เจรจาเครียด ! กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดตรวจสอบการขนสินแร่ ออกจากเหมืองทองคำจังหวัดเลย พบน้ำหนักเกิน ถกให้จ่ายค่ายภาคหลวงเข้ารัฐเพิ่ม
การขนแร่ครั้งที่ 2 ของบริษัทเอกชนออกจากเหมืองทองคำจังหวัดเลยเกือบเดือด กลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้าน จ.เลย ได้รับแจ้งว่าสินแร่เกินจากน้ำหนักเดิม 272.25 ตัน มาอีก 20 ตัน ชาวบ้านยืนยันไม่ให้ขนหากชี้แจงน้ำหนักที่เพิ่มมาไม่ได้ ก่อนทำบันทึกข้อตกลงและบริษัทจ่ายค่าภาคหลวงเพิ่ม 7 หมื่นกว่าบาทให้กับรัฐ
วันที่ 19 ม.ค. 64 ที่แยกกำแพงใจ หมู่บ้านนาหนองบง ต.เขาหลวง อ.วังสะพุง จ.เลย มีการประชุมเพื่อเจรจาหาข้อตกลงร่วมในการขนย้ายสินแร่รอบที่ 2 ระหว่างชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านจังหวัดเลย กับ นายมานิตย์ นวลพลับ หัวหน้ากลุ่มอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเมืองแร่ อุตสาหกรรมจังหวัดเลย นายประยูร อรัญรุท นายอำเภอวังสะพุง นางสาวสายพิรุณ วัฒนวงศ์สันติ ผู้อำนวยการสำนักบังคับคดีจังหวัดเลย และนายทองแดง ทองไหม ตัวแทนจากห้างหุ้นส่วนจำกัดไขนภา สตีล ปราจีนบุรี การเจรจาเป็นไปด้วยความตึงเครียด โดยพยายามหาข้อตกลงร่วมในการขนย้ายสินแร่รอบที่ 2 ที่บริษัทไขนภาทำการประมูลได้จำนวน 190 ถุง
น.ส.รจนา กองแสน ตัวแทนกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิด 6 หมู่บ้านจังหวัดเลยระบุว่า เพิ่งได้รับแจ้งจากอุตสาหกรรมจังหวัดว่า แร่ที่จะขนในวันนี้น้ำหนักเพิ่มขึ้นอีก 20 ตัน จากเดิมบริษัทต้องขนเพียงจำนวน 184 ตัน โดยขนไปก่อนหน้านี้ไปแล้ว 88 ตัน รวมทั้งสิ้นเป็นประมาณ 272.25 ตันแต่แร่เพิ่มมาอีก 20 ตันได้อย่างไร ซึ่งหากหาข้อสรุปไม่ได้ชาวบ้านก็จะไม่ให้ขนแร่ในวันนี้
นายทองแดงได้ชี้แจงกับชาวบ้านว่า แร่ที่เกินนั้นอาจจะเกิดจากความชื้นจากการเก็บแร่และน้ำหนักของกระสอบที่นำมาใช้ขน บริษัทไม่ได้มีการยักย้ายถ่ายเทแร่แต่อย่างไร
อย่างไรก็ตาม น.ส.รจนา และตัวแทนชาวบ้านแย้งว่า ก่อนหน้านี้เจ้าหน้าที่ได้ระบุในหนังสือชัดเจนว่าน้ำหนักของแร่ทั้งหมด 190 ถุงมีจำนวนน้ำหนัก 272.25 ตัน ดังนั้น เจ้าหน้าที่กระทรวงอุตสาหกรรมและกรมบังคับคดีจะต้องหาทางออกในเรื่องนี้
ขณะที่นายมานิตย์ระบุว่า จำนวนแร่ที่เกินมานั้นถือว่าเกินมา 10 เปอร์เซ็นต์ซึ่งตามหลักของอุตสาหกรรมจังหวัดถือว่าเป็นการเกินขึ้นมาด้วยสัดส่วนที่ไม่มาก จึงได้เสนอจะเก็บค่าภาคหลวงจากสินแร่ที่เกินขึ้นมาจำนวน 70,000 กว่าบาท กับบริษัทเอกชน แต่ชาวบ้านกลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดแย้งว่า หากมีการเก็บค่าภาคหลวงก็จะต้องมีการจ่ายค่าประมูลในส่วนต่างที่เพิ่มขึ้นมาด้วยเพราะหากจ่ายแค่ค่าภาคหลวงอย่างเดียวเงินที่ได้ก็จะไม่ตกถึงชาวบ้านและเจ้าหนี้รายอื่น ๆ ที่เป็นผู้เสียหายอย่างแท้จริง
ซึ่งตัวแทนบริษัทเอกชนระบุจะจ่ายแต่ภาคหลวงเพียงอย่างเดียว จะไม่ยอมจ่ายค่าประมูลเพิ่มแต่อย่างใดเพราะได้ทำการประมูลเหมาเป็นจำนวน 190 ถุง ไม่ได้ประมูลเป็นน้ำหนักของสินแร่
ขณะที่นางสาวสายพิรุณ วัฒนวงศ์สันติ ผู้อำนวยการสำนักบังคับคดีจังหวัดเลย ได้นำเอกสารมาอ่านให้ชาวบ้านฟังถึงข้อกำหนดที่เขียนไว้ในเอกสารประมูลว่าเป็นการประมูลแบบเหมาถุง 190 ถุง ไม่ได้มีการระบุน้ำหนักของแร่ในแต่ละถุง ซึ่งทางกรมบังคับคดีไม่ได้สนใจน้ำหนักที่อยู่ในถุง แต่สนใจจำนวนถุงที่ขายเหมาให้กับบริษัทเอกชนไปจำนวน 190 ถุง
การประชุมเป็นไปอย่างเคร่งเครียดมีการปะทะคารมระหว่างชาวบ้านและบริษัทเอกชนอยู่เป็นระยะ ๆ กระทั่งได้ข้อสรุปด้วยการร่างบันทึกข้อตกลงร่วมกัน ว่าจำนวนแร่ที่เกินมาจากของเดิม 272.25 ตัน ไปอีก 20 ตัน และจำนวนที่เกินมานั้นบริษัทจะจ่ายเป็นค่าภาคหลวง 71,447.35 บาท และไม่จ่ายค่าประมูลเพิ่มตามที่ชาวบ้านร้องขอ
ต่อมากลุ่มฅนรักษ์บ้านเกิดได้ขอให้มีการตรวจน้ำหนักของสินแร่ที่จะทำการขนทีละถุง ก่อนที่จะเจรจาให้ทำการชั่งน้ำหนักแบบสุ่มตรวจได้ และให้ทำการขนย้ายอุปกรณ์และนำคนงานออกจากเหมืองทันทีหลังขนสินแร่เสร็จซึ่งบริษัทยินดีดำเนินการตามขอเรียกร้องของชาวบ้านและได้ขนแร่อย่างเป็นทางการเมื่อเวลา 11.00 น.