ที่บางกลอยยังรอคอยสันติ

ที่บางกลอยยังรอคอยสันติ

หากช่วงนี้เราติดตามข่าวสารรายวัน จะเห็นว่าพี่น้องชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านบางกลอย-ใจแผ่นดิน ได้รับความไม่เป็นธรรมจากภาครัฐซึ่งถูกเจ้าหน้าที่ของภาครัฐบังคับให้ออกจากหมู่บ้านโดยภาครัฐให้เหตุผลว่า “พวกเขาบุกรุกพื้นที่ป่าซึ่งเป็นเขตอุทยานแห่งชาติ แต่แท้จริงแล้วชาวบ้านเหล่านี้อาศัยอยู่ตรงนั้นมาหลายช่วงอายุคน” หลังจากที่เกิดเหตุการณ์นี้แก่พี่น้องชาวปกาเกอะญอบ้านบางกลอยซึ่งถูกเจ้าหน้าภาครัฐขับไล่ออกจากหมู่บ้านและพี่น้องเหล่านี้ไม่ได้รับความเป็นธรรมจากภาครัฐ

จึงทำให้พี่น้องชาวปกาเกอะญอจำนวนมากทั้งที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยและต่างประเทศได้ส่งกำลังใจให้แก่พี่น้องบ้านบางกลอย และมีหลากหลายองค์กรที่ลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่ พี่น้องชาวบ้านบางกลอย หรือใจแผ่นดินด้วยเช่นกัน

การลุกขึ้นมาเรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่พี่น้องชาติพันธุ์ปกาเกอะญอบ้านบางกลอย หรือ ใจแผ่นดินในครั้งนี้ สะท้อนให้เห็นว่าคนปกาเกอะญอที่ไม่ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์นี้หรือพี่น้องต่างชาติพันธุ์ก็ดี ที่ต่างลุกขึ้นมาสู้เรียกร้องความเป็นธรรมให้แก่พี่น้องบ้านบางกลอย พวกเขาต่างแสดงจุดยืนเป็นเสียงเดียวกันว่า พวกเขาต้องการคืนสันติและความเป็นธรรมให้แก่พี่น้องผู้ได้รับผลกระทบ พวกเขาเหล่านี้กำลังสร้างวัฒนธรรมของการดูแล การเอาใจใส่ และการช่วยเหลือให้แก่พี่น้องผู้ร่วมสังคมโลกเดียวกัน ในบทเทศน์บนภูเขาในไบเบิลตอนหนึ่งได้กล่าวไว้ว่า

“ ผู้สร้างสันติ ย่อมเป็นสุข เพราะเขาจะได้ชื่อว่าเป็นบุตรของพระเจ้า
ผู้ถูกเบียดเบียนข่มเหงเพราะความชอบธรรม ย่อมเป็นสุข เพราะอาณาจักรสวรรค์เป็นของเขา”

บนเทศน์ตอนนี้กำลังสื่อให้เราเข้าใจว่า มนุษย์เรานั้นต่างต้องการสันติสุขไม่ว่าจากภายนอกหรือภายใน เราต่างต้องการความเป็นธรรมเมื่อไม่ได้รับความชอบธรรม และบทเทศน์นี้เชื้อเชิญเราทุกคนให้เป็นผู้สร้างวัฒนธรรมแห่งสันติและความเป็นธรรมให้แก่ผู้ที่ไม่ได้รับสันติและความเป็นธรรม

หากเรามองย้อนกลับมาสู่วัฒนธรรมของพี่น้องชาติพันธุ์กลุ่มนี้ เราจะเข้าใจว่า ชีวิตของคนปกาเกอะญอนั้นเป็นชนเผ่าที่รักสันติ เป็นชนเผ่า ที่ให้ความสำคัญกับธรรมชาติ ปรัชญาการดำเนินชีวิต และมีแนวทางการดำเนินชีวิตที่สอดคล้องกับธรรมชาติ พวกเขาเหล่านั้นมองว่าตนเองเป็นส่วนหนึ่งของสังคมโลกที่กว้างใหญ่  พวกเขาสร้างวัฒนธรรมแห่งสันติและการดูแล ผ่านชีวิตและคำสอนของพวกเขา

เหตุการณ์ที่ไม่ได้รับความเป็นธรรมครั้งนี้จากภาครัฐ ผมเชื่อว่าคงจะทำให้พี่น้องผู้ได้รับผลกระทบนั้นเจ็บปวดจากเหตุการณ์เหล่านี้ไม่มากก็น้อย เหตุการณ์ของพี่น้องกลุ่มนี้คือสิ่งที่สะท้อนให้เราเห็นว่า ความเจ็บปวดของพวกเขาเหล่านั้น พวกเขาต้องการเยียวยา พวกเขาต้องการความช่วยเหลือ ต้องการศักดิ์ศรีและคุณค่าของความเป็นมนุษย์กลับคืนมาจากการไม่ได้รับความเป็นธรรม

เมื่อ  1 ปีที่ผ่านมามีหญิงชาวปกาเกอะญอคนหนึ่ง เธอชื่อว่า  Ehgay So เธอเคยเป็นผู้ลี้ภัยในประเทศเมียนมา ปัจจุบันเธอขอลี้ภัยสร้างชีวิตใหม่ที่ประเทศสหรัฐอเมริกัน เธอได้เล่าประสบการณ์เกี่ยวกับการหนีสงครามและชีวิตในศูนย์ผู้อพยพให้แก่ผม

เธอเล่าว่า “ในปี 1997 ฉันและครอบครัวต้องหลบภัยสงครามซึ่งเป็นสงครามกลางเมืองที่เกิดในประเทศเมียนมา มันเป็นสิ่งที่โหดร้ายมาก ระหว่างกันหลบหนี ฉันและครอบครัวถูกจับและจากทหารเมียนมา เราต่างรู้สึกหวัดกลัวแต่ในท้ายที่สุด เราก็หลบหนีมาได้แต่ช่วงที่เราหลบหนีนั้น ญาติคนหนึ่งของฉันต้องเสียชีวิตเพราะการหลบหนี เราหลบหนีมายังชายแดนประเมียนมาได้สำเร็จและหลบอยู่ในป่าเป็นเวลา 4 ปี เรามีอาหารและน้ำที่ไม่เพียงพอในท้ายที่สุด ฉันและครอบครัวตัดสินใจข้ามชายแดนมายังประเทศไทย เราโชดดีที่ มีคนช่วยเหลือเราและท้ายที่สุดเราได้เข้ามาอาศัยในศูนย์อพยพในประเทศไทย ถึงแม้ว่าเราจะไม่ต้องหนีสงครามอีกต่อไป แต่ชีวิตในค่ายผู้ลี้ภัยนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเลย เรามีอิสรภาพเหมือนกับเราไม่มี เราเหมือนกับนกที่ถูกขังในกรง มันเป็นความรู้สึกที่เจ็บปวดและน่าเศร้า”

“ในฐานะที่เราเป็นมนุษย์บนโลก ผมเชื่อว่าความรัก การดูแลเอาใจใส่จากใครสักคน หรือการถูกใครสักคนช่วยเราในเวลาที่เรายากลำบาก คงจะเป็นเรื่องที่น่ายินดีไม่มากก็น้อยที่ทำให้ใจของเราชื่นชมยินดีกับสิ่งที่เราได้รับเพราะสิ่งที่ผมได้กล่าวไปนั้นคือสิ่งความต้องการพื้นฐานในฐานะผู้เป็นมนุษย์ “

คนทุกคนนั้นต่างได้รับวัฒนธรรมของการดูแลและการเอาใจใส่ตั้งแต่เกิดมา นั้นก็คือ วัฒนธรรมความรักและสันติที่เที่ยงแท้จากผู้ที่ได้ชื่อว่าผู้เป็นมารดา ผู้ที่ได้ชื่อว่าผู้ให้กำเนิด มารดาจะมอบความรักและการดูแลเอาใจใส่เป็นอย่างดีให้แก่บุตรทุกคนเหมือนกับของล้ำค่าที่ไม่อยากให้ใครมาแย่งชิงไป คนปกาเกอะญอก็เช่นกันเมื่อบุตรหรือธิดาของพวกเขาเหล่านั้นเกิดมาใส่สายสะดือของทารกที่ถูกตัดหลังจากเด็กได้ลืมตามองโลกใบใหม่  สะดือของทารกน้อยที่ถูกตัดจากร่ายกายของทารกนั้นจะถูกนำมาผูกติดไว้กับต้นไม้ซึ่งเป็นสัญลักษณ์ว่า เด็กและต้นไม้จะเป็นหนึ่งเดียวกัน เขาเหล่านั้นจะไม่ทำร้ายกัน เขาเหล่านั้นคือเพื่อนที่ไว้ใจซึ่งกันและกัน เขาเหล่านั้นจะเป็นของกันและกันและจะปกป้องกันจงถึงลมหายใจสุดท้าย

การที่เราจะสร้างวัฒนธรรมของการดูและเอาใจใส่นั้นเพื่อจะนำไปสู่เส้นทางสันติและความเป็นธรรมนั้น เราต้องเริ่มต้นด้วยความจริงใจและซื่อตรงเพราะความจริงใจและซื่อตรงคือรากฐานที่จะก่อให้เกิดสันติภาพที่แท้จริงไม่ใช่สังคมโลกเท่านั้นแต่อย่างรวมถึงจิตใจของมนุษย์ทุกคน

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ