ความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทาง ในมิติป้องกัน ปราบปราม และคุ้มครอง

ความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทาง ในมิติป้องกัน ปราบปราม และคุ้มครอง

20142807110535.jpg

 

“ทางการไทยประเมินว่าในระหว่างเดือนมกราคม พ.ศ. 2555 ถึงมิถุนายน พ.ศ. 2556 มีหนังสือเดินทางไทยและต่างประเทศที่ได้รับรายงานว่าถูกขโมยหรือสูญหายในประเทศไทยจำนวนกว่า 60,000 เล่ม”[1]

ประเทศไทยถูกจัดว่าเป็นทั้งดินแดนสวรรค์ของนักเดินทางและ “นักปลอมหนังสือเดินทาง” ซึ่งดำเนินธุรกิจปลอมหนังสือเดินทางให้แก่คนต่างด้าวลักลอบเข้าเมือง โดยในหลายกรณีเป็นการลักลอบนำคนต่างด้าวเข้ามาดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมาย แต่ในบางกรณีมิได้เป็นการลักลอบให้คนต่างด้าวเข้ามาดำเนินกิจกรรมผิดกฎหมายแต่อย่างใด หากแต่เป็นการหลอกลวงคนต่างด้าวให้เข้ามา “ติดกับ” เพื่อเรียกเอาทรัพย์จากบุคคลเหล่านั้น เช่น การลวงให้ผู้ลี้ภัยสงครามเข้ามาในประเทศไทยด้วยหนังสือเดินทางปลอม[2] แต่ทั้งนี้ ไม่ว่าจะเป็นการให้บุคคลต่างด้าวเข้ามาในประเทศเพื่อดำเนินกิจกรรมที่ผิดกฎหมายหรือไม่ก็ตาม การปลอมหนังสือเดินทางคือภัยอันตรายที่คุกคามความมั่นคงปลอดภัยของประเทศและสิทธิของบุคคลผู้ถือหนังสือเดินทางที่แท้จริง ประเทศจึงจำเป็นต้องมีบทบัญญัติของกฎหมายเพื่อลงโทษผู้กระทำความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางเพื่อปราบปรามการกระทำความผิดอาญานี้ และเพื่อป้องกันการกระทำความผิดอาญาอื่นที่เกี่ยวเนื่องหรือที่แฝงเข้ามา

อย่างไรก็ดี นับแต่มีการประกาศใช้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 18) พ.ศ.2550 ซึ่งกำหนดลักษณะความผิดเกี่ยวกับการปลอมและแปลงหนังสือเดินทางไว้เป็นการเฉพาะ (มาตรา 269/8 – 269/15) จวบจนกระทั่งปัจจุบัน เป็นเวลาถึง 7 ปี ความท้าทายของประเทศในการปราบปรามการกระทำความผิดอาญานี้มิได้มีความเบาบางเลย ทั้งนี้กลับมีความเข้มข้นมากขึ้น อีกทั้งประเทศไทยยังคงถูกนานาอารยะประเทศโจมตีว่าเป็นแหล่งของขบวนการปลอมหนังสือเดินทางเช่นเดิม โดยในวันที่ 9 มีนาคม 2557 ภายหลังหนึ่งวันที่เครื่องบินสายการบินมาเลเซีย เที่ยวบิน MH 370 หายไปอย่างลึกลับ ตำรวจสากล (INTERPOL) รายงานว่าพบว่ามีผู้โดยสารในเที่ยวบินสวมใช้หนังสือเดินทางสัญชาติออสเตรียและอิตาลีซึ่งถูกลักไปในประเทศไทย[3] หรือในปี พ.ศ. 2555 ซึ่งประเทศไทยถูกใช้เป็นฐานก่อการร้ายข้ามชาติโดยชาวอิหร่านที่ระเบิดซอยสุขุมวิท 71 สามจุด พบว่ามีการใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อกระทำความผิด[4] หรือย้อนหลังไปจนถึง ปี พ.ศ. 2548 ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ …) พ.ศ…. (ความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทาง) ให้มีอัตราโทษสูงกว่าการปลอมแปลงเอกสารทั่วไปครั้งแรกนั้น ก็สืบเนื่องจากความรุนแรงของปัญหาและผลกระทบต่อชื่อเสียงและความมั่นคงของประเทศ ซึ่งหากปัญหาดังกล่าวยังไม่ได้รับการแก้ไข นอกจากจะกระทบต่อภาพลักษณ์และความมั่นคงของประเทศแล้ว ยังก่อให้เกิดปัญหาทับซ้อนอื่นๆ ที่ตามมาโดยเฉพาะปัญหาอาชญากรรมข้ามชาติ เช่น ปัญหาขบวนการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่เชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ เป็นต้น

ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น ผู้เขียนจึงเห็นความจำเป็นที่จะต้องมีการทบทวนบทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วยความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทาง บทความนี้จึงมีวัตถุประสงค์เพื่อศึกษารากฐานความคิดในการเพิ่มเติมบทบัญญัติ ประมวลกฎหมายอาญาของประเทศไทยในฐานปลอมหนังสือเดินทาง หลักการป้องกันและปราบปรามความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางที่เป็นสากล และข้อเสนอแนะเพื่อใช้เป็นแนวทางแก้ไขปัญหาอาชญากรรมข้ามชาตินี้

 

ก. หลักการและรากฐานความคิดของประเทศไทย

ไม่มีหลักฐานใดแสดงหลักการและรากฐานความคิดเกี่ยวกับความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางได้อย่างชัดเจนเท่ากับ “บันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ …) พ.ศ….” [5] ที่กระทรวงยุติธรรมเสนอประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 20 มีนาคม 2548 โดยกระทรวงยุติธรรมแสดงหลักการของกฎหมายไว้สามประการคือ

1. กำหนดความหมายของหนังสือเดินทาง ให้ชัดเจนว่าหมายถึงเอกสารประจำตัวที่รัฐบาลไทยหรือรัฐบาลต่างประเทศออกให้แก่พลเมืองชาติของตนและ ให้ครอบคลุมรวมถึงหนังสือเดินทางราชการ การลงตราหรือวีซ่า

2. กำหนดให้ความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทาง เป็นการกระทำความผิดนอกราชอาณาจักรที่ต้องให้ได้รับผิดในราชอาณาจักร ซึ่งเป็นความผิดประเภทหนึ่งในมาตรา 8 แห่งประมวลกฎหมายอาญา และ

3. กำหนดโทษสำหรับความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางให้ต้องรับโทษหนักขึ้นกว่าฐานความผิดปลอมเอกสารทั่วไป

นอกจากนี้ ในบันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างกฎหมายฉบับดังกล่าว ยังได้แสดงสาระสำคัญของเหตุผลของกฎหมายหลายประการ โดยประการที่สำคัญซึ่งผู้เขียนสามารถจำแนกออกเป็นสองประการ

ประการแรก คือ เพื่อต่อต้านการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติเนื่องจาก อาชญากรรมข้ามชาติมักจะใช้หนังสือเดินทางปลอมเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ซึ่งส่งผลกระทบทั้งความมั่นคงภายในราชอาณาจักรและความปลอดภัยของสังคมระหว่างประเทศ โดยประเทศในกลุ่ม G8 ได้เรียกร้องให้ประเทศไทยแก้ไขปัญหาการปลอมหนังสือเดินทางในประเทศ และในขณะเดียวกันการแก้ปัญหาดังกล่าวจะสอดคล้องกับหลักการของปฏิญญากรุงเทพ (หรือ ปฏิญญาอาเซียน) ในเรื่องที่เกี่ยวกับความร่วมมือเพื่อป้องกันการก่อการร้ายอีกด้วย[6]

ประการที่สอง คือ เพื่อให้สอดคล้องกับการ(เตรียม)เข้าเป็นภาคีสมาชิกในพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เพิ่มเติมอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร (Protocol against the Smuggling of Migrants by Land, Sea, and Air, Supplementing the United Nations Convention against Transnational Organized Crime)

อย่างไรก็ดี เมื่อร่างพระราชบัญญัติดังกล่าวได้รับการพิจารณาโดยหน่วยงานรัฐอื่นที่เกี่ยวข้องและคณะกรรมการกฤษฎีกา ปรากฏว่าเหตุผลของกฎหมายของร่างพระราชบัญญัติฯ ได้ถูกตัดทอนให้สั้นไปจากเดิม และไม่ปรากฏร่องรอยของหลักฐานที่สำคัญเกี่ยวกับพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทะเล และอากาศฯ ไว้อยู่เลย คงไว้เพียงแต่เหตุผลทางด้านความมั่นคงและความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ ภัยของการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติเพียงเท่านั้น ด้วยเหตุนี้พระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 18) พ.ศ. 2550 จึงไม่ปรากฏร่องรอยของรากฐานความคิดเกี่ยวกับพิธีสารฉบับดังกล่าว[7] กฎหมายอาญาในฐานความผิดปลอมหนังสือเดินทางของประเทศไทยจึงมีเพียงมุมมองเดียวคือ การปราบปรามการกระทำความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางเพื่อเป็นการป้องกันการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติอื่น ปราศจากมิติของ “การป้องกัน” การกระทำความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทาง และขาดมิติของ “การคุ้มครองเหยื่อ” ของการกระทำความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทาง ซึ่งสอดแทรกอยู่ในพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทะเล และอากาศฯ ไว้อย่างน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง

 

ข. หลักการและแนวคิดของสากล

หากจะกล่าวถึงกฎหมายเพื่อการต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่เป็นสากล คงหลีกเลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องกล่าวถึงอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร (United Nations Convention against Transnational Organized Crime) และพิธีสารเสริมอนุสัญญาอีกสามฉบับ กล่าวคือ

  • พิธีสารเพื่อป้องกันและปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะการค้าหญิงและเด็ก (Protocol to Prevent, Suppress, and Punish Trafficking in Persons, Especially Women and Children)
  • พิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทางทะเล และทางอากาศ (Protocol against the Smuggling of Migrants by Land, Sea, and Air) และ
  • พิธีสารเพื่อต่อต้านการผลิตและลักลอบค้าอาวุธ ชิ้นส่วนและอุปกรณ์ และเครื่องกระสุนโดยผิดกฎหมาย (Protocol against the Illicit Manufacturing of and Trafficking in Firearms, Their Parts and Component and Ammunition)

ทั้งนี้ประเทศไทยได้เข้าเป็นภาคีในอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร และพิธีสารเพื่อป้องกันและปราบปรามและลงโทษการค้ามนุษย์ โดยเฉพาะการค้าหญิงและเด็ก ในวันที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2556 ส่วนพิธีสารที่เหลืออีกสองฉบับ ประเทศไทยยังมิได้เข้าเป็นภาคี คงไว้เพียงการลงนาม และรอการเข้าเป็นภาคีในพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เพียงเท่านั้น[8]

ซึ่งโดยหลักการของพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ที่สำคัญนอกเหนือไปจากการปราบปรามการกระทำความผิดฐานลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ซึ่งรวมถึงการปลอมหนังสือเดินทางให้ผู้โยกย้ายถิ่นฐานแล้ว ยังมีหลักการของกฎหมายในมิติด้านการป้องกันการกระทำความผิดและการคุ้มครองผู้เสียหายจากอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าวอีกด้วย โดยพิธีสารฉบับดังกล่าว กำหนดให้รัฐภาคี ดำเนินคดีและลงโทษผู้กระทำความผิด ในฐานความผิด “ลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน” ดังต่อไปนี้

  1. การกระทำที่ก่อให้เกิดการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน (การจัดให้มีการลักลอบเข้าเมืองของบุคคลอื่นเข้าไปในประเทศภาคีสมาชิกของพิธีสารฉบับนี้ ซึ่งบุคคลดังกล่าวมิได้มีสัญชาติหรือมิได้มีสิทธิอาศัยถาวร เพื่อให้ได้มาซึ่งค่าตอบแทนหรือวัตถุตอบแทน) [ข้อ 3 (ก) และข้อ 6 อนุ 1 (ก) ของพิธีสารฯ]
  2. การปลอม การจัดหา การจัดให้ หรือการใช้หนังสือเดินทางปลอมหรือเอกสารประจำตัวปลอมในขณะที่กระทำความผิดเพื่อให้มีการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน [ข้อ 6 อนุ 1 (ข) ของพิธีสารฯ]
  3. การช่วยให้บุคคลอยู่ในประเทศซึ่งบุคคลนั้นมิได้มีสัญชาติหรือสิทธิอาศัยถาวรโดยฝ่าฝืนกฎหมายภายในของประเทศด้วยวิธีที่ผิดกฎหมาย [ข้อ 6 อนุ 1 (ค) ของพิธีสารฯ]
  4. การจัดให้มีหรือการกำกับการกระทำส่วนหนึ่งส่วนใดของฐานความผิดดังกล่าว [ข้อ 6 อนุ 2 (ค) ของพิธีสารฯ]
  5. การพยายามกระทำความผิดในฐานความผิดดังกล่าว [ข้อ 6 อนุ 2 (ก) ของพิธีสารฯ]
  6. การมีส่วนร่วมในการกระทำความผิดดังกล่าว [ข้อ 6 อนุ 2 (ข) ของพิธีสารฯ]
  7. การกระทำความผิดในฐานความผิดดังกล่าวเป็นเหตุให้ผู้โยกย้ายถิ่นฐานได้รับการทรมานหรือทารุณกรรม ซึ่งเป็นเหตุให้ต้องได้รับโทษที่หนักขึ้น [ข้อ 6 อนุ 3 ของพิธีสารฯ]

นอกจากนี้ พิธีสารฯ ยังได้จำแนก “ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน” ที่ถือได้ว่าเป็น “ผู้เสียหาย” ออกจากการกระทำความผิดฐานลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน โดย ข้อ 5 แห่งพิธีสารฯ กำหนดว่า “ห้ามมิให้ผู้โยกย้ายถิ่นฐานต้องได้รับโทษทางอาญาภายในพิธีสารฉบับนี้สำหรับข้อเท็จจริงที่ว่าผู้โยกย้ายถิ่นฐานเป็นผู้ถูกกระทำ[10]  ในฐานความผิดที่กำหนดไว้ในข้อ 6 แห่งพิธีสารฯ นี้”

ด้วยเหตุดังกล่าวข้างต้น จึงทำให้เห็นว่า นอกจากใน “มิติด้านการปราบปราม” การกระทำความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางซึ่งถือเป็นส่วนหนึ่งของการอาชญากรรมระหว่างประเทศ ประเภทการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานแล้ว ยังมี “มิติด้านการคุ้มครอง” ผู้เสียหายที่นอกเหนือไปจากรัฐและประชาชนทั่วไป กล่าวคือ ผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่ตกเป็นเหยื่อของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติดังกล่าว โดยเฉพาะผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงเพื่อลี้ภัยนั่นเอง ซึ่งการคุ้มครองที่นอกเหนือไปจากการคุ้มครองทางกฎหมายมิให้ต้องได้โทษฐานปลอมหนังสือเดินทางแล้ว ยังมีการคุ้มครองและช่วยเหลือผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่เป็นผู้เสียหายในด้านต่างๆ อีก อาทิ การให้การคุ้มครองต่อชีวิต[11] การคุ้มครองพยานซึ่งเป็นผู้โยกย้ายถิ่นฐาน[12] และการช่วยเหลือด้านการส่งกลับประเทศต้นทาง[13] (ในกรณีที่มิใช่ผู้ลี้ภัย) เป็นต้น

ส่วนใน “มิติทางด้านการป้องกัน” ข้อ 10 แห่งพิธีสารฯ กำหนดให้มีการจัดทำข้อมูลเกี่ยวกับลักษณะ วิธีการและข้อมูลอื่นที่เกี่ยวข้องกับการกระทำความผิดในฐานการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ข้อ 11 แห่งพิธีสารฯ กำหนดให้รัฐภาคีกำหนดวิธีการโดยกฎหมายเพื่อป้องกันการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานโดยผู้ประกอบกิจการขนส่งพาณิชย์ ข้อ 12 แห่งพิธีสารฯ กำหนดให้รัฐภาคีมีมาตรการความปลอดภัยมิให้ทำปลอมหนังสือเดินทางแห่งรัฐตนได้โดยง่าย ข้อ 13 แห่งพิธีสารฯ กำหนดให้รัฐภาคียืนยันความถูกต้องแท้จริงของหนังสือเดินทางแห่งรัฐตนโดยไม่ชักช้า เมื่อรัฐภาคีอีกฝ่ายหนึ่งร้องขอ ข้อ 14 แห่งพิธีสารฯ กำหนดให้มีการฝึกอบรมและการร่วมมือทางด้านเทคนิคแก่พนักงานเจ้าหน้าที่ของรัฐภาคี

หลักการและแนวคิดที่เป็นสากลในการต่อต้านการปลอมหนังสือเดินทางซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติที่ลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน และขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติประเภทอื่น ที่ปรากฏใน พิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ซึ่งเดิมปรากฏอยู่ในเหตุผลของ“บันทึกหลักการและเหตุผลประกอบร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ …) พ.ศ….”ซึ่งเสนอโดยกระทรวงยุติธรรมเพื่อประกอบการพิจารณาของคณะรัฐมนตรีในวันที่ 20 มีนาคม 2548 แต่ในตอนหลังถูกตัดตอนออกไป จึงมิได้มีเพียงแต่มิติของการ “ปราบปราม” การกระทำความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางเพียงอย่างเดียว แต่ยังมีมิติของการ “คุ้มครอง” ผู้เสียหายของการกระทำความผิดของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ ที่ดำเนินธุรกิจปลอมหนังสือเดินทางเพื่อลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน และดำเนินกิจกรรมข้ามชาติอื่นที่ผิดกฎหมายในลักษณะอาชญากรกลุ่ม อีกทั้งขาดมิติของการ “ป้องกัน” การกระทำความผิดในลักษณะดังกล่าว เนื่องจากที่ผ่านมา ทั้งตัวบทบัญญัติของกฎหมายอาญาที่มีอยู่ก็ดี การใช้การตีความกฎหมาย หรือการปฏิบัติหน้าที่ของพนักงานเจ้าหน้าที่เองก็ดี ล้วนแล้วแต่มุ่งปราบปรามผู้กระทำความผิดต่อบทบัญญัติของกฎหมายอย่างแข็งทื่อ มิได้ปรับใช้กฎหมายให้ตรงตามเจตนารมณ์แห่งกฎหมายอย่างเป็นระบบ[14] จึงทำให้หลายคดีแทนที่จำเลยจะเป็นขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ กลับกลายเป็น “เหยื่อขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติตกเป็นจำเลย” [15] เสียเอง

และที่สำคัญที่สุด ใน ปี พ.ศ. 2557 นี้ ประเทศไทยได้ถูกจัดอันดับโดยประเทศสหรัฐอเมริกาในรายงานสถานการณ์การค้ามนุษย์ประจำปี ให้อยู่ในลำดับที่ 3 (Tier 3) ซึ่งเป็นลำดับสำหรับประเทศที่มีมาตรการการแก้ไขปัญหาการค้ามนุษย์ที่ต่ำกว่ามาตรฐานระดับแย่ที่สุด โดยก่อนหน้าที่ประเทศไทยจะถูกจัดให้อยู่ลำดับที่ 3 ประเทศสหรัฐฯ ได้กล่าวไว้ในรายงานว่าประเทศไทยควรต้องปรับปรุงการคัดแยกและการคุ้มครองผู้เสียหายหรือผู้อาจเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์เนื่องจากยังมีผู้เสียหายหรือผู้อาจเป็นผู้เสียหายจำนวนหนึ่งถูกดำเนินคดีฐานลักลอบเข้าเมือง ทั้งที่ประเทศไทยได้มีพระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 ซึ่งกฎหมายภายในที่ใช้เพื่อคุ้มครองผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ไว้เป็นการเฉพาะแล้วเป็นเวลากว่า 6 ปี และนอกจากนี้ ข้อเท็จจริงปรากฏว่าแท้จริงแล้วข้อแตกต่างระหว่างการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานและการค้ามนุษย์อาจแยกออกจากกันได้อย่างชัดเจนในทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติแล้ว “การลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน” อาจกลายสภาพไปเป็นการ “แสวงหาประโยชน์โดยมิชอบ” [16] ต่อตัวผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ได้ทุกเมื่อหากมีพฤติการณ์ที่ “บังคับ” อันเป็นองค์ประกอบที่ทำให้การค้ามนุษย์มีความแตกต่างจากลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน การใช้และการตีความกฎหมายอาญาที่มุ่งประสงค์แต่การปราบปรามการปลอมและการใช้หนังสือเดินทางปลอมต่อตัวผู้โยกย้ายถิ่นฐาน โดยมิได้พิจารณาถึงมิติของการ “คุ้มครองผู้เสียหายจากขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ” และ “การป้องกันขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติ” อย่างเป็นระบบซึ่งอาจเกี่ยวเนื่องหรือเป็นกลุ่มเดียวกันกับขบวนการค้ามนุษย์ก็ยิ่งอาจทำให้ประเทศไทยไม่สามารถรักษาความมั่นคงภายในรัฐและอาจถูกโจมตีโดยสังคมระหว่างประเทศ กลับกลายเป็นว่าขัดต่อเจตนารมณ์แห่งกฎหมายของพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ 18) พ.ศ.2550 ฐานปลอมหนังสือเดินทางเสียอีก

 

ค. สรุปผลและเสนอแนะ

หากพิจารณาให้รอบด้านแล้ว นับว่าน่าเสียดายเป็นอย่างยิ่ง ที่นอกจากกฎหมายอาญาของประเทศไทยในฐานความผิดปลอมหนังสือเดินทางจะไม่ปรากฏหลักการของพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทางทะเล และทางอากาศแล้ว ประเทศไทยยังมิได้เข้าเป็นภาคีหรือนำหลักการในพิธีสารฉบับดังกล่าวมาบัญญัติเป็นกฎหมายภายใน จึงทำให้ความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางขาดมิติด้านการป้องกันการกระทำความผิดดังกล่าว และมิติด้านการคุ้มครองบุคคลที่ถือเป็นเหยื่อของขบวนการปลอมหนังสือเดินทาง ซึ่งนอกเหนือจากรัฐผู้เป็นเจ้าของสัญชาติหนังสือเดินทางปลอม รัฐที่เป็นเจ้าของดินแดนที่อธิปไตยที่ถูกละเมิด และเจ้าของหนังสือเดินทางที่แท้จริง (กรณีที่ใช้สวมหนังสือเดินทาง) แล้ว ยังมีคนเข้าเมืองที่บางส่วนมิได้เป็นส่วนหนึ่งของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติแต่เป็นเพียงผู้ลี้ภัยหรือผู้แสวงหาที่พักพิงเพื่อลี้ภัยที่ถูกหลอกโดยขบวนการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ให้ใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อไปลี้ภัยในประเทศที่สาม เมื่อกฎหมายมิได้แยก “อาชญากรที่แท้จริง” กล่าวคือ อาชญากรข้ามชาติที่ใช้หนังสือเดินทางปลอมเป็นเครื่องมือในการกระทำความผิด ออกจาก “เหยื่อ” กล่าวคือ “ผู้ลี้ภัยหรือผู้แสวงหาที่พักพิงเพื่อลี้ภัย” จึงมีผู้ลี้ภัยและผู้แสวงหาที่พักพิงเพื่อลี้ภัยจำนวนมากที่ถูกดำเนินคดีและถูกศาลตัดสินให้ต้องรับโทษฐานปลอมและใช้หนังสือเดินทางปลอม ซึ่งมีอัตราโทษที่สูง ทั้งที่บุคคลดังกล่าวมีเหตุจำเป็นที่จะต้องกระทำความผิดกฎหมายบ้านเมืองเพื่อปกป้องชีวิตของตน และทั้งที่แท้จริงแล้วบุคคลดังกล่าวเป็นผู้เสียหายของขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติเสียด้วยซ้ำ

นอกจากนี้ พิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทางทะเล และทางอากาศ ยังกำหนดหลักการของกฎหมาย ในมิติของการ “ป้องกัน” การกระทำความผิดฐานลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานซึ่งรวมถึงความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทางด้วย และเมื่อการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน มีความเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์ การตัดตอนพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทางทะเล และทางอากาศออกไปจากหลักคิดของการดำเนินคดีอาญาฐานปลอมหนังสือเดินทางจะทำให้เกิด “ความอยุติธรรม” ในกระบวนการยุติธรรม ทั้งในด้าน “การปราบปรามการกระทำความผิด” (เนื่องจากผู้กระทำความผิดจริง – ผู้ปลอมหนังสือเดินทางตัวจริง ยังคงลอยนวล) “การคุ้มครองผู้เสียหายจากการกระทำความผิด” (ซึ่งรวมถึงผู้ลี้ภัยและผู้โยกย้ายถิ่นฐานที่ถูกหลอกให้ใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อลี้ภัย) และ “การป้องกันการกระทำความผิด” (ซึ่งรวมถึงการศึกษาทำความเข้าใจขบวนการอาชญากรรมข้ามชาติในภาพรวมอย่างเป็นระบบ) ที่อาจมีความเชื่อมโยงกับการค้ามนุษย์และอาชญากรรมข้ามชาติอื่น

ผู้เขียนจึงขอเสนอว่า แนวทางแก้ไขปัญหาในระยะสั้น พนักงานเจ้าหน้าที่ผู้ใช้บังคับกฎหมายอาญา ควรใช้และตีความกฎหมายให้สอดคล้องกับเจตนารมณ์ของกฎหมายอย่างเป็นระบบ และคุ้มครองผู้เสียหายจากอาชญากรรมข้ามชาติโดยเฉพาะการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ส่วนแนวทางแก้ไขปัญหาในระยะยาวคือ ประเทศไทยควรเข้าเป็นภาคีในพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานทางบก ทางทะเล และทางอากาศ เพิ่มเติมอนุสัญญาสหประชาชาติเพื่อต่อต้านอาชญากรรมข้ามชาติที่จัดตั้งในลักษณะองค์กร (Protocol against the Smuggling of Migrants by Land, Sea, and Air, Supplementing the United Nations Convention against Transnational Organized Crime) ตามเจตนารมณ์ที่มีแต่เดิมและปรับปรุงกฎหมายภายในให้สอดคล้องกับหลักการอันเป็นสากลในเรื่องดังกล่าวโดยเร็ว เพื่อให้การดำเนินคดีในความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทาง มีความบริบูรณ์พร้อมทั้งในมิติด้านป้องกัน ปราบปราม และการคุ้มครอง

________________________

[1] Stastna, Kazi (12 March 2014). “Malaysia Airlines Affair Raises Security Concerns Over Passport Trafficking.” CBC News (Online). Retrieved from http://www.cbc.ca/m/touch/news/story/1.2568491. [Accessed 12 March 2014].

[2] โปรดดู Achara Ashayagachat (27 March 2014). “Refugees Thwarted En Route to Sweden.” Bangkok Post (Online). Retrieved from http://m.bangkokpost.com/topstories/402116. [Accessed 25 July 2014]., Paritta Wangkiat (11 July 2014). “LCT Calls for Action on Trafficking Gangs.” Bangkok Post (Online). Retrieved from http://www.bangkokpost.com/news/local/419960/lct-calls-for-action-on-trafficking-gangs. [Accessed 27 July 2014]., Kohnwilai Teppunkoonngam (24 April 2014). “‘Don’t Lose Hope’ – Law, Policy and Syrian Refugees in Thailand.” Prachathai (Online). Retrieved from http://www.prachatai.com/english/node/3935. [Accessed 25 July 2014]. และ กรวิไล เทพพันธ์กุลงาม (2557). “ผู้ลี้ภัยทางอากาศจากซีเรีย : เหยื่อขบวนการค้ามนุษย์ในรูปแบบใหม่,” ThaiNGO.Org (ออนไลน์). แหล่งที่มา http://www.thaingo.org/thaingo/node/2812. [สืบค้น 25 ก.ค. 2557].

[3] INTERPOL. (9 March 2014). “INTERPOL Confirms At Least Two Stolen Passports Used By Passengers on Missing Malaysian Airlines flight 370 were Registered in Its Databases.” Retrieved http://www.interpol.int/News-and-media/News/2014/N2014-038. [Accessed 25 July 2014].

[4] จำนง ศรีนคร (10 มีนาคม 2557). “เที่ยวบิน มาเลย์ ล่องหน ไทย แดนสวรรค์พาสปอร์ตปลอมจริงหรือ.” สำนักข่าวอิศรา (ออนไลน์). แหล่งที่มา http://www.isranews.org/isranews-article/item/27788-plan.html. [สืบค้น 25 ก.ค. 2557].

[5] โปรดดูเอกสารประกอบมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 20 มีนาคม 2548 เรื่อง ร่างพระราชบัญญัติแก้ไขเพิ่มเติมประมวลกฎหมายอาญา (ฉบับที่ …) พ.ศ…. (ความผิดฐานปลอมหนังสือเดินทาง)

[6] “ด้วยการควบคุมพรมแดนและการออกเอกสารแสดงตัวและเอกสารเพื่อใช้ในการเดินทางอย่างมีประสิทธิภาพ และป้องกันการปลอมหรือการใช้เอกสารแสดงตัวและเอกสารเพื่อใช้ในการเดินทางปลอม” โปรดดู ข้อ 6.1.ง แห่งปฏิญญาอาเซียน (Declaration on the Establishment of the Association of South-East Asian Nations)

[7] โดยหมายเหตุท้ายพระราชบัญญัติ กำหนดว่า “โดยที่ในปัจจุบันการก่อการร้ายและอาชญากรรมข้ามชาติได้ทวีความรุนแรงและมีรูปแบบที่ซับซ้อนมากยิ่งขึ้น และได้มีการใช้หนังสือเดินทางเป็นเครื่องมือในการกระทำดังกล่าวซึ่งส่งผลกระทบต่อความมั่นคงในประเทศและต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ สมควรขยายขอบเขตของการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทางให้กว้างขวางขึ้น สมควรขยายขอบเขตของการกระทำความผิดเกี่ยวกับหนังสือเดินทางให้กว้างขึ้นและสมควรกำหนดอัตราโทษให้เหมาะสมกับความผิด จึงจำเป็นต้องตราพระราชบัญญัตินี้”

[8] ในวันที่ 15 ตุลาคม พ.ศ. 2555 คณะรัฐมนตรีได้มีมติให้กระทรวงการต่างประเทศดำเนินการเข้าเป็นภาคีในพิธีสารเพื่อต่อต้านการลักลอบขนผู้ย้ายถิ่นฐานโดยทางบก ทางทะเล และอากาศ เมื่อดำเนินกระบวนการภายในเป็นที่สำเร็จเรียบร้อย

[9] United Nations Office on Drugs and Crime (2010). “Toolkit to Combat Smuggling of Migrants. Tool 5 Legislative Framework” p. 5.

[10] “ถูกนำพาโดยลักลอบ” หรือมิได้มีส่วนในการลักลอบขนผู้โยกย้ายถิ่นฐานคนอื่น

[11] ข้อ 16 ของพิธีสารฯ

[12] ข้อ 24 ของพิธีสารฯ

[13] ข้อ 18 ของพิธีสารฯ

[14] เช่น มิได้นำบัญญัติแห่งกฎหมายที่เกี่ยวกับเด็กในคดีอาญามาใช้ ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาเป็นเด็ก มิได้นำบทบัญญัติใน พระราชบัญญัติป้องกันและปราบปรามการค้ามนุษย์ พ.ศ. 2551 มาใช้คุ้มครองผู้ถูกกล่าวหา ในกรณีที่ผู้ถูกกล่าวหาอาจเป็นผู้เสียหายจากการค้ามนุษย์ มิได้ใช้บทบัญญัติแห่งกฎหมายว่าด้วย การกระทำความผิดด้วยความจำเป็น มาใช้แก่กรณีของผู้ลี้ภัยที่จำเป็นต้องใช้หนังสือเดินทางปลอมเพื่อลี้ภัยและรักษาชีวิตของตนให้รอดพ้นจากภัยสงคราม เป็นต้น

[15] โปรดดู Achara Ashayagachat (27 March 2014), Paritta Wangkiat (11 July 2014), Kohnwilai Teppunkoonngam (24 April 2014) และ กรวิไล เทพพันธ์กุลงาม (2557) อ้างแล้ว

[16] เช่นการหลอกให้ผู้โยกย้ายถิ่นฐาน ซึ่งเป็นผู้ลี้ภัย มอบตัวบุตรให้แก่นายหน้าในประเทศไทยในระหว่างที่ถูกจับกุมตัว และดำเนินคดีเพื่อขูดรีดเงินจากผู้โยกย้ายถิ่นฐานและญาติเป็นค่าเลี้ยงดูและค่าใช้จ่ายอื่นๆ ในทุกขั้นตอนของกระบวนการทางกฎหมาย เป็นต้น โปรดดู Achara Ashayagachat (27 March 2014), Paritta Wangkiat (11 July 2014), และ กรวิไล เทพพันธ์กุลงาม (2557) อ้างแล้ว

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

Prev

March 2025

Next

Mon

Tue

Wed

Thu

Fri

Sat

Sun

24
25
26
27
28
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
31
1
2
3
4
5
6

15 March 2025

Nothing to show.

เข้าสู่ระบบ