11 พฤศจิกายน 2557 – เครือข่ายทวายเรียกร้องรัฐบาลพม่าและไทยแสดงความรับผิดชอบและจัดการปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ก่อนเดินหน้าให้สัมปทานโครงการครั้งใหม่
การประชุมสุดยอดอาเซียน ครั้งที่ 25 ที่กำลังจะเกิดขึ้นนี้ สมาคมพัฒนาทวาย (Dawei Development Association – DDA) และชุมชนที่ได้รับผลกระทบ ได้เรียกร้องให้รัฐบาลพม่าและไทยแสดงความรับผิดชอบและจัดการปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นกับโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย เพื่อเป็นหลักประกันถึงความโปร่งใส โดยต้องเปิดเผยข้อมูลที่เกี่ยวกับโครงการ และการเกี่ยวข้องของบริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด (มหาชน) ที่จะเกิดขึ้นในอนาคต และต้องแสดงความรับผิดชอบต่อผลกระทบที่ได้เกิดขึ้นแล้วจากการดำเนินโครงการที่ผ่านมา
ทั้งนี้ผู้นำอาเซียนและผู้นำระดับโลกจะพบปะกัน ณ กรุงเนปิดอว์ สาธารณรัฐแห่งสหภาพเมียนมาร์ ในระหว่างวันที่ 12-13 พฤศจิกายน 2557 ซึ่งเป็นการประชุมสุดยอดครั้งที่ 2 ของปี และเป็นโอกาสที่ผู้นำของพม่าและไทยจะได้ร่วมหารือเพื่อจัดการประเด็นปัญหาเหล่านี้ด้วยกัน
โครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ซึ่งในขณะนี้กำลังอยู่ระหว่างการตรวจสอบของคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทย เป็นโครงการที่ถูกริเริ่มมาตั้งแต่ปี 2551 ภายใต้บันทึกข้อตกลงทวิภาคีระหว่างรัฐบาลไทยกับรัฐบาลพม่า
ในระหว่างการประชุมสุดยอดอาเซียนที่จะถึงนี้ รัฐบาลพม่าถูกคาดหวังว่าจะประกาศผู้ร่วมทุนในโครงการรายใหม่ให้กับบริษัทไทยสองบริษัท คือ บริษัท อิตาเลียนไทยฯ ซึ่งร่วมมือกับ บริษัท สวนอุตสาหกรรมโรจนะ จำกัด (มหาชน) เพื่อพัฒนาโครงการในระยะเริ่มต้น อันรวมถึงการก่อสร้างนิคมอุตสาหกรรม และโครงสร้างพื้นฐาน เช่น ท่าเรือขนาดเล็ก โรงไฟฟ้า ถนนสองเลน อ่างเก็บน้ำ และระบบโทรคมนาคม ในปี 2556 รัฐบาลพม่าและรัฐบาลไทยเข้ามาถือครองโครงการและสิทธิในการให้สัมปทาน ซึ่งได้จัดตั้งเป็นบริษัทใหม่ในรูปแบบพิเศษคือ บริษัท ทวาย เอสอีแซด ดีเวล๊อปเมนต์ จำกัด โดยรัฐบาลพม่าและไทยถือหุ้นกันคนละครึ่ง
สมาคมพัฒนาทวาย เปิดเผยว่า ในช่วงเวลาที่บริษัท อิตาเลียนไทยฯ พัฒนาโครงการ ได้ก่อปัญหาด้านสิ่งแวดล้อมและสังคมมากมาย เช่น การยึดที่ดิน การโยกย้ายชาวบ้านและการชดเชยที่ไม่เพียงพอและไม่เป็นธรรม การไม่ชดเชยให้กับความสูญเสียที่เกิดขึ้นกับที่ดินทำกินและป่าไม้ รวมไปถึงผลกระทบต่าง ๆ นานาที่ส่งผลต่อความกินดีอยู่ดีทั้งในด้านสังคมและเศรษฐกิจของชุมชน และไม่มีผู้เกี่ยวข้องในการดำเนินโครงการรายใดเลยที่เข้ามารับผิดชอบต่อปัญหาต่าง ๆ ที่เกิดขึ้นนี้ และในขณะนี้ กลุ่มท้องถิ่นในทวายกำลังวิตกกังวลกับกระแสข่าวที่รายงานว่า บริษัท อิตาเลียนไทยฯ จะได้รับสัมปทานใหม่อีกครั้งเป็นระยะเวลา 75 ปี โดยที่ไม่มีการกล่าวถึงปัญหาต่าง ๆ ที่ได้เกิดขึ้นแล้วในพื้นที่
เมื่อเดือนที่แล้ว ทางสมาคมพัฒนาทวายและชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวาย ได้เข้าชี้แจงข้อเท็จจริงกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยเกี่ยวกับผลกระทบด้านสิทธิมนุษยชนและด้านสิ่งแวดล้อม ซึ่งได้นำเสนอรายงาน “เสียงจากชุมชน: ข้อกังวลเกี่ยวกับเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและโครงการที่เกี่ยวข้อง” ซึ่งได้แสดงให้เห็นถึงปัญหาต่าง ๆ ในด้านสิทธิมนุษยชนและสิ่งแวดล้อมที่เกิดขึ้นจากโครงการ รายงานฉบับนี้ระบุให้เห็นว่า หมู่บ้านประมาณ 20 ถึง 36 แห่ง (ประมาณ 4,384 ถึง 7,807 ครัวเรือน หรือ 22,000 ถึง 43,000 คน) จะได้รับผลกระทบโดยตรงจากการก่อสร้างเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและโครงการที่เกี่ยวข้อง ซึ่งรวมถึงนิคมอุตสาหกรรม ท่าเรือ ถนนเชื่อมต่อ อ่างเก็บน้ำ และพื้นที่รองรับชาวบ้านที่ต้องอพยพโยกย้าย
ผู้แทนจากสำนักงานคณะกรรมการพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ (สศช.) อ้างว่า สัมปทานของโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายยังไม่ได้รับการอนุมัติ ดังนั้นรัฐบาลไทยจึงไม่มีความรับผิดชอบใด ๆ ต่อผลกระทบด้านลบที่ได้เกิดขึ้นแล้ว เจ้าหน้าที่รัฐของไทยหลายรายได้กล่าวกับคณะกรรมการสิทธิมนุษยชนของไทยว่า รัฐบาลพม่าและบริษัท อิตาเลียนไทยฯ มิใช่รัฐบาลไทย ควรต้องรับผิดชอบต่อผลของการกระทำที่เกิดขึ้นจากโครงการที่ส่งผลกระทบต่อชาวบ้าน
อย่างไรก็ตาม สมาคมพัฒนาทวายเชื่อว่า เนื่องจากรัฐบาลพม่าและไทยต่างร่วมทุนกันในบริษัทที่ตั้งขึ้นใหม่ และตามที่ได้ระบุไว้ใน ‘กรอบการตกลงใหม่’ รัฐบาลทั้งสองประเทศจึงมีความรับผิดชอบโดยตรงในโครงการเขตเศรษฐกิจพิเศษทวายและผลกระทบด้านลบใด ๆ ที่อาจเกิดขึ้นจากการพัฒนาโครงการ
“เราไม่ได้ต่อต้านโครงการ แต่เรากำลังเรียกร้องความรับผิดชอบและภาระหน้าที่ในการจัดการกับความเสียหายที่ได้เกิดขึ้นจากโครงการในระยะ 3 ปีที่ผ่านมา บริษัท อิตาเลียนไทยฯ ได้เคยตอบว่า นี่ไม่ใช่ความรับผิดชอบของพวกเขา แต่บริษัท อิตาเลียนไทยฯ กลับประกาศว่า ขณะนี้บริษัทชนะการประมูลรอบใหม่เพื่อพัฒนาโครงการในระยะ เริ่มต้น สิ่งนี้เกิดขึ้นได้อย่างไร?” ตัน ซิน ผู้ประสานงานสมาคมพัฒนาทวาย กล่าว