สาละวินนิวส์ออนไลน์ รายงานว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม ที่ผ่านมา 2 พรรคการเมืองอย่างพรรค The National Democratic Party for Development (NDPD) และพรรค Democracy and Human Rights Party (DHRP) ได้จัดแถลงข่าวในย่างกุ้งออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลพม่ายอมรับชาวมุสลิมในรัฐอาระกันเป็นชาวโรฮิงยา และเป็นชนกลุ่มน้อยกลุ่มหนึ่งของพม่า หากมีการสำรวจประชากรในอนาคต ขณะที่ปัจจุบัน รัฐบาลยังคงไม่ยอมรับชาวโรฮิงยาเป็นพลเมืองของพม่า ขณะที่พม่าเตรียมสำรวจประชากรครั้งใหญ่ระหว่างเดือนมีนาคมถึงเดือนเมษายนในปีนี้
มีรายงานว่า ทั้งสองพรรคการเมืองออกมาเรียกร้องให้รัฐบาลยอมรับและให้สิทธิชาวมุสลิมที่อยู่ในรัฐอาระกัน ภาคตะวันตกของประเทศสามารถเรียกตัวเองว่าเป็น ชาวโรฮิงยา หากในอนาคตมีการสำรวจประชากร ขณะที่การออกมาแถลงข่าวครั้งนี้ สืบเนื่องมาจากสำนักงานตรวจคนเข้าเมืองของพม่าได้มาขอให้ พรรคการเมืองโรฮิงยาช่วยสำรวจประชากรชาวมุสลิมโรฮิงยาในรัฐอาระกัน ในเดือนมีนาคมและเดือนเมษายนที่จะถึงนี้
“เราจัดแถลงข่าวครั้งนี้ เพราะต้องการให้สื่อมวลชนรู้ว่า พวกเรานั้นยินดีที่จะช่วยรัฐบาลในการสำรวจประชากรมุสลิมในรัฐอาระกัน เรามีความหวังดีที่จะสร้างความสงบสุขและสร้างรัฐอาระกันอีกครั้ง” จ่อมิน ประธานพรรค DHPR กล่าว โดยเขายังกล่าวเพิ่มเติมว่า การยอมรับชาวมุสลิมโรฮิงยา ควรเป็นไปตามหลักสิทธิขั้นพื้นฐาน แต่อย่างไรก็ตามยังพบว่า มีการเลือกปฎิบัติและไม่ยอมรับคำเรียกร้องของชาวโรฮิงยา
ทั้งนี้ ตามข้อมูลของรัฐบาลในปี 2553 มีประชากรในรัฐอาระกันจำนวน 3,340,000 คน ขณะที่พบว่า ประชากรราว 29 เปอร์เซ็นเป็นชาวมุสลิม โดยรัฐบาลยังคงยึดตามกฎหมายพลเมืองปี 1982 ซึ่งกฎหมายฉบับนี้กีดกันชาวโรฮิงยาเป็นพลเมือง และให้สถานะชาวโรฮิงยาเป็น ชาวเบงกาลี ที่ลักลอบเข้าเมืองผิดกฎหมายจากบังกลาเทศ
อีกด้านหนึ่ง ชาวอาระกันหรือยะไข่ ชาวพื้นเมืองในรัฐอาระกันต่างแสดงความกังวล หากรัฐบาลให้สถานะพลเมืองแก่ชาวโรฮิงยา เนื่องจากหวั่นวิตกว่าจะสูญเสียอำนาจทางการเมืองและเอกลักษณฺ์ทางชาติพันธุ์ ขณะที่มีความพยายามมาหลายปีที่จะสำรวจประชากรชาวมุสลิมในรัฐอาระกัน อย่างไรก็ตาม ยังไม่ประสบความสำเร็จ เนื่องจากชาวมุสลิมปฏิเสธให้ความร่วมมือเพราะไม่ได้รับการยอมรับจากรัฐบาลพม่าว่าเป็นกลุ่มชาติพันธุ์ชาวโรฮิงยา
ทั้งนี้ ทั้งสองพรรคระบุว่า การให้การยอมรับชาวมุสลิมโรฮิงยาและให้สิทธิเท่าเทียมจะนำมาซึ่งความสงบสุขและการพัฒนาที่ยั่งยืนกลับคืนสู่รัฐอาระกัน “ไม่ควรมีการเลือกปฏิบัติ และรัฐบาลมีหน้าที่ให้สถานะพลเมืองแก่ชาวมุสลิม เราควรมีตัวเลือกที่จะเป็นชาวโรฮิงยา ” พรรคการเมืองโรฮิงยากล่าว
ขณะที่ความขัดแย้งทางเชื้อชาติและศาสนาที่เกิดขึ้นในรัฐอาระกันเมื่อปี 2555 ส่งผลให้มีผู้เสียชีวิตจำนวน 200 คน และชาวบ้านอีก 140,000 คนต้องไร้บ้าน ซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวมุสลิมโรฮิงยา โดยขณะนี้คนไร้บ้านเหล่านี้ต้องอาศัยอยู่ตามค่ายที่สร้างขึ้นชั่วคราวอย่างแออัด โดยหลังจากเหตุการณ์ความรุนแรง ประธานาธิบดีเต็งเส่งได้ออกมาประกาศว่าจะไม่ยอมรับชาวโรฮิงยาในฐานะพลเมือง และได้ร้องขอให้สหประชาชาติยื่นมือเข้ามาช่วยผลักดันชาวโรฮิงยาไปประเทศที่สามที่ยินดีต้อนรับชาวโรฮิงยา ขณะที่เชื่อว่า มีประชากรชาวโรฮิงยาอยู่ในพม่าราว 800,000 คน
author
