เครือข่ายแรงงานเสนอมาตรการเยียวยา ให้รัฐคุ้มครองสวัสดิภาพ 99% ปชช. ทั่วประเทศ

เครือข่ายแรงงานเสนอมาตรการเยียวยา ให้รัฐคุ้มครองสวัสดิภาพ 99% ปชช. ทั่วประเทศ

แถลงการณ์มาตรการเยียวยาแรงงานจากผลการระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ครั้งใหม่

ต้องชัดเจน เพียงพอ ครอบคลุมทุกคนในประเทศ

โดย เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน และองค์กรภาคี

วันที่ 11 มกราคม 2564

จากสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อไวรัสโคโรน่า 2019 ครั้งใหม่ได้ส่งผลกระทบต่อการจ้างงานและการใช้ชีวิตของผู้คนอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะอย่างยิ่งภายหลังจากรัฐบาลไทยได้ประกาศใช้พระราชกำหนดบริหารราชการแผ่นดินในสถานการณ์ฉุกเฉิน ยกระดับการควบคุมสถานการณ์การแพร่ระบาดของโควิด-19 โดยมีผลบังคับใช้ในวันที่ 26 มีนาคม 2563 ซึ่งมีการออกมาตรการที่กระทบต่อทั้งผู้ประกอบการ แรงงานไทยและแรงงานข้ามชาติ

ขณะนี้ สถานประกอบการจำนวนมากต้องหยุดดำเนินการโดยไม่มีงบประมาณชดเชยจากรัฐ แรงงานถูกสั่งให้หยุดงาน หรือให้ทำงานจากที่บ้าน ถูกลดเงินเดือน ถูกเลิกจ้าง  ซึ่งทำให้คนทำงานต้องรับภาระต้นทุนในการทำงานมากขึ้น จำเป็นต้องทำงานเสริมเพื่อชดเชยรายได้ที่หายไป ขณะที่ภาระหนี้สินยังคงเป็นภาระต่อเนื่อง โดยเฉพาะหนี้สินจากการศึกษา (กยศ.) มีการฟ้องร้องดำเนินคดีกับลูกหนี้ รวมถึงแรงงานที่เคลื่อนย้ายไปภาคเกษตรกำลังเผชิญกับการขาดแคลนน้ำในการเพาะปลูก หรือมีปัญหาการขนส่งผลผลิตไปสู่ตลาดและผู้บริโภค นอกจากนี้ แรงงานที่สูญเสียงานประจำจากมาตรการล็อกดาวน์รอบแรกยังหลั่งไหลไปเป็นแรงงานบนแพลตฟอร์มออนไลน์จำนวนมาก เช่น เป็นพนักงานส่งอาหารผ่านแอปพลิเคชัน ซึ่งทราบกันว่าเป็นงานที่ไม่มั่นคง เสี่ยงต่ออุบัติเหตุ และไม่มีสวัสดิการใดรองรับ

แม้ว่าที่ผ่านมา รัฐมีความพยายามจะออกมาตรการเยียวยาประชาชนออกมาบ้าง เช่น โครงการเราไม่ทิ้งกัน โครงการคนละครึ่ง หรือการชดเชยกรณีว่างงานจากกองทุนประกันสังคม รวมถึงมาตรการช่วยเหลือแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่มีมติคณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ก็พบว่ามีระเบียบขั้นตอนยุ่งยาก มีค่าใช้จ่ายสูง (เช่น กรณีการขอใบอนุญาตทำงานของแรงงานข้ามชาติ) ให้สิทธิไม่ครบถ้วนทุกคน ต้องแย่งชิงกันอย่างเอาเป็นเอาตายเพื่อจะได้สิทธิมา กลายเป็นการใช้ภาษีจากประชาชนทุกคนเพื่อมาเยียวยาประชาชนแค่บางส่วนเท่านั้น นับเป็นความไม่คุ้มค่าอย่างมาก ในขณะที่มีประชาชนส่วนน้อยอีกกลุ่มหนึ่งเสวยสุขจากภาษีของเราอย่างไม่ทุกข์ร้อน ไม่ถูกรัฐสั่งปิดกิจการ ซ้ำยังร่ำรวยขึ้นมามหาศาลจากการกอบโกยผลกำไรช่วงมีการระบาด 

เราในฐานะที่เป็นคนกลุ่มใหญ่ 99% อีกทั้งเป็นผู้สร้างสรรค์ความเจริญให้กับประเทศและสร้างความมั่งคั่งกว่า 99% ให้กับเศรษฐกิจทั้งระบบ (ที่มีนายทุนผู้ร่ำรวยเพียง 1% ของทั้งประเทศเป็นผู้ฉกฉวยครอบครองอยู่) ต้องการอยู่ในรัฐที่ไม่เพียงควบคุมการระบาดได้ดีเท่านั้น แต่จะต้องมีหน้าที่พยุงเศรษฐกิจในช่วงมีการระบาดไม่ให้ล้มครืนลงไปด้วย ฉะนั้น เราเห็นว่ารัฐจะต้องดำเนินมาตรการเยียวแรงงานจากผลการระบาดของโคน่าไวรัส 2019 ครั้งใหม่ที่ชัดเจน เพียงพอ และครอบคลุมทุกกลุ่มที่อยู่อาศัยภายในประเทศ โดยมีรายละเอียดต่อไปนี้

1.ขยายมาตรการการชดเชยรายได้พื้นฐานให้แก่ประชาชนทุกคน ตั้งแต่อายุ 18 ปีขึ้นไป รวมถึงแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่อาศัยในประเทศไทย ยกเว้นภาคราชการ โดยจ่ายเดือนละ 5,000 บาทต่อคน เป็นระยะเวลา 3 เดือน จนถึงช่วงรับวัคซีน

2. ปรับปรุงขั้นตอนการเข้าถึงสิทธิการได้รับเงินชดเชยดังข้างต้น โดยใช้ฐานข้อมูลบุคคลสัญชาติไทยและคนไร้รัฐไร้สัญชาติของทะเบียนราษฎรของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย ฐานข้อมูลแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านของกรมการจัดหางาน กระทรวงแรงงาน รวมถึงส่งเสริมให้ประชาชนใช้จ่ายเงินชดเชยดังกล่าวเพื่อการกระจายรายได้ให้แก่ผู้ค้าปลีกรายย่อยมากกว่าร้านค้าสะดวกซื้อรายใหญ่

3. จากที่ผ่านมาแต่ละสถาบันการเงินจะใช้ดุลพินิจพักหนี้คราวละ 3 เดือน แต่การพักหนี้ระยะสั้นไม่ส่งผลดีต่อการวางแผนชีวิต  สร้างงานใหม่ จึงควรให้ออกมาตรการพักหนี้ครัวเรือนเป็นการทั่วไปอย่างน้อย 1 ปี ได้แก่ หนี้สินส่วนบุคคล บ้าน รถ และลดค่าใช้จ่ายด้านสาธารณูปโภคและอินเตอร์เน็ท เป็นเวลา 3 เดือน (มกราคมถึงมีนาคม 2564) 

4. ยกเลิกหนี้กองทุนเพื่อการศึกษา (กยศ.) โดยให้ดำเนินการจัดสรรเงินทุนให้เปล่าแก่นักเรียนนักศึกษาทุกคนขึ้นมาแทน เพราะการศึกษาควรเป็นสวัสดิการที่รัฐต้องจัดให้ประชาชนฟรี ซึ่งสามารถทำได้โดยการปรับลดโยกย้ายงบประมาณจากส่วนอื่น ๆ ลงอาทิ งบกองทัพและงบประมาณในส่วนที่เกี่ยวกับสถาบันพระมหากษัตริย์มาชดเชยเพื่อสร้างการศึกษาที่ดีสำหรับประชาชน

5. ประชาชนทุกคน ไม่ว่าจะเป็นประชาชนไทยหรือแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้านที่ทำงานและอาศัยอยู่ในประเทศไทย ต้องเข้าถึงการตรวจโรคฟรี รวมถึงได้รับวัคซีนฟรีเมื่อแสดงเจตจำนงที่โรงพยาบาล อย่างไรก็ตาม ผู้ที่แสดงเจตจำนงไม่ฉีดวัคซีนจะต้องไม่มีความผิดตามกฎหมาย เช่นเดียวกับการมีสิทธิเลือกที่จะดาวน์โหลดแอปพลิเคชันตระกูล ‘-ชนะ’ ของรัฐหรือไม่ก็ได้

6. จากบทเรียนการออกมาตรการเยียวยาครั้งที่ผ่านมา ที่ประสบปัญหาสับสน คลุมเครือ มีการแบ่งแยกกีดกันกันระหว่างแรงงานบางกลุ่ม และให้สิทธิไม่ถ้วนหน้า ครั้งนี้รัฐไม่ควรทำผิดพลาดซ้ำเดิม โดยต้องให้แรงงานทุกกลุ่มอาชีพเข้าถึงมาตรการเยียวยาของรัฐโดยไม่แบ่งแยก และจะต้องไม่นำเงินประกันสังคมของลูกจ้างไปใช้เยียวยาอีก 

  1. หากนายจ้างสั่งให้ลูกจ้างหยุดงาน หรือถูกทางราชการสั่งปิดด้วยเหตุแห่งโรคระบาด ให้นายจ้างและรัฐร่วมจ่ายเงินแก่ลูกจ้างครบ 100%
  2. สำหรับผู้ประกันตน มาตรา 33 กรณีที่นายจ้างสั่งหยุดงานชั่วคราวโดยมิใช่เหตุสุดวิสัย แต่เป็นเหตุอื่น ตามมาตรา 75 ของพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน ซึ่งนายจ้างต้องจ่ายค่าจ้างแก่ลูกจ้าง 75% ของค่าจ้างนั้น ให้รัฐจ่ายเงินส่วนต่างให้แก่ลูกจ้างอีก 25%
  3. ลดเงินสมทบสำหรับผู้ประกันตน มาตรา 39 และ 40 ชั่วคราว โดยรัฐจ่ายสมทบเข้ากองทุนแทน
  4. สำหรับในระยะกลาง เนื่องจากมีแรงงานจำนวนมากที่ยังไม่ได้เข้าสู่ระบบประกันสังคม เช่น แรงงานภาคเกษตร รัฐควรสนับสนุนให้แรงงานเหล่านี้เข้าถึงหลักประกันสังคม ตามมาตรา 39 และ 40 โดยรัฐสามารถช่วยจ่ายสมทบให้ในช่วงที่มีการระบาดของโควิด  และส่งเสริมให้แรงงานกลุ่มนี้เข้าสู่ระบบประกันสังคมทั้งหมด
  5. รัฐควรมีมาตรการช่วยเหลือแรงงานกลุ่มที่มีความจำเป็นอย่างยิ่งยวด (essential workers) ในระหว่างที่มีการระบาดของโควิด-19  โดยเฉพาะแรงงานในธุรกิจส่งอาหารตามสั่ง ส่งพัสดุ พนักงานทำความสะอาด พนักงานนวด ฯลฯ ที่ส่วนใหญ่เป็นธุรกิจแพลตฟอร์ม (platform business) ที่มีรายได้เพิ่มมากขึ้นในช่วงของการระบาดฯ แต่แรงงานกลุ่มนี้ขาดความมั่นคงในการทำงาน เป็นแรงงานรับจ้างทำงานรายชิ้นที่บริษัทเรียกอย่างผิดๆ ว่า “พาร์ทเนอร์”​ จึงไม่ได้เป็นผู้ประกันตนที่ธุรกิจร่วมจ่ายเงินสมทบในฐานะนายจ้าง และไม่สามารถเข้าถึงสวัสดิการเช่น เงินชดเชยจากการว่างงาน การเจ็บป่วยและอุบัติเหตุจากการทำงาน

7. รัฐต้องดูแลแรงงานภาคส่วนศิลปวัฒนธรรม ซึ่งได้รับผลกระทบโดยตรงจากคำสั่งของราชการ ดังนี้

  1. รัฐต้องอุดหนุนค่าเช่าสถานที่ประกอบการที่สั่งงด เช่น ผับบาร์ โรงมหรสพ โรงละคร ในช่วงการใช้มาตรการโควิด 3 เดือน
  2. เปิดสถานที่ของรัฐหรือจัดสรรงบประมาณแก่รัฐวิสาหกิจ ให้ผู้สร้างสรรค์งานศิลปะเข้าใช้เพื่อทำงานโดยไม่เสียค่าใช้จ่ายหรือจ่ายในอัตราย่อมเยา เช่น หอศิลปวัฒนธรรมแห่งกรุงเทพมหานคร (BACC), สำนักงานเศรษฐกิจสร้างสรรค์ (CEA), หอศิลป์ทั่วประเทศ รวมไปถึงพื้นที่อเนกประสงค์ที่กำกับดูแลโดยรัฐหรือแม้แต่พื้นที่โรงเรียนในชุมชนให้ส่งเสริมกิจกรรมศิลปะการแสดงของศิลปินมากขึ้น
  3. รัฐต้องประกาศจ้างงานการผลิตสื่อสาธารณะ เพื่อสร้างความเข้าใจแก่ประชาชนด้วยช่องทางศิลปะละคร ภาพยนตร์ เพลง ฯลฯ (ออนไลน์) เพื่อแสดงความจริงใจในการลดช่องว่างความเหลื่อมล้ำในสังคม โดยใช้งบอุดหนุนจากกระทรวงวัฒนธรรม ดังเช่นเคยกระทำมาก่อน เพื่อบรรเทาการสูญเสียรายได้ของศิลปิน
  4. ในระยะยาว รัฐควรมีมาตรการสนับสนุนศิลปะร่วมสมัยอย่างจริงจัง เพื่อให้วงการมีความเข้มเเข็งเติบโตอย่างอิสระ สามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรมภายใต้ระบบทุนนิยม ซึ่งจะนำไปสู่การสร้างมูลค่าอีกมหาศาลเข้าประเทศตามนโยบายเศรษฐกิจสร้างสรรค์ ตัวอย่างเช่น 
    • แก้ไขข้อกฎหมายให้มีรูปแบบการจดทะเบียนที่เหมาะสมกับผู้ที่ทำงานศิลปะทุกแขนง เพื่อให้คนทำงานศิลปะหรือหน่วยงานประชาสังคมอื่นๆ มีตัวตนอยู่ในระบบกฎหมายและการจัดการด้านภาษีอย่างถูกต้องชัดเจน  และสามารถแข่งขันได้อย่างเป็นธรรม
    • มาตรการลดหย่อนภาษีเพื่อสร้างแรงจูงใจจากภาคเอกชนและประชาชนหันมาสนับสนุนงานศิลปะมากยิ่งขึ้น ผู้ที่ทำงานเกี่ยวกับศิลปะการแสดงจะไม่จำเป็นต้องพึ่งพาทุนจากภาครัฐเพียงอย่างเดียว ซึ่งในปัจจุบัน ทุนจากภาครัฐนั้นก็มีข้อจำกัดต่อการสร้างงาน ไม่เพียงพอและไม่ทั่วถึง รวมไปถึง มาตรการงดเว้นภาษีแก่คนทำงานศิลปะ
    • พิจารณาการเปลี่ยนบทบาทภาครัฐจากผู้จัดกิจกรรมศิลปะ เป็นความสัมพันธ์แบบมีระยะห่าง จัดตั้งหน่วยงานอิสระที่บริหารงานโดยผู้ที่มีความเข้าใจด้านศิลปะอย่างแท้จริง รัฐนั้นจะทำหน้าที่บริหารงานรัฐกิจและอุปถัมภ์ศิลปะเพียงเท่านั้น เพื่อให้ศิลปะร่วมสมัยทุกแขนงขับเคลื่อนอย่างเต็มศักยภาพ ภาคประชาสังคมรวมถึงประชาชนสามารถเข้าถึงทรัพยากรได้มากขึ้น

8. มีมาตรการช่วยเหลือแรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน คือ

  1. ปรับลดค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนแรงงานข้ามชาติ ตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 ธันวาคม 2563 โดยลดค่าตรวจโควิด-19 เป็นรูปแบบการตรวจเชิงรุกโดยภาครัฐ และปรับค่าประกันสุขภาพสำหรับแรงงานข้ามชาติที่ต้องเข้าระบบประกันสังคมให้เหลือเพียง 3 เดือนระหว่างรอสิทธิประกันสังคม ทั้งนี้เพื่อไม่เป็นภาระให้แก่แรงงานข้ามชาติและนายจ้างจนเกินไป และยังทำให้แรงงานข้ามชาติเข้าสู่ระบบเพื่อประโยชน์ในการเฝ้าระวังการระบาดของโควิด-19 รวมทั้งปรับลดค่าใช่จ่ายแรงงานข้ามชาติที่ดำเนินการตามมติ ครม. วันที่ 4 สิงหาคม 2563 (บัตรชมพูใหม่) และมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 20 สิงหาคม 2562 โดยยกเว้นเรื่องการตรวจโควิด-19 เป็นรูปแบบการตรวจเชิงรุกโดยรัฐ และลดค่าวีซ่าลง เพื่อลดภาระของแรงงานข้ามชาติและนายจ้าง
  2. สั่งการสำนักตำรวจแห่งชาติให้ดำเนินการปฎิบัติตามมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 29 ธันวาคม 2563 และประกาศกระทรวงมหาดไทย เรื่องการอนุญาตให้คนต่างด้าวบางจำพวกอยู่ในราชอาณาจักรเป็นกรณีพิเศษ ภายใต้สถานการณ์การแพร่ระบาดของโรคติดเชื้อไวรัสโคโรนา 2019 ตามมติ คณะรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 29 ธันวาคม 2563 ที่มีข้อกำหนดไม่ให้มีการจับกุมแรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสาร เพื่อรอการดำเนินการตามมติครม. และเพื่อป้องกันการระบาดของโรคโควิด-19 ที่ยังคงปรากฏการจับกุม เช่น วันที่ 6 มกราคม 2564 พื้นที่กรุงเทพมหานคร กรณีสำนักเขตบางกอกน้อย ที่ยังมีการจับกุมดำเนินคดีอยู่
  3. ดำเนินการผ่อนผันแรงงานข้ามชาติกลุ่มที่กำลังดำเนินการตามมติ ครม. 4 สิงหาคม 2563 ตามขั้นตอน การดำเนินการให้เสร็จภายใน 31 มกราคม 2564 มีแรงงานข้ามชาติทั้งประมาณ 240,000 คน และแรงงานข้ามชาติกลุ่มที่ ต้องต่อวีซ่ารอบสองตามมติ ครม. 20 สิงหาคม 2562  และ กลุ่มมติ ครม. 4 สิงหาคม 2563 จำนวนทั้งประเทศก็ราว ๆ 1.5 ล้านคน  ซึ่งจะต้องไปตรวจสุขภาพและขอตรวจลงตราวีซ่า ในขณะนี้หลาย ๆ สถานพยาบาลมีมาตรการระงับการตรวจสุขภาพเพื่อขอตรวจลงตราวีซ่าของแรงงานข้ามชาติไปแล้ว ทำให้มีความเสี่ยงที่จะดำเนินการไม่ทันตามระยะเวลาที่กำหนด นอกจากนั้นแล้วยังเป็นการดำเนินการที่ก่อให้การการรวมกลุ่มของผู้คนจำนวนมากในสถานที่แออัดซึ่งขัดกับมาตรการป้องกันการระบาดของโรคที่รัฐบาลกำหนด โดยดำเนินการยกเว้นการตรวจลงตราวีซ่า และให้แรงงานสามารถทำงานและอยู่อาศัยในประเทศไทยตามอายุของบัตรชมพู เพื่อลดปัจจัยที่ทำให้เกิดการแพร่ระบาดของโควิด-19 และป้องกันแรงงานข้ามชาติที่ทำงานอย่างถูกต้องตามกฎหมายหลุดจากระบบ
  4. ดำเนินการผ่อนผันแรงงานข้ามชาติที่หนังสือเดินทางและเอกสารแทนหนังสือเดินทาง (CI/TD) กำลังจะหมดอายุ ภายในช่วงเดือนธันวาคม 2563 และต้นปี 2564 ที่ไม่สามารถต่ออายุวีซ่าและใบอนุญาต ทำงานได้ราว ๆ 300,000 400,000 คนโดยประมาณ อยู่และทำงานในประเทศไทยเป็นการเฉพาะตามอายุของบัตรชมพู เพื่อลดปัญหาการกลายเป็นแรงงานผิดกฎหมายและป้องกันการระบาดของโควิด-19
  5. กำหนดมาตรการที่ทำให้แรงงานข้ามชาติที่ถูกกักตัวตามมาตรการของรัฐ ขาดรายได้เนื่องจากปิดกิจการชั่วคราว รวมถึงกรณีเลิกจ้างให้สามารถเข้าถึงการชดเชยการขาดรายได้ โดยมีขั้นตอนที่เอื้อต่อการเข้าถึง เช่น มีขั้นตอนการรับค่าชดเชยที่สะดวก ลดเงื่อนไขเรื่องการยื่นเอกสาร หรือมีภาษาของแรงงานข้ามชาติในการรับคำร้อง ทั้งจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในสังกัดกระทรวงแรงงานและหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอื่น ๆ
  6. กำหนดมาตรการจูงใจให้แรงงานข้ามชาติที่ไม่มีเอกสารเข้าสู่งกระบวนการทำเอกสารอย่างถูกต้อง ลดหย่อนค่าทำเอกสารอนุญาตทำงานสำหรับแรงงานข้ามชาติ เพิ่มสิทธิประโยชน์มากมากขึ้น

9. มีมาตรการลดและป้องกันช่องว่างความเหลื่อมล้ำในสังคมไทย สร้างความมั่นคงเพิ่มอำนาจให้ประชาชน และพัฒนาคุณภาพชีวิตของประชาชน โดยจะต้องนำมาตรการเก็บภาษีรายได้ในอัตราก้าวหน้าและภาษีความมั่งคั่งจากคนที่ร่ำรวยที่สุด 1% ในสังคมไทยมาบังคับใช้

10. การแพร่ระบาดรอบสองถือเป็นความบกพร่องของเจ้าหน้าที่รัฐ ดังนั้น รัฐบาลของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา ต้องแสดงความรับผิดชอบในฐานะที่เป็นตัวการสร้างความเสียหายให้กับประเทศมาเป็นเวลามากกว่า 6 ปี รวมถึงเป็นผู้ไร้ความสามารถอย่างสิ้นเชิงในการบริหารประเทศในสถานการณ์วิกฤติการแพร่ระบาดของโควิด-19

ท่ามกลางสภาวะวิกฤติในปัจจุบัน รัฐจำเป็นต้องตระหนักว่าวันนี้ถึงเวลาแล้วที่จะต้องกระจายความมั่นคั่งในสังคมจากคนร่ำรวยที่สุด 1% ในประเทศ ไปให้กับผู้คน 99% ที่ทำงานหนักเพื่อสร้างประเทศและความมั่งคั่งให้คน 1% มาตลอด เพื่อปากท้องของทุกคนในสังคม และเพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลานของพวกเรานับจากนี้

แด่สวัสดิภาพของประชาชน 99%

——————————————————————

  รายชื่อแนบท้าย

  1. เครือข่ายแรงงานเพื่อสิทธิประชาชน
  2. กลุ่มผู้ใช้แรงงานสระบุรีและใกล้เคียง
  3. กลุ่มสหภาพแรงงานย่านรังสิต และใกล้เคียง (กสรก.)
  4. กลุ่มสหภาพแรงงานปู่เจ้าสมิงพรายและใกล้เคียง
  5. กลุ่มศาลายาเนี่ยน – สหภาพนักศึกษาและคนทำงานแห่งศาลายา
  6. กลุ่มแรงงานเพื่อสังคม
  7. เครือข่ายแรงงานอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้างเครื่องเรือนและคนทำไม้แห่งประเทศไทย (BWICT)
  8. เครือข่ายรัฐสวัสดิการเพื่อความเท่าเทียมและเป็นธรรม (We Fair)
  9. เครือข่ายบรรณาธิการและนักเขียน
  10. เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ
  11. เครือข่ายสลัม 4 ภาค 
  12. ชมรมคนงานสูงวัย
  13. สหภาพแรงงานอุตสาหกรรมวัสดุก่อสร้าง
  14. สหภาพแรงงานสร้างสรรค์และวัฒนธรรม (UCC)
  15. สหภาพแรงงานผู้ผลิตยางรถยนต์แห่งประเทศไทย
  16. สถาบันแรงงานและเศรษฐกิจที่เป็นธรรม (JELI)
  17. สหพันธ์แรงงานอุตสาหกรรมสิ่งทอ การตัดเย็บเสื้อผ้าและผลิตภัณฑ์หนัง แห่งประเทศไทย 
  18. สมาพันธ์ศูนย์ประสานงานแรงงานนอกระบบแห่งประเทศไทย
  19. มูลนิธิเพื่อสุขภาพและการเรียนรู้ของแรงงานกลุ่มชาติพันธุ์
  20. มูลนิธิหญิงชายก้าวไกล
  21. มูลนิธิละครไทย
  22. มูลนิธิเพื่อนหญิง
  23. มูลนิธิส่งเสริมความเสมอภาคทางสังคม
  24. Empower Foundation

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ