“ครูที่ยอดเยี่ยมที่สุดคือ ครูที่สามารถสร้างนักเรียน
ให้ยิ่งใหญ่กว่าตนเอง “
มหาตมะ คานธี
ครูบีบีเป็นผู้ลี้ภัยจากภัยสงครามความขัดแยังระหว่างกองกำลังสหภาพรัฐกะเหรี่ยงและกองทัพทหารเมียนมาซึ่งสู้รบกันในปี 2003 ทำให้ครูบีบีกลายเป็นผู้อพยพจากสงครามและเข้ามาหลีกภัยสงครามในประเทศไทยและอาศัยอยู่ในศูนย์ผู้ลี้ภัยสงครามในประเทศไทยในปี 2006 กระทั่งได้รับความช่วยเหลือจากกลุ่มมูลนิธิคนอาสาให้เข้ามาศึกษาต่อในระดับ ป.ว.ส.ในประเทศไทยกว่าครูบีบีจะมีวันนี้เขาต้องต่อสู้อะไรมากมายกับอุปสรรค์ที่เขาต้องพบเจอ วันนี้ครูคนนี้จะมาถ่ายทอดเรื่องราวโดยผ่านทางบทความนี้ครับ
ผมชื่อ Saw Bebe ครับ คนทั่วไปเขาเรียกผมว่า ครูบีบีผมเติบโตในจังหวัดหมื่นตรอ รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ณ ช่วงเวลาที่ยังไม่มีการสู้รบระหว่างกองกำลังสหภาพรัฐกะเหรี่ยง และกองทัพทหารเมียนมา ผมและครอบครัวมีชีวิตที่เรียบง่าย เรามีความสุขกับชีวิตชนบทในพื้นที่ ที่เราอาศัยอยู่แต่แล้ววันหนึ่งเราก็ต้องกลายเป็นผู้ลี้ภัยสงครามและหลายชีวิตต้องสูญเสียเพราะไฟจากสงคราม เมื่อผมมองย้อนกลับไปในอดีตบางครั้งสิ่งที่เกิดขึ้นล้วนแล้วก่อให้เกิดความเจ็บปวดกับตัวผม แต่ถึงอย่างไรเสียผมก็ต้องก้าวต่อไปครับ
ในช่วงเวลาที่ครูบีบีนั้นศึกษาอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยสงครามในประเทศไทย ครูบีบีกล่าวว่า “ช่วงที่เรียนอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยนั้นผมป็นเด็กที่เกเรไม่ค่อยตั้งใจเรียนเท่าไรเวลาไปโรงเรียนก็จะนั่งหลับ เวลาทำการบ้านก็จะลอกเพื่อนซึ่งตอนนั้นผมคิดว่าการศึกษาเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็นสำหรับคนที่ลี้ภัยสงครามที่เข้ามาอยู่ในค่าย เพราะว่าเราไม่สามารถออกไปไหนมาไหนเหมือนคนที่มีสัญชาติ เรามีตัวตนเหมือนกับไม่มีตัวตน เรามีความสามารถแต่สภาพแวลล้อมไม่เอื้อให้เรา นี้เป็นความคิด ณ ช่วงเวลานั้น ผมรู้สึกน้อยใจบ้างที่กลายเป็นคนที่ไร้สัญชาติ “
แต่ใครจะไปรู้ว่าชีวิตของผมได้เปลี่ยนไป เมื่อครั้งหนึ่งมีคนหยิบยื่นโอกาสให้แก่ผม เมื่อผมได้มีโอกาสพบ
กับอาสาสมัครกลุ่มหนึ่ง โดยพวกเขาเหล่านั้นเข้ามาทำงานจิตอาสาที่ค่ายผู้ลี้ภัย ในสถานที่ที่ผมอาศัยอยู่ต่อจากนั้น พวกเขาก็มอบโอกาสให้ผมได้มาเรียนในเมือง ซึ่งผมไม่เคยอาศัยในเมืองเลย สิ่งที่ผมพบเจอนั้นล้วนเป็นสิ่งที่ใหม่สำหรับผมนับจากวันนั้นผมได้มีโอกาสเรียนหนังสืออีกครั้ง ได้เรียนภาษาไทย ได้มีโอกาสพบเจอผู้คนที่หลากหลายชาติพันธุ์ ความคิดผมเริ่มเปลี่ยนและเติบโตขึ้นในแบบของผม หลังจากที่ผมเรียนจบมัธยมศึกษาปีที่ 6 ในประเทศไทย ณ ช่วงเวลานั้นผมได้มีโอกาสเป็นครูสอนอยู่ที่ ชุมชนการเรียนรู้มอวาคี อ.แม่วาง จ.เชียงใหม่ ตลอดเวลาที่ผมสอนอยู่ที่นั่น ผมได้เข้าใจว่าการศึกษาสำหรับเด็ก ๆ นั้นสำคัญเพียงใด ผมได้มองเห็นภาพความทรงจำอดีตของผมในช่วงเวลาที่ผมเรียนอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยผ่านทางการสอนของผม ส่วนตัวผมแล้วจากเด็กที่ไม่ค่อยตั้งใจเรียน ไม่นึกว่าวันนี้ผมจะกลับมานั่งสอนเด็กๆ (หัวเราะ)
ผมสอนอยู่ที่ชุมชนการเรียนรู้มอวาคีหลายปี ตอนจากนั้นคนกลุ่มอาสาสมัครที่ได้ช่วยเหลือผมนั้น ได้ขอให้ผมกลับไปสอนยังค่ายผู้พลัดถิ่นอิตุท่า รัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ผมสอนอยู่ที่นั้นเป็นเวลาหนึ่งปี ได้มีโอกาสเจอพี่น้องที่เคยหนีสงคราม และเด็ก ๆ ที่ขาดแคลนโอกาสทางการศึกษา ทำให้ผมได้เข้าใจชีวิตของคนเหล่านั้นมากขึ้นโดยผ่านทางประสบการณ์ของผมก็ดี หรือจากประสบการณ์จากพี่น้องผู้เคยหนีสงครามแบบผมมา หลังจากที่ผมได้สอนครบเป็นเวลาหนึ่งปีผมได้กลับมาเรียนต่อที่ประเทศไทย ในระดับปวส. ที่วิทยาลัยจอมทอง จ.เชียงใหม่ จากประสบการณ์กว่า 20 ปี ทั้งการอยู่ในค่ายผู้ลี้ภัยและการเป็นครูสอนที่ประเทศไทยก็ดี นับว่าผมโชดดีมากที่ได้รับโอกาสนี้จากคนที่ช่วยเหลือผม
ภาพกิจกรรมกับเด็กนักเรียน
แน่นอนว่าการเดินทาง การสอน หรือแม้แต่การเรียนของผมก็ดี ผมตั้งใจทำเต็มที่เพื่อว่าสักวันหนึ่งผมจะได้ให้โอกาสแก่เด็ก ๆ ที่ขาดโอกาสเหมือนผมเช่นกัน
ผมมีความฝันที่จะช่วยเหลือเด็ก ๆ ที่ยากจนและขาดโอกาสทางการศึกษาเหมือนผม ผมคิดว่าการศึกษาจะสามารถพัฒนาชีวิตคนได้ในระดับหนึ่งและเป็นโอกาสที่จะทำให้พวกเขานั้นมีอนาคตที่ดีขึ้น ถ้าหากผมเรียนจบจากประเทศไทยแล้วผมอยากกลับไปช่วยเหลือพี่น้องของผม ในรัฐกะเหรี่ยง ประเทศเมียนมา ที่ทุกวันนี้พวกเขายังต้องหนีสงครามอยู่ แม้จะใช้เวลานานแค่ไหนผมคิดว่า ความฝันที่ผมฝันนั้นย่อมเป็นไปได้เพียงแค่ผมมีความมุ่งมั่นที่จะตั้งใจทำ