เรื่องเล่าของชาวแพสะแกกรัง (1)

เรื่องเล่าของชาวแพสะแกกรัง (1)

แม่น้ำสะแกกรังและเรือนแพในช่วงที่น้ำยังไม่แห้งแล้ง

ชุมชนชาวแพริมแม่น้ำสะแกกรัง  ตั้งอยู่ในเขตเทศบาลเมือง  จังหวัดอุทัยธานี  ถือเป็นชุมชนชาวแพแห่งสุดท้ายของประเทศไทย  เพราะชุมชนชาวแพแห่งอื่นๆ  เช่น  ชาวแพริมแม่น้ำน่าน  อ.เมือง  จ.พิษณุโลก  ซึ่งเดิมมีอยู่กว่า 100 หลัง  ถูกทางราชการโยกย้ายออกจากริมน้ำน่านไปตั้งแต่ปี 2541  เป็นต้นมา   ปัจจุบันเหลือเพียงไม่กี่หลังที่ยังต่อสู้เพื่อรักษาสิทธิและดำรงอัตลักษณ์ของตนเอาไว้                                                                                                                                   

หากใครอยากจะไปดูวิถีชีวิตชาวแพแม่น้ำน่านก็ไปดูได้ที่พิพิธภัณฑ์ชาวแพ  ตั้งอยู่ในสวนชมน่านเฉลิมพระเกียรติ  ซึ่งเทศบาลนครพิษณุโลกจัดสร้างขึ้นในปี 2542  โดยการสร้างบ่อน้ำแล้วเอาเรือนแพจำลองมาจัดแสดงไว้  เสมือนว่าเรือนแพลอยอยู่ในน้ำ

แต่ที่ชุมชนชาวแพริมแม่น้ำสะแกกรังซึ่งมีอยู่กว่า 100 หลัง  พวกเขายังสามารถดำรงชีวิตต่อเนื่องมาจากบรรพบุรุษ  ได้นานกว่า 100 ปี  แม้ว่าในวันนี้สายน้ำและสภาพสังคมจะเปลี่ยนแปลงไป  จนดูเหมือนว่าชุมชนชาวแพเป็นสิ่งตกค้างทางประวัติศาสตร์  และรอผุพังไปตามกาลเวลา

กระนั้นก็ตาม  ชุมชนชาวแพริมแม่น้ำสะแกกรังยังมีลมหายใจ  พวกเขาเป็นเสมือนพิพิธภัณฑ์ที่มีชีวิต  แม้ว่าปัจจุบันเรือนแพส่วนใหญ่จะทรุดโทรมเพราะอยู่กับสายน้ำมานานปี  ทั้งยังเผชิญกับปัญหานานา  แต่พวกเขาก็พร้อมที่จะร่วมมือกันฟื้นฟูมรดกที่ตกทอดมาปู่ย่าตายายให้ดำรงอยู่ต่อไป

 พิพิธภัณฑ์ชาวแพที่พิษณุโลก  มีแพจำลอง  แต่ไม่มีชีวิต

สายน้ำและความทรงจำ

แม่น้ำสะแกกรังมีที่มาจากชื่อของหมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำและมีต้นสะแกขึ้นอยู่หนาแน่น  มีต้นกำเนิดมาจากเทือกเขาในจังหวัดกำแพงเพชร  ไหลผ่านนครสวรรค์ลงมายังอุทัยธานี  และบรรจบกับแม่น้ำเจ้าพระยาที่ตำบลท่าซุง  อ.เมือง  จ.อุทัยธานี  มีความยาวประมาณ 225 กิโลเมตร  หล่อเลี้ยงผู้คนมาเนิ่นนานปี  โดยเฉพาะชาวเรือนแพที่มีวิถีชีวิตผูกพันอยู่กับสายน้ำนี้มานานเพราะหลายครอบครัวอยู่อาศัยมาตั้งแต่รุ่นปู่ย่าตายาย  หากจะนับย้อนไปก็คงจะไม่ต่ำกว่า  120 ปี   โดยมีหลักฐานเป็นภาพถ่ายเรือนแพในแม่น้ำสะแกกรังในสมัยรัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสต้นในปี 2449

ภาพเรือนแพในแม่น้ำสะแกกรังถ่ายในปี 2449 คราวสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง  รัชกาลที่ 5 เสด็จประพาสเมืองอุทัยธานี ด้านซ้ายมือเมื่อขึ้นจากตลิ่งจะเป็นตลาด  ขวามือด้านบนเป็นวัดโบสถ์ (ภาพจากสมุดภาพเมืองอุทัยธานี  จัดพิมพ์โดยจังหวัดอุทัยธานี)

หากจะว่าไปแล้ว  ชุมชนชาวแพริมแม่น้ำสะแกกรังน่าจะมีอายุเก่ากว่านั้น  เพราะวัดอุโปสถาราม  หรือ ‘วัดโบสถ์’ ซึ่งตั้งอยู่ริมแม่น้ำสะแกกรัง (ตรงข้ามกับตลาดเทศบาลเมืองอุทัยธานี) ก่อสร้างขึ้นในปี 2324 หรือปลายสมัยกรุงธนบุรี  ซึ่งแน่นอนว่าจะต้องมีชุมชนตั้งบ้านเรือนอยู่ก่อนที่จะมีการสร้างวัด  โดยเฉพาะชุมชนที่ตั้งอยู่ริมฝั่งตรงข้ามกับวัดโบสถ์  ซึ่งเป็นย่านค้าขายบนบก  ขณะที่ด้านล่างริมแม่น้ำสะแกกรังจะมีเรือบรรทุกสินค้า  และเรือนแพเป็นที่พักอาศัยเรียงรายไปตลอดลำน้ำ

            ลุงบุญสม  พูลสวัสดิ์  อายุ  76 ปี  เล่าว่า  ตัวแกเองไม่ใช่เป็นคนสะแกกรังแต่ดั้งเดิม  พ่อแม่เป็นคนอยุธยา  มีอาชีพค้าไม้ไผ่  โดยใช้เรือกระแชงบรรทุกไม้ไผ่ครั้งละประมาณ 200 ลำ  ล่องจากอยุธยาขึ้นมาตามลำน้ำเจ้าพระยาแล้วเข้าสู่แม่น้ำสะแกกรัง  ใช้เวลาขึ้น-ล่องครั้งละประมาณครึ่งเดือน  เพราะเรือไม่มีเครื่องยนต์  ต้องใช้ถ่อหรือแจว  ส่วนไม้ไผ่ที่บรรทุกมาจะนำมาส่งให้ผู้รับซื้อเพื่อนำไปทำโครงงอบ  (หมวกทำด้วยใบลาน  ชาวไร่  ชาวนานิยมใส่ทำงานเพื่อกันแดด)

                “ผมล่องเรือมาค้าไม้ไผ่กับพ่อแม่ตั้งแต่เรียนอยู่ชั้นปอสี่  ประมาณ  60 ปีก่อน  ต้องกินนอนอยู่ในเรือ  ล่องจากอยุธยาเข้าอ่างทอง  สิงห์บุรี  ชัยนาท  เข้าปากคลองมโนรมย์  จนถึงแม่น้ำสะแกกรัง  สมัยนั้นเรือนแพและเรือสินค้าในแม่น้ำสะแกกรังยังมีเยอะ  การค้าขายคึกคัก  พอโตเป็นหนุ่ม  ประมาณปี 2513  ผมมีครอบครัวอยู่ที่นั่น  จึงปลูกแพอยู่  ตอนนั้นใช้เงินปลูกแพประมาณ 6,000 กว่าบาท  พอมีครอบครัวแล้วก็ไม่ได้ล่องแพอีก  เปลี่ยนอาชีพมาทำก้านธูปขาย  ใช้ไม้ไผ่เหลาเป็นเส้น  ส่งขายโรงงาน” ลุงบุญสมเล่าประวัติชีวิตแบบย่นย่อ

                แกบอกด้วยว่า  เมื่อก่อนไม้ไผ่ที่ใช้ทำลูกบวบพยุงแพขนาดยาวประมาณ  8 วา (16 เมตร)  ลำขนาดเท่าขวดน้ำปลา ราคาลำละไม่กี่บาท  แต่ตอนนี้ราคาลำละ 60 บาท  ประมาณ  3-5 ปีจะต้องเปลี่ยนลูกบวบที่ชำรุดออก  ส่วนไม้ไผ่ที่นิยมใช้คือไผ่สีสุก  เพราะมีเนื้อแน่น  ลำข้อใหญ่  และน้ำไม่ทะลุข้อ  ทำให้ใช้งานได้นาน

ลุงทองหยด  พรานปลาอาวุโส

ลุงทองหยด  จุลมุสิทธิ์  วัย 78 ปี  อาชีพหาปลาและเลี้ยงปลาในกระชัง  บอกว่า  แกยึดอาชีพหาปลาในแม่น้ำสะแกกรังตั้งแต่รุ่นหนุ่ม  ราวๆ 50 ปีมาแล้ว  เมื่อก่อนน้ำในแม่น้ำยังใสแจ๋ว  ใช้ทั้งกินและอาบ  ถ้าใช้กินก็จะตักน้ำใส่โอ่งเอาไว้  แล้วเอาสารส้มลงไปแกว่ง  ทิ้งให้ตกตะกอนก็เป็นอันใช้ได้  ใช้น้ำในโอ่งมาทำกับข้าว  ถ้าจะกินก็จะเอาไปต้มก่อน  แต่ตอนนี้ใช้น้ำในแม่น้ำอาบและซักผ้าเท่านั้น  น้ำกินต้องซื้อเอา 

“เมื่อก่อนลุงยกยอวันนึงจะได้ปลาประมาณ 300-400 กิโลฯ  ส่วนใหญ่เป็นปลาสร้อย  ปลาแดง  เอามาเคล้าเกลือแล้วตากแดด  บางทีก็ได้ปลาใหญ่  พวกปลาแรด  ปลาสวาย  ตัวนึงหนักหลายกิโลฯ บางทีได้ตัวละหลายสิบกิโลฯ  แต่ตอนนี้หาปลายาก  ได้ปลาวันละ  30-40 โลฯ เท่านั้น  เพราะว่าน้ำน้อยลง  เริ่มจะเน่าเสีย  มีสีดำ  อีกอย่างคนหาปลาก็เยอะขึ้น  จึงจับปลาได้น้อยลง” พรานปลาอาวุโสบอก  และว่า  ปีหนึ่งคนหาปลาจะหยุดจับปลาในช่วงฤดูวางไข่ 3 เดือน  คือตั้งแต่กลางเดือนมิถุนายนจนถึงกันยายน  เพื่อให้ปลาได้ขยายพันธุ์

ทุกวันนี้ลุงทองหยดมีอาชีพหลักคือเลี้ยงปลาในกระชัง  มีปลาเทโพ  นิล  สวาย  แรด  และสังกะวาด  แต่ส่วนใหญ่เป็นปลาสังกะวาด  (ปลาในตระกูลปลาสวาย  แต่ตัวเล็กกว่า)  ใช้เวลาเลี้ยงประมาณ 8 เดือน  ราคากิโลกรัมละ 70 บาทขึ้นไป  จะมีพ่อค้ามารับซื้อแล้วเอาไปขายทางภาคอีสาน  เพราะชาวบ้านแถบนั้นนิยมกิน  เอาไปทำปลาแดดเดียว  หรือย่างเกลือ  รสชาติอร่อย  กินกับข้าวเหนียวยิ่งเหมาะ 

สะแกกรังแล้ง-แม่น้ำเริ่มป่วยไข้

หากเป็นมนุษย์  แม่น้ำสะแกกรังคงผ่านร้อนผ่านหนาวมายาวนาน  แต่เมื่อสิ่งแวดล้อมเปลี่ยนแปลงไป  อุณหภูมิโลกสูงขึ้น  ฝนฟ้าไม่ตกต้องตามฤดูกาล  โดยเฉพาะในประเทศไทย  น้ำในเขื่อนทางตอนเหนือของประเทศมีปริมาณลดน้อยลง  ส่งผลให้แม่สายน้ำหลักเริ่มแห้งแล้ง  แม่น้ำสายรองเช่นสะแกกรัง  ไม่มีน้ำจากเจ้าพระยาเข้าไปเติมเต็ม

วันนี้แม่น้ำสะแกกรังกำลังป่วยไข้  อันเนื่องมาจากวิกฤตน้ำแล้ง  ท้องน้ำหดแคบลง  เรือนแพหลายสิบหลังเกยตื้นขึ้นมาอยู่ชายตลิ่ง  กอผักตบชวาไหลมารวมกันขวางกั้นการเดินเรือ  แม่น้ำบางช่วงเริ่มเน่าเสีย  เพราะปริมาณน้ำลดน้อยลงทำให้น้ำไม่ไหลเวียน  เกิดดินตะกอนในท้องน้ำ  ประกอบกับน้ำเสียจากชุมชนในเขตเทศบาลเมืองอุทัยธานีไหลทิ้งลงสู่แม่น้ำจึงยิ่งซ้ำเติมแม่น้ำสะแกกรังให้วิกฤต   ฝูงปลาที่เคยชุกชุมและเป็นแหล่งอาหาร  สร้างรายได้ให้ชาวเรือนแพหลบลี้ไปอยู่วังน้ำอื่น 

เรือนแพบริเวณใกล้ตลาดเทศบาลหนาแน่นไปด้วยผักตบชวา

ศักดิ์ชัย  เต๊ะปานัน  ชาวแพวัย 48 ปี  อาชีพขับเรือจ้างและเลี้ยงปลา  บอกว่า  แม่น้ำสะแกกรังเริ่มแห้งแล้งตั้งแต่ช่วงปลายปี 2562  พอเข้าหน้าแล้งปีนี้ยิ่งส่งผลกระทบหนัก  เพราะผักตบชวาแพร่พันธุ์ไปทั่วคุ้งน้ำ  โดยเฉพาะในช่วงที่ท้องน้ำหดแคบลง  ผักตบชวาจะไหลไปรวมกันหนาแน่น  เรือเล็กไม่สามารถผ่านได้  เห็นได้ชัดเจนบริเวณเหนือวัดโบสถ์ขึ้นไป  นอกจากนี้กอผักตบชวาที่มีอยู่เต็มท้องน้ำ  ทำให้แสงแดดส่องลงไปไม่ถึงใต้น้ำ  อ๊อกซิเจนในน้ำจึงมีน้อย  จึงมีผลทำให้แม่น้ำบางช่วงเริ่มเน่าเสีย  ปลาจึงหนีไปอยู่วังน้ำลึก  ส่วนคนที่เลี้ยงปลาในกระชังก็ได้รับผลกระทบจากปัญหาน้ำเน่าเสีย  เพราะทำให้ปลาตาย

            สมคิด  คงห้วยรอบ  อายุ 52 ปี  อาชีพค้าขายในตลาดเทศบาลเมืองอุทัย  บอกว่า  เรือนแพของเธอผูกอยู่ตรงท่าน้ำวัดโบสถ์  หากเป็นช่วงปกติ  เธอจะต้องใช้เรือเล็กหรือใช้สะพานไม้ไผ่ข้ามไป-มาระหว่างท่าน้ำกับเรือนแพของเธอ  แต่ตอนนี้ไม่จำเป็นแล้ว  เพราะแม่น้ำแห้งจนสันทรายโผล่ขึ้นมา  เรือนแพที่เคยผูกอยู่ที่ท่าน้ำตอนนี้เกยตื้น           

“มันเริ่มแล้งตั้งแต่เมื่อประมาณ 3 ปีที่แล้ว  แต่ปีนี้หนักสุด  เกิดมา 50 กว่าปี  ไม่เคยเห็นแม่น้ำสะแกกรังแล้งขนาดนี้  พอน้ำแล้ง  แม่น้ำก็จะแคบลง  ทำให้ผักตบชวาไหลมาอยู่รวมกัน  คนใช้เรือก็ลำบาก ส่วนเรือนแพที่เกยตื้น  ลูกบวบก็จะแตกหักเสียหาย  ต้องหาเงินมาซ่อมใหม่  แต่ชาวแพส่วนใหญ่มีรายได้น้อย  หาเช้ากินค่ำ  ถ้าไม่หาปลา  ก็จะไปรับจ้าง  หรือค้าขายเล็กน้อยๆ อยู่ในตลาด  จึงอยากให้หน่วยงานต่างๆ เข้ามาช่วยเหลือ”  สมคิดบอก

แพของสมคิดเกยตื้นอยู่หน้าวัดโบสถ์

เสียงสะท้อนจากชาวแพ

เรือนแพในแม่น้ำสะแกกรังปัจจุบันมีทั้งหมดประมาณ  200 หลัง   แพบางหลังเป็นของคนมีเงิน  หรืออดีตข้าราชการที่สร้างไว้เพื่อพักผ่อน  หรือสร้างไว้เพื่อทำเป็นที่พัก-แพอาหารรองรับรับนักท่องเที่ยว  ส่วนที่ป็นแพของชาวบ้านใช้อยู่อาศัยและทำกระชังเลี้ยงปลาตอนนี้เหลืออยู่ประมาณ  130-140  ครอบครัว 

ความเดือดร้อนของชาวแพกลุ่มชาวบ้านได้ถูกร้องเรียนผ่านสื่อมวลชนในท้องถิ่นและส่วนกลางในช่วงเดือนสิงหาคม 2562  เริ่มจากปัญหาผักตบชวาที่หนาแน่นกีดขวางการเดินเรือ ซึ่งขณะนั้นน้ำในแม่น้ำสะแกกรังยังมีปริมาณมาก  แต่พอย่างเข้าสู่ช่วงปลายปี  แม่น้ำเริ่มลดระดับลง  เนื่องจากปัญหาภัยแล้ง  ทำให้เรือนแพบางส่วนเกยตื้น  และเกิดปัญหาน้ำเน่าเสียติดตามมา

ชาวเรือนแพจึงร้องเรียนต่อทางจังหวัดให้การช่วยเหลือ  รวมทั้ง ‘มนัญญา ไทยเศรษฐ์’  รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงเกษตรและสหกรณ์ซึ่งเป็นนักการเมืองในพื้นที่  จนเรื่องมาถึง ‘จุติ  ไกรฤกษ์’  รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ซึ่งมีหน่วยงานในสังกัดดูแลคุณภาพชีวิตและที่อยู่อาศัยของประชาชนที่มีรายได้น้อย  รมว.พม.จึงสั่งการให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเข้ามาบูรณาการการทำงานร่วมกับจังหวัดอุทัยธานีเพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่ช่วงปลายเดือนมกราคม 2563

 สมชาติ  ภาระสุวรรณ  ผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน) หรือ ‘พอช.’  กล่าวว่า  เจ้าหน้าที่จากกระทรวง พม.  ทั้ง พอช.  พมจ.(พัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์จังหวัดอุทัยธานี)  ร่วมกับชุมชนชาวแพ  และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องในจังหวัดได้จัดกระบวนการสำรวจข้อมูลปัญหาของผู้เดือดร้อนตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์เป็นต้นมา  โดยใช้วิธีการต่างๆ  เช่น

การลงพื้นที่สร้างความเข้าใจกับชุมชนชาวแพ  สำรวจข้อมูล  ถ่ายรูป  จับพิกัด GPS  จัดทำแผนที่ทำมือ  ทำผังชุมชน  สำรวจปัญหาและความต้องการ   ถอดข้อมูลการซ่อมแซมเรือนแพผู้เดือดร้อน  ฯลฯ  และจัดตั้งคณะทำงาน  โดยมีผู้แทนชุมชนชาวแพจำนวน 13 คนร่วมเป็นคณะทำงาน  หลังจากนั้นจึงมีการจัดประชุมเพื่อสรุปข้อมูลและร่วมกันวิเคราะห์ปัญหาเพื่อนำไปสู่การวางแผนฟื้นฟูชุมชนชาวแพทั้งระบบ 

“จากการสำรวจข้อมูลเบื้องต้นพบว่า  มีชุมชนชาวแพที่ได้รับผลกระทบและมีความเดือดร้อนจากปัญหาแม่น้ำสะแกกรังแห้งแล้ง  ทั้งหมด  127 ครัวเรือน   โดยชุมชนชาวแพมีข้อเสนอและความต้องการแก้ไขปัญหารวม 8 ด้าน  เช่น  ปัญหาน้ำแล้ง  สิ่งแวดล้อม  ที่อยู่อาศัย  คุณภาพชีวิตชาวเรือนแพ  เรื่องอาชีพ-รายได้  การสร้างความเข้มแข็งของชุมชน  ด้านวัฒนธรรม  และการจัดการท่องเที่ยวชุมชน”  ผอ.พอช.ยกตัวอย่างข้อเสนอของชาวแพ

วิถีชีวิตชาวแพยังใช้เรือพายสัญจรไปมา

(ติดตามตอนต่อไปวันพฤหัสที่ 16 กรกฎาคม)

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ