนรู้วันรู้ตะวัน อะไรซักอย่าง ถ้าไม่เดินออกไปเข้าห้องน้ำ ดูแสงไฟลอดออกมาหรือออกไปอาบน้ำ เหมือนอารมณ์มาถ่าย mv ฝนตกไหม ของ three man down ฟีลนั้นเลย ปล.ขับรถมาเองได้ขับมาเลยนะ รอรถไปรับ คงไม่ได้รักษาง่าย ๆ เพราะคิวน่าจะเยอะ และรีบมาจับจองพื้นที่”

คำพูดติดตลกของ เคส CM 241ลงโซเชียล

ผู้เขียนถามน้องถึง Sense ของการมองอาการตัวเองและ Time Line การประเมินตัวเองว่าอย่างไรแบบไหนที่เรียกว่าติด?

ผมไปเที่ยวตามปกติครับ ในช่วงที่มหาวิทยาลัยสอบเสร็จพอดี บวกกับตัวผมเองเรียนอยู่ปีสุดท้าย แต่ความบังเอิญ Time line ของผมไปชนกับเคสที่มาจากเมืองหลวง แต่สำหรับตัวผมเองไม่อยากที่จะโทษใคร ผมไปติดจากใครมา วันที่ 3 4 5 เป็น Timeline ที่ติดกันเลย แล้ว Timeline นี้มันชนกันทุกที่เลย ทั้งสามวันนี้เกี่ยวเนื่องกับสถานบันเทิงทั้งหมด หลังจากช่วงนั้นผมต้องเดินทางไปเกณฑ์ทหารที่ภูมิลำเนาผมด้วย แต่ช่วงที่ไปที่ภูมิลำเนาผมได้เข้าไปขอตรวจโควิด-19 ก่อนเดินทางที่โรงพยาบาลใกล้บ้าน แต่เนื่องจาที่ภูมิลำเนาไม่มีเครื่องหรือน้ำยาที่จะตรวจให้ เขาต้องนำส่งผมไปตรวจอีกหนึ่งรอบ แล้วอำเภอที่ผมเข้าไปเกณฑ์ทหาร กับที่ตัวเมืองห่างกันประมาณ 2 ชั่วโมง

เขาก็ให้ผมไปเกณฑ์ทหารและป้องกันตนเองใส่หน้ากากอนามัยปกติ บวกกับไทม์ไลน์ในคืนนั้นเชียงใหม่เริ่มมีไทม์ไลน์แสดงมากขึ้นเรื่อย ๆ วันที่ 8 หลังจากเกณฑ์ทหารผมขับรถยนต์ส่วนตัวมาที่เชียงใหม่เพื่อตรวจให้มั่นใจอีกครั้ง ที่โรงพยาบาลเอกชน ได้รับการเข้าตรวจจากการไปพื้นที่เสี่ยง แต่ Sense ที่เรารู้ละว่าเราติดแน่นอน คือ ผมมีความรู้สึกว่าเริ่มมีอาการคันคอ มันคันคอแบบไม่ได้อยากไอครับ แต่เป็นอาการคันคอแบบระคายเคืองคอ จะไอก็ไม่ไอ เริ่มมีความรู้สึกแล้วว่า แน่นอนอาการมาแล้ว ยิ่งตัวเราเองหาข้อมูลอ่านเรื่องอาการ

เขาบอกว่า วันที่ 3 วันที่ 4 จะมีอาการแบบไหนแล้วอาการแพนนิคก็มา แล้วอาการแพนนิคทำให้ผมเครียด และปรากฏว่าตื่นมาตอนเช้า โรงพยาบาลโทรมาบอกเราว่า ผลเป็นบวก ก็เลยรู้ว่าตัวเองติดเข้าให้แล้ว ส่วนตัวเองไปตรวจคนเดียวเองก่อน วันนั้นคุยกับเพื่อนที่อยู่กลุ่มเดียวกันให้เขาไปตรวจ ก่อนเพราะผมประเมินจากคนที่เสี่ยงอยู่ใกล้เรามากที่สุดก่อน สรุปผลออกมาเป็นลบ แต่เราติดในกลุ่มเพื่อน ตัวผมผลออกมาเป็นบวกคนแรก

วันหยุดยาวกลายเป็นฝันร้าย ในความรู้สึก หลังจากที่เรารู้ว่าเราติดโควิด-19

ตอนนั้นช่วงตอนที่รับสายจากโรงพยาบาล ผมตลกนิด ๆ นะครับ เพราะว่า ผมเคยตรวจ สองรอบแล้ว รอบแรกเขาโทรมาประมานตอนบ่าย 3 โมงเย็น แต่รอบนี้เขาโทรมาสายช่วง 11 โมง และเป็นเบอร์แปลกไม่ใช่เบอร์โรงพยาบาลโทรมา ผมก็สะลึมสะลือเหมือนฝันในตอนนั้น ก็รับสาย

คุณ….ใช่ไหมคะ?
ผลตรวจออกมาเป็นบวกนะคะ

ผมพึ่งตื่นพอดี ผมก็ถามเขาอีกรอบว่าอะไรนะครับ “ผลเป็นบวกนะคะ” ตอนนั้นผมก็ถามเขาอีกรอบ ผลเป็นบวกนะคะ ติดเชื้อครับ

จังหวะแรก ผมไม่ได้กลัว ผมต้องเกริ่นก่อนเลยว่าที่ผมเลือกไปตรวจที่เอกชนเพราะผมอยากได้สิทธิการรักษาที่เอกชนเพราะ ผมมีประกันสังคม และประกันโควิด-19 ที่ทำไว้ อยากที่จะตรวจที่เอกชนแล้วไปแอดมิดที่โรงพยาบาลเอกชน เพราะอย่างน้อยเราได้ไปตรวจแล้วถ้ารักษาจริงสุขภาพตัวเองดีด้วยสุขภาพใจก็ยังมีกำลังด้วย

พอผมฟังผลตรวจผมก็ไม่รีรอที่จะถาม ว่าผมสามารถเข้ารักษาได้เลยไหม จะมีรถมารับกี่โมง ซึ่งเขาแจ้งมาบอกว่าโรงพยาบาลเอกชนเต็มแล้ว จึงลองถามเขาว่าประสานโรงพยาบาลรัฐ เอกชน หรือ โรงพยาบาลอื่น ๆ ได้หรือไม่ เขาบอกว่าเต็มทุกที่เต็มแล้ว แล้วผมจะต้องไปอยู่ส่วนไหนหรือผมต้องรอ ทางส่วนกลางบอกว่าผมต้องไปที่โรงพยาบาลสนามเลย

ตอนนั้นจากที่เราไม่กลัว แต่เราห่อเหี่ยวและจิตตกไปเลย เพราะเราเห็นโรงพยาบาลสนาม จากคืนก่อนแล้วผมก็แชร์ ในออนไลน์ตัวเองกับเพื่อน ๆ ว่าถ้าเราได้ไปนอนโรงพยาบาลสนาม…แค่เห็นก็ไม่อยากไปนอนแล้ว พอวางหูเสร็จน้ำตาไหลไม่รู้ตัวเลยครับ รีบโทรแจ้งคนที่อยู่ใกล้ ๆ ก่อน แจ้งเพื่อน ๆ ในกลุ่ม แจ้งคนที่ไปเที่ยวด้วยกันว่าติดโควิด-19 เพื่อให้เขากักตัวเองและไปตรวจ

หลังจากที่โอเคผมตั้งสติได้ เราโทรกลับไปที่โรงพยาบาล อีกรอบหนึ่งว่า ผมต้องเตรียมตัวอะไรบ้าง และทำอย่างไรต่อต่อจากการที่ต้องไปโรงพยาบาลสนาม ซึ่งโรงพยาบาลเองก็ยังตอบไม่ได้ในตอนนั้น โรงพยาบาลให้ผมโทรที่ สสจ. หรือ สำนักงานสาธารณสุข ซึ่งผมโทรไปที่นั่นและบอกเขาว่าผมมีผลเป็นบวกครับ ซึ่งเขาตกใจ เพราะส่วนตัวของเคสผมเองไม่เหมือนกับคนอื่น ๆ เพราะเพื่อน ๆ เขารอสาธารณสุขโทรไป แต่ผมไม่รอ เพราะมีความรู้สึกว่าเราต้องโทรไปเลย อยากให้รักษาไว ๆ จบ ๆ อยากให้จะรักษายังไงก็ได้แต่ขอให้หายเร็วที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่ผมรู้สึกว่าเป็นส่วนที่ดีที่ผมโทรไปก่อนทำให้ผมรู้ข้อมูลหลาย ๆ อย่างมาก ๆ เช่น สาธารณสุขเจ้าหน้าที่พูดให้คลายกังวลได้เยอะมาก ในช่วงนั้น เชิงใช้ความไซโคเรา

“น้องไม่ต้องเครียดนะครับ เหมือนเราไปเข้าค่ายเลยแต่เพียงค่ายนี้มันยาวนานหน่อยนะ ค่ายเป็นค่าย 14 วันเลย”

แล้วค่ายนี้ต้องทำอะไรบ้าง เหมือนน้องไปค่ายเลยนะคะ เตรียมชุดไปเลย 14 ชุด เตรียมของใช้ทุกอย่าง กางเกงในเตรียมไปให้ครบเพราะที่นั่นไม่มีเครื่องซักผ้าให้ ปลั๊กไฟไม่มีนะต้องเตรียมไป ครีมอาบน้ำให้เตรียมไปเลย หรืออาหารถ้าน้องแพ้อะไรให้เตรียมไป เพราะวันนี้เป็นวันแรกที่โรงพยาบาลสนามเปิดพอดี ก็คือข้อมูลที่ผมโพสลงโซเชียลแหละครับ

ส่วนมากข้อมูลที่ผมได้มามาจาก สสจ. ทั้งนั้นครับ หรือแม้กระทั่งผมไปอ่านเจอมาว่า เชื้อโรคมันสามารถติดผ่านสิ่งของได้ ผมก็โทรไปถามว่าผมสามารถเอาโน๊ตบุ๊กไปได้ไหม เขาก็บอกว่าน้องอยากเอาอะไรแก้เหงาเอาไปได้หมดเลย อะไรที่น้องคิดว่าน้องจะไม่เหงา 14 วันน้องไม่เหงาไม่เครียด

ตัวผู้เขียนเองตั้งคำถามเลย เอาสเก็ตบอร์ดไปได้ไหม แต่ลึก ๆ ในใจเล่นอยู่บ้านดีกว่า

พอมาจุดนี้ผมไม่พูดถึงเรื่องการทำงานของสื่อไม่ได้จริง ๆ เพียงสายด่วน สสจ. เราโทรไปเราได้ข้อมูลมากและชัดเจนกว่าข้อมูลของสื่อที่ได้ให้ออกมา เพราะช่วงวันแรกที่ผมวันแรก เรามองไม่เห็นสื่อไหนหรือไม่มีข่าวไหนที่บอกว่า โรงพยาบาลสนามคืออะไร การไปโรงพยาบาลสนามต้องเตรียมตัวอย่างไร เอาอะไรไปบ้าง มีเพียงแค่บอกว่าโรงพยาบาลสนามเตรียมเปิดแล้วนะ เตรียมเปิดรับผู้ป่วยเท่าไหร่ และมีเพียงภาพแค่ส่วนนั้น ซึ่งอย่างที่ผมกล่าวไปว่า สิ่งที่ผมแชร์ ทำให้ผมรู้สึกหวาดกลัวและไม่อยากไปรักษาตัวที่โรงบาลสนาม อย่างที่ผมบอกว่าสิ่งเราต้องการคือการไปรักษาที่โรงพยาบาลเอกชนเพราะเกี่ยวเนื่องทั้งเรื่องสุขภาพกายและสุขภาพจิตของตนเองด้วย

แล้วถ้าเราไม่ไปโรงบาลสนามได้หรือไม่ ?

จริง ๆ แล้วมันควรที่จะได้ แต่เหตุผลในตอนนี้คือโรงพยาบาลผู้ป่วยเต็ม ทำไมผมถึงย้ายไปที่อื่นไม่ได้ เพราะก่อนที่ผมจะมาโรงพยาบาลสนามจริง ๆ ผมติดต่อไปหลายโรงพยาบาลมาก ไม่ว่าจะเอกชนหรือรัฐบาล ผมโทรไปทุกที่บอกว่าแอดมิดไม่ได้ เพราะทางจังหวัดให้ส่งไปที่ส่วนกลางให้ส่งไปที่โรงพยาบาลสนามให้หมดเลย เพื่อง่ายต่อการรักษา

เรามองว่าข้อมูลที่สื่อให้ไม่เพียงพอ เลยต้องลุกขึ้นมาสื่อสารเอง แล้วปรากฏว่าสิ่งนี้เป็นประโยชน์ต่อผู้อื่นด้วย เราคิดอย่างไร

ต้องบอกก่อนว่าก่อนที่จะเป็นโพสนี้ ส่วนตัวผมเองก็ได้โพสไปในออนไลน์ค่อนข้างหลายโพสมาก แต่ปิดให้เห็นเฉพาะเพื่อน โพสนั้นตอนแรกตั้งเห็นแค่เฉพาะเพื่อนเท่านั้น จะเห็นว่าคำพูดจะเป็นคำพูดที่ติดตลก เช่น สถานกักกัน ผมพยายามจะทำคำให้มันดูเหมือนพิมพ์เล่าให้เพื่อน ๆ ในโลกออนไลน์อ่านมากกว่า ว่าเราต้องเตรียมอะไรมาบ้าง แล้วก่อนวันนั้นที่ตัวเองตัดสินใจพิมพ์ไปคือผมอยู่ที่โรงพยาบาลสนามที่แรกมา 1 วัน 1 คืน แล้วผมก็มานั่งคุยกับเพื่อนว่าเราจะต้องเตรียมอะไรมาบ้าง แล้วเมื่อวานเราขาดอะไรบ้าง กับเพื่อน ๆ ลิสต์ออกมาเป็นข้อ ๆ มึงเราควรบอกคนภายนอกไหมว่าต้องเตรียมอะไรมา แต่ในมุมมองที่ตัวผมเองพิมพ์ไป ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้คิดอะไรเลยแต่เป็นการพิมพ์ที่เล่าเรื่องราวภายในโรงพยาบาลสนาม บอกคนภายนอกมากกว่าว่า ถ้าในเมื่อคุณได้มาอยู่จุดนี้จริง ๆ คุณจะต้องเตรียมตัวอะไรมาบ้าง

เพราะเราต้องบอกก่อนว่า สำหรับตัวเองเราจะมามัวแต่รอหรือพึ่งหน่วยงานอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าเรามารอพึ่งหน่วยงานเพียงอย่างเดียวเราไม่ได้ช่วยซัพพอร์ตอะไรเขาเลย เราก็ไม่ได้ต่างอะไรจากเพียงแค่คนลอยคอขอความช่วยเหลือจากเขา อะไรที่ช่วยตัวเองได้เราก็ทำ ซึ่งเรารู้อยู่แล้วว่าการทำงานของแต่ละฝ่ายเยอะ บางส่วนก็ล่าช้า เราก็เลยอย่างน้องเรามีสื่อของเราในมือ เราก็สามารถที่จะอะไรที่บอกเขาได้ อะไรที่จะเป็นกระบอกเสียงให้กับทุกคนได้ในเวลานี้ ว่าโรงพยาบาลสนามถ้ามาจริง ๆ จะต้องทำอย่างไรบ้าง และหลาย ๆ โพสผมตั้งใจทำอย่างไรก็ได้ให้คนที่ได้อ่านไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัว ไม่ได้น่ากลัวแบบที่เราคิด เพราะวันแรกตัวเราเองก็กลัวมาก ว่าไปโรงบาลสนามมันจะเหมือนในภาพจริง ๆ ไหม ซึ่งต้องยอมรับว่ามาวันแรกผมยอมรับว่ามันเหมือนในภาพและแอบหวั่นใจและกลัวจริง ๆ เพราะคนน้อย เช่น การบริจาคของ อะไรต่าง ๆ ยังไม่มีอาหารการกินยังไม่เพียงพอถึงทุกวันนี้

ภาพกราฟิกของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ต้องเตรียมอะไรบ้าง ถ้าต้องไป SDD5 มช. (หอพักนักศึกษาหญิง 5) – ส่วนขยายของโรงพยาบาลมหาราชนครเชียงใหม่ ที่ดูแลนักศึกษาและบุคลากร มช. ที่ได้รับผลตรวจ COVID-19 เป็นบวกนอกจากนี้มหาวิทยาลัยได้มีการจัดเตรียมอาหารจำนวน 3 มื้อพร้อมขนมสำหรับนักศึกษาและบุคลากร มช. ที่ SDD5 อีกด้วย

ขั้นตอนการเข้ารักษา คือ 2 วิธี

คือ อันแรกจะมีรถโรงพยาบาลมารับ กับสองคือการขับรถไปเอง ซึ่งการเอารถโรงพยาบาลมารับจะต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่ม เพราะผมตรวจที่เอกชนถ้าเอกชนส่งตัวไปที่โรงพยาบาลสนามเสียค่าใช้จ่ายประมาน 3,000 บาท

ผมเลย เอ๊ะ!! เสียเงินค่าตรวจแล้ว ไปส่งต้องจ่ายด้วยหรอ ผมโทรถาม สสจ.เลยครับว่าตอนนี้ผมติดโควิด-19 แล้วผมจะไปโรงพยาบาลสนาม แล้วทำไมโรงพยาบาลเอกชนถึงบอกว่า ผมต้องเสียเงินเพิ่มอีก 3,000 เพื่อไปโรงพยาบาลสนาม ทำไมผมยังต้องเสียอีก สสจ. เค้าแนะนำผมดีมากครับ เขาบอกว่า มันไม่ได้เสียอะไรอาจจะเป็นการสื่อสารที่ผิดพลาดหรือเปล่า ซึ่งเอกชนให้เหตุผลกับผมว่าชุด PPE เอกชนไม่ได้รับการสนับสนุนจากหน่วยงานของภาครัฐ เลยทำให้ 300 นี้เป็นค่าชุดป้องกัน แต่ส่วนของภาครัฐ สสจ.บอกว่าถ้าจะรอรถมารับก็รอได้ แต่ว่ามันก็ต้องไปตามคิวรอเพราะเค้าจะไปรับจากส่วนที่ไกลมาก่อน

ตอนนั้นผมตัดสินใจที่จะโพสในออนไลน์ว่าถ้าทุกคนเลือกได้ ตัดสินใจขับรถมา รพ. สนามเองเลยครับ เพราะเค้าไม่ได้บอกว่าขับรถไปเองไม่ได้ ผมขับไปกับเพื่อนที่ติดเช่นกัน และเข้ารับรักษา

หลังจากผมจอดรถ ก็เข้ารับเหมือนมาโรงพยาบาลเวลาไม่สบายเลยครับ เข้ารับการวัดความดัน ตรวจเลือก ออกซิเจนในร่างกาย ซักประวัติส่วนตัว ประวัติการแพ้ยา และมีการเอกซเรย์ปอด เพื่อที่จะแบ่งพื้นที่การรักษา คือ จะมีฮอลล์ที่ไม่แสดงอาการแต่เสี่ยงสูง กับ อีกฮอลล์คือ แสดงอาการและต้องได้รับยาต้านและเอายาตัวนี้ไปให้กับเขาซึ่งตัวผมเองได้อยู่กลุ่มที่ไม่แสดงอาการแต่มีความเสี่ยงสูงในการแพร่เชื้อ จะดูจากปอดเป็นหลัก กลุ่มที่แสดงอาการจะเหมือนว่าหนักในเรื่องของสุขภาพ เพราะเขาจะต้องได้รับการรักษาดูแลโดยด่วนเรื่องของการใช้ยารักษา แต่กลุ่มแบบผม คือ จะอันตรายตรงที่ตัวเราไม่รู้ว่าเราจะสามารถไปแพร่เชื้อได้โดยที่คนอื่นไม่รู้ตัวและเราไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ อย่างที่ผมบอกว่าผมแค่มีอาการคันคอ ไม่ได้เป็นอาการที่หนัก จากข้อสังเกตผมคิดว่ากลุ่มไม่แสดงอาการเยอะกว่ากลุ่มที่แสดงอาการ มันเป็นเชิงที่แพร่กระจายได้เร็วเหมือนเชียงใหม่ในตอนนี้

ประสบการณ์ในการรักษาตัวในโรงพยาบาลสนามแห่งนี้ ทั้งการเตรียมของต่าง ๆ แนะนำการใช้ชีวิต ถือได้ว่าเป็นรุ่นพี่รุ่นที่ 1 และระหว่างรพ. สนาม ทั้งสองที่

จริง ๆ แล้วตอนนี้ผมย้ายมาที่โรงพยาบาลแห่งที่สองคือในมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทั้งสองที่คล้ายกันครับ รักษาตามอาการ และมีการรายงานตัวเองทุกวันทั้งสองที่ว่า ตื่นเช้ามาผมมีอาการเป็นยังไงบ้าง อย่างน้องผมก็รีเช็คตัวเองด้วย แต่ผมเองไม่รูตัวว่าเป็นมาจากเตียงที่แข็ง หรือเป็นเพราะอะไร หรือผมมีน้ำมูกไหลเพราะว่าคืนก่อนหน้านั้นเชียงใหม่ฝนตกหนักมากแล้วผมเป็นคนแพ้ฝนก็จะมีน้ำมูก แต่ไม่รู้ว่ามาจากฝนไหม แต่สิ่งที่มีแน่ ๆ อาการที่ชัดเจนในทุกวันคือการกลืนน้ำลายแล้วเจ็บคอ แล้วเขาจะได้วิเคราะห์ว่าเรามีอาการอะไรแล้วเขาก็จะจัดยาให้เราถูก

ช่วงแรกของโรงพยาบาลสนามที่เชียงใหม่ เขาจะมีกล่องยาให้ แล้วเขาจะประเมินเคสว่าเคสนี้ต้องกินยาอะไร ให้เดินไปหยิบเอง แต่ก่อนที่ผมจะออกย้ายมาที่ มช. เหมือนยามันจะไม่พอ ยามันไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วยทั้งหมด เขาจึงให้ทุกคนพิมพ์ไปบอกอาการแล้วเขาจะจัดยา ทุกคนจะมีเลยเป็นของตัวเอง ตัวผมเอง CM 241 เขาก็จะประกาศเสียงตามสายและผมเดินไปรับยา วันนี้เราต้องกินยาอะไร ส่วนในส่วนของโรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ เขาก็รักษาตามอาการ มีอาการอะไรก็จะจัดยาให้

เทียบกันยากนะครับ เพราะสเกลโรงพยาบาลสนามในแต่ละที่มีสเกลที่ต่างกันระดับจังหวัด อีกหน่วยงานคือสเกลของระดับมหาวิทยาลัย แต่ถามว่าส่วนของราชการที่ดูคุมยากคือเช่นเรื่อง ห้องน้ำไม่เพียงพอต่อความต้องการของผู้ป่วย

ฝั่งผู้ชาย จะมีคนอยู่ 150 คน แต่ห้องน้ำมีอยู่เพียง 4 ห้อง แล้วมันจะต้องใช้เวลากี่ชั่วโมง กว่าที่ทุกคนจะอาบน้ำเสร็จ และช่วงแรก ๆ จะมีปัญหาในเรื่องของอาหาร พอเราไปอยู่สังคมโดยรวมอาหารที่เขาจะแจกให้ บางคนหยิบไปกล่อง สองกล่องบ้าง บางวันข้าวไม่พอแต่ผมคิดว่ามันอยู่ที่ไหวพริบ เหมือนในหนังเลยตัวผู้เขียนจินตนาการ

“วันแรกที่ผมเข้าไปผมเจอคนสิงคโปร์ เขาถามผมว่าเขาต้องทำอย่างไรบ้าง ซึ่งเราต้องช่วยเหลือและช่วยเค้าสื่อสาร ว่าต้องทำอะไรบ้าง ผมบอกเค้าว่าให้เขาบอกกับเจ้าหน้าที่ด้วยให้สื่อสารเป็นภาษาอังกฤษ” การช่วยเหลือกันในโรงพยาบาลสนามเป็นสิ่งสำคัญครับ

ถ้าอย่างที่โรงพยาบาลสนามมหาวิทยาลัยเชียงใหม่กับโรงพยาบาลสนามศูนย์ประชุม ผมว่ามันได้อย่างเสียอย่างนะครับ ที่ศูนย์ประชุม เราได้เจอคนเยอะ พออยู่กับคนเยอะ ๆ เรารู้สึกว่าดีกว่า ดูแล้วไม่เครียด เราเจอเพื่อน สุขภาพจิตเราเต็มร้อย ไม่ได้มีแค่เราคนเดียวนะ แต่ความเป็นส่วนตัวและความปลอดภัยมันไม่มีเลย ไม่มีผนังกั้นกัน ผมถามเขานะครับว่าทำไมไม่มี เขาตอบมาว่ามันเป็นความจำกัดของทางด้านพื้นที่ และเขาบอกว่า การรวมคนมีเชื้อเข้าด้วยกันเชื้อจะไม่แพร่ซ้ำต่อ แต่มันก็จะมีบางคนที่ใส่แมสบ้าง ไม่ใส่แมสบ้าง มันเลยเป็นเรื่องของ สุขภาพที่เราจะไปรักษาจริง ๆ มันแทบจะไม่ใช่โรงพยาบาลสนาม ผมเลยพิมพ์ไปว่าความรู้สึกเหมือนสถานกักกันโรค

เป็นค่ายที่คนเดินไปไหนก็ไป ไม่ได้มีหลักและกฎในการอยู่ร่วมกัน ทั้งที่มันมีกฎนะครับ แต่ดูเหมือนว่าจะไม่มีใครทำ เพราะอาจจะเป็นเพราะคนเยอะ แล้วพี่นึกภาพมีคนคุยเราผ่านกล้อง มอนิเตอร์​ มันคอนโทรลไม่ได้เลย เหมือนในหนังเลยครับหนังที่คนเยอะ ๆ ในค่ายและจัดการไม่ได้ เหมือนเราคิดว่าเราไปรักษาแต่ดูเหมือนภาพที่เห็นกลายเป็นต้องไป ขนน้ำ ยกน้ำ ประกอบเตียง

เราเข้าใจว่าเจ้าหน้าที่ไม่พอ แต่มันสะท้อนให้เห็นถึงความพร้อมของรัฐที่ไม่ได้มีการวางแผนเพื่อควบคุมสถานการณ์ เมื่อเจอเหตุการณ์นี้ปะทะเข้าแบบรุนแรงแล้วไม่ได้มีอะไรรับรองแรงปะทะนี้ เป็นส่วนของประชาชนที่ต้องช่วยเหลือกันเองแต่มันก็เป็นสิ่งที่เราพอทำได้ครับ ผมว่ามันจริงที่มันควบคุมไม่ได้ แต่เราจะวางแผนอย่างไรรับมืออย่างไรให้มันแก้ไขได้โดยเร็วที่สุด แต่ถ้านของโรงพยาบาลสนาม มช. เราได้ความเป็นส่วนตัวแบบเต็มที่ แต่อีกไม่กี่วันผมก็ต้องอยู่กับรูมเมทอีกคนที่ป่วย เพราะเตียงไม่พอ แต่ในเรื่องของสุขภาพจิต อันนี้แล้วแต่คนนะครับ มันแล้วแต่การจัดการใช้ชีวิตของแต่ละคน ผมมองว่าอยู่ตรงนี้เราได้อีกอย่าง เหมือนผมรู้สึกว่าเรากลับมาอยู่ปี 1 เข้าหอในวันแรกแล้วเราไม่มีเมท ก็จะฟีลเคว้ง

หอผู้ป่วยรวม (Cohort Ward) โรงพยบาลสนามมหาวิทยาลัยเชียงใหม่

ถามถึงสภาพจิตใจ เราตอนนี้ละ เป็นยังไงบ้าง กิจกรรมคลายเหงาสำหรับเรา ดีขึ้นบ้างไหม ในการกักตัวเอง 10 วันบวก 4

ผมอยู่มา 4 วันแล้วครับ ตอนนี้ทางหน่วยงานทั้งสองที่ยังไม่มีกิจกรรมอะไรนะครับ คงเป็นช่วงแรกที่กำลังวุ่นและต้องดูสุขภาพของคน ถ้าเป็นโรงพยาบาลสนามที่ศูนย์ประชุมฯ ถ้าเหงายังมีเพื่อนครับได้คุยกัน เล่นเกมส์ แลกเปลี่ยนแต่ละคน แต่ส่วนตัวที่ย้ายมาที่ มช. ก็พยายามหาอะไรทำ เล่นเกมส์ คลายความเหงาในส่วนที่ทำได้ ดูยูทูบ โทรหาเพื่อน โทรหาที่บ้าน ก็ไม่รู้ว่าวิธีคลายเหงาของแต่ละคนเป็นอย่างไรครับ  

ตอนนี้สิ่งที่น่ากลัวคือ โควิดรอบนี้คนไม่แสดงอาการเยอะ คือ เราไม่รู้เลยว่าเราจะเอาไปติดใครได้บ้าง เพราะบางคนติดแล้วไม่รู้ตัวไม่แสดงอาการ ก็ยังออกมาใช้ชีวิตปกติ แต่โรคนี้ก็ไม่ได้ติดง่ายขนาดนั้น พวกการล้างมือใส่หน้ากาก แยกกันกิน เว้นระยะห่าง ยังเป็นเรื่องที่ต้องทำกันไปยาว ๆ ครับ ถึงแม้จะติดเราอย่ากังวลและเครียดกับมันมากนัก มันยังมีหนทางที่จะรักษาให้หายได้ สุดท้ายขอให้คนที่สู้กับโรคนี้อยู่ ชนะมันให้ได้ รอบที่ผ่าน ๆ ก็ยังหายกันได้เลยครับ  

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ