เปิดงาน ‘สมัชชาสภาองค์กรชุมชน 2563’ ร่วมออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทย

เปิดงาน ‘สมัชชาสภาองค์กรชุมชน 2563’ ร่วมออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทย

สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ / สภาองค์กรชุมชนร่วมกับสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ และภาคีเครือข่ายจัดงาน “สมัชชาสภาองค์กรชุมชน 2563 ร่วมออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทย  เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนท้องถิ่น  โดยมีการจัดเวทีวิชาการเพื่อนำเสนอประเด็นปัญหาและแนวทางการแก้ไขในประเด็นต่างๆ  เช่น การจัดการทรัพยากรธรรมชาติ  การส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์  การกระจายอำนาจสู่ท้องถิ่น ฯลฯ  รวมทั้งจัดทำข้อเสนอเชิงนโยบายเสนอต่อคณะรัฐมนตรี  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อแก้ไขปัญหาต่อไป

ระหว่างวันที่ 9 -10 กันยายนนี้  มีการจัดงาน “สมัชชาสภาองค์กรชุมชน  ร่วมออกแบบและขับเคลื่อนประเทศไทย  เพื่อเสริมสร้างความเข้มแข็งชุมชนท้องถิ่น”  และ การประชุมในระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล  ประจำปี  2562  ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ  เขตบางกะปิ  กรุงเทพฯ  โดยมีผู้แทนสภาองค์กรชุมชนตำบลทั่วประเทศ  รวมทั้งภาคีเครือข่าย  และภาคประชาสังคม  เข้าร่วมงานประมาณ 450 คน  ภายในงานมีการปาฐกถาพิเศษ  การจัดเวทีวิชาการเพื่อนำเสนอประเด็นปัญหาและแนวทางการแก้ไขในประเด็นต่างๆ

การก้าวข้ามกับดักความยากจน 

ดร.เดชรัต  สุขกำเนิด  หัวหน้าภาควิชาเศรษฐศาสตร์เกษตรและทรัพยากร คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์  ปาฐกถาพิเศษ  เรื่อง “สถานการณ์สังคมไทยกับความท้าทายสภาองค์กรชุมชนต่อการขับเคลื่อนหลังสถานการณ์ COVID-19”  มีใจความโดยสรุปตอนหนึ่งว่า  สถานการณ์สำคัญด้านภาวะเศรษฐกิจของประเทศไทยก่อนเกิดโควิด-19  ในช่วงต้นปี 2563  คือ  1.กับดักความยากจน  2.กันชนทางการเงินต่ำลง  3.ความเหลื่อมล้ำข้ามรุ่น  ซึ่งเกิดจากปัจจัยต่างๆ  เช่น  รายได้ครัวเรือนลดลงสวนทางกับผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP) 

ดร.เดชรัต  สุขกำเนิด 

ส่วนปัจจัยที่กระทบต่อรายได้ครัวเรือน เกิดจากปัจจัยทางวัฏจักร  คือ  เศรษฐกิจชะลอตัว  ปัญหาน้ำท่วมน้ำแล้ง และปัจจัยเชิงโครงสร้าง คือ การเปลี่ยนแปลงทางเทคโนโลยี (การใช้แรงงานลดน้อยลง)  การเข้าสู่สังคมสูงวัย (ทำให้มีวัยแรงงานลดน้อยลง)

ส่วนผลกระทบทางเศรษฐกิจจากสถานการณ์โควิด-19  พบว่า ผลิตภัณฑ์มวลรวมในประเทศ (GDP)  ในปี 2563 ไตรมาสที่ 2 ติดลบ 12.2 % โดยมีเครื่องชี้ทางเศรษฐกิจ คือ การบริโภคภาคเอกชนปรับตัวลงตามการลดลงของฐานรายได้จากการท่องเที่ยวและการส่งออก รวมทั้งการปรับเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค และมาตรการควบคุมและป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 (การปิดห้างร้าน สถานบริการ แหล่งชุมชน ฯลฯ) เช่น ปริมาณการซื้อขายยานยนต์ทุกประเภทลดลงร้อยละ 43.0  การใช้จ่ายเกี่ยวกับเสื้อผ้าและรองเท้าลดลงร้อยละ 21.4  ฯลฯ

ดร.เดชรัต ได้เสนอแนวทางการก้าวข้ามกับดักความยากจน  เช่น  ด้านการผลิต ต้องเน้นรายได้ก่อนปริมาณ  (การผลิตที่เหมาะสม  การแก้ไขปัญหาหนี้สิน (ให้เกษตรกรมีทางเลือกแท้จริง)  ด้านกลไกการตลาด  เศรษฐกิจท้องถิ่น (เน้นตลาดใกล้กันให้มากขึ้น)  กำกับกลไกการตลาด (ลดอำนาจเหนือตลาดลง)  ด้านการบริโภค-การตลาด  สร้างมาตรฐานคุณภาพ (เพิ่มความยินดีที่จะจ่าย)  การสื่อสารการตลาด (สร้างอุปสงค์สินค้าเกษตรไทย)

นอกจากนี้ ดร.เดชรัตยังเสนอตัวอย่างรูปธรรมการก้าวข้ามกับดักความยากจน  เช่น  การปลูกพืชต่างๆ เพื่อทดแทนการปลูกข้าวโพดเลี้ยงสัตว์ที่จังหวัดน่าน  (เพราะทำลายป่า  ใช้สารเคมี  ต้นทุนการผลิตสูง)  การปลูกผักโดยผู้สูงอายุ  เพื่อสร้างอาชีพ  สร้างรายได้  ลดรายจ่าย  ถือเป็นนวัตกรรมทางสังคม  การตลาดผักแบบบอกรับสมาชิก  การสร้างตลาดนัดชุมชน  เช่น  ตลาดใต้เคี่ยม  จังหวัดชุมพร  สร้างอาชีพ  สร้างรายได้  ให้คนในชุมชนเอาสินค้ามาขาย  การพัฒนาสินค้าเกษตร  สินค้าชุมชนให้มีคุณภาพ  มีมาตรฐาน

นอกจากนี้ยังต้องระวังปัจจัยด้านเศรษฐกิจจากภายนอก  เช่น  ตั้งแต่วันที่ 1 มกราคม 2564 เป็นต้นไป  สินค้าทางเกษตรจากออสเตรเลียจำนวน 17 รายการ  เช่น  ผลิตภัณฑ์จากวัว  นม  ฯลฯ  จะไม่มีการจัดเก็บภาษี  และไม่จำกัดปริมาณนำเข้าอีกต่อไป  เกษตรกรไทยจะต้องปรับตัว  เช่น  เลี้ยงวัวเนื้อ  วัวนมให้มีคุณภาพมากขึ้น

“ทางเลือกหรือทางตันกับ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการจัดการทรัพยากรธรมชาติ”

นอกจากนี้ยังมีการจัดประชุมวิชาการ เรื่อง “ทางเลือกหรือทางตันกับ พ.ร.บ.ที่เกี่ยวข้องกับการจัดทรัพยากรธรรมชาติ” เนื่องจากประชาชนในชนบทส่วนใหญ่ของประเทศอยู่อาศัยในที่ดินที่ไม่มีเอกสารสิทธิ์หรือทับซ้อนกับที่ดินป่าอนุรักษ์  ป่าสงวนแห่งชาติ  เขตอุทยานแห่งชาติ  ทำให้ถูกจับกุมดำเนินคดี  โดยเฉพาะนับตั้งแต่มีนโยบายทวงคืนผืนป่าในปี 2557  ทำให้มีชาวบ้านถูกดำเนินคดีจนถึงปัจจุบันประมาณ  50,000 คดีทั่วประเทศ

นายประทีป  มีคติธรรม  นักกฎหมาย  กล่าวว่า  เรื่องที่ดินถือเป็นปัญหาที่สำคัญ  เพราะเป็นปัจจัยการผลิต  เมื่อประชาชนไม่มีที่ดินจึงนำไปสู่ปัญหาความยากจน  โดยมีประเด็นปัญหาที่สำคัญ  เช่น  1.การถือครองที่ดินมีความเหลื่อมล้ำ  คนจนไม่มีที่ดินทำกิน  คนรวยครอบครองที่ดินนับแสนไร่  2.เกิดความขัดแย้งเรื่องที่ดินระหว่างประชาชนกับที่ดินป่าไม้  ที่ดินของรัฐประเภทอื่น  ที่ดินทหาร ฯลฯ  3.ภาคประชาชนพยายามผลักดันเรื่องการเก็บภาษีที่ดินในอัตราก้าวหน้า  เพื่อให้ผู้ที่ครอบครองที่ดินจำนวนมากยอมคายที่ดินออกมา  แต่เมื่อมีกฎหมายออกมากลับแก้ไขปัญหานี้ไม่ได้

นายธนพร  ศรียากูล  ที่ปรึกษาสำนักงานบริหารนโยบายของนายกรัฐมนตรี  กล่าวถึงแนวทางการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ  และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่า พ.ศ.2562  ว่า  ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ  มาตรา 64 กำหนดให้กรมอุทยานแห่งชาติ  สัตว์ป่า  และพันธุ์พืช  สำรวจการถือครองที่ดินของประชาชนที่อยู่อาศัยหรือทำกินในอุทยานแห่งชาติแต่ละแห่งให้แล้วเสร็จภายใน 240 วัน  นับแต่วันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ  หรือภายในวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 

นายธนพร  ศรียากูล

เพื่อจัดทำแนวเขตการทำกินและอยู่อาศัยของประชาชน  และเพื่อให้ได้รายชื่อของประชาชนที่อยู่อาศัยและทำกินในแนวเขต  ก่อนที่จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาเพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีที่ดินที่ได้อยู่อาศัยในอุทยานมาก่อน  ตามมติ ครม. 30 มิถุนายน 2541  หรือตามคำสั่งคณะรักษาความสงบแห่งชาติที่ 66/2557 (17 มิถุนายน 2557)  โดยคณะกรรมการจัดทำโครงการเกี่ยวกับการอนุรักษ์และดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติภายในอุทยานแห่งชาติ   จะต้องนำเสนอคณะรัฐมนตรีเพื่อให้ความเห็นชอบ แล้วตราเป็นพระราชกฤษฎีกาออกมา

“แต่หากประชาชนคนใดตกสำรวจ  หรือมีเหตุธุระจำเป็นไม่ได้รับการสำรวจการถือครองที่ดินภายในวันที่ 21 กรกฎาคม 2563 นี้   ให้รีบไปแจ้งกับหัวหน้าอุทยานฯ ในพื้นที่ที่อาศัยอยู่  ก่อนที่จะมีการออกพระราชกฤษฎีกาภายใน 2 เดือนนี้  ซึ่งตามแผนงานจะเริ่มดำเนินการในพื้นที่นำร่อง 52 แห่งทั่วประเทศภายในวันที่ 31 ตุลาคมนี้”  นายธนพรกล่าว

ทั้งนี้ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ พ.ศ.2562 มาตรา 64  การตราพระราชกฤษฎีกาตามวรรคสอง  จะต้องมีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยเหลือประชาชนที่ไม่มีที่ดินทำกินและอยู่อาศัยในอุทยานมาก่อนตามระยะเวลาที่กำหนด  โดยจะอนุญาตคราวละ 20 ปี  และประชาชนที่ได้รับอนุญาตจะต้องมีหน้าที่ในการอนุรักษ์  ฟื้นฟู  ดูแลรักษาทรัพยากรธรรมชาติ  ระบบนิเวศด้วย  ซึ่งตามแผนงานประชาชนจะได้รับอนุญาตให้อยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่าอนุรักษ์ตาม พ.ร.บ.อุทยานแห่งชาติ  และ พ.ร.บ.สงวนและคุ้มครองสัตว์ป่าภายในวันที่ 31 มกราคม 2564

อย่างไรก็ตาม  นอกจากการประชุมวิชาการดังกล่าวแล้ว  ยังมีเวทีวิชาการ เรื่อง “การผลักดัน พ.ร.บ.ส่งเสริมและอนุรักษ์วิถีชีวิตกลุ่มชาติพันธุ์และการขับเคลื่อนพื้นที่วัฒนธรรมพิเศษ”, “การกระจายอำนาจท้องถิ่นสู่การจัดการตนเอง”, “ชุมชนเข้มแข็งด้วยเศรษฐกิจฐานราก”  และ “เหลียวหลังแลหน้า 12 ปีสภาองค์กรชุมชนกับอนาคตประเทศไทย”   

ทั้งนี้ข้อเสนอจากเวทีวิชาการต่างๆ จะมีการรวบรวมและจัดทำเป็นข้อเสนอ   เพื่อนำเสนอในที่ประชุมระดับชาติของสภาองค์กรชุมชนตำบล ประจำปี 2563 ที่จะมีการประชุมในวันที่ 10 กันยายน ที่สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ  โดยนายจุติ  ไกรฤกษ์  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จะเดินทางมาร่วมงาน  และรับมอบข้อเสนอเชิงนโยบายจากที่ประชุม  เพื่อนำเสนอให้คณะรัฐมนตรีพิจารณาสั่งการตาม พ.ร.บ.สภาองค์กรชุมชน พ.ศ.2551 ต่อไป

การประชุมในห้องย่อย

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ