มีสาวน้อยในกลุ่ม(เสรีนนทรี) ไลน์มาบอกว่า “วันที่16 ก.ค. ครบรอบ11ปีดาวดิน เขาชวนเขียนบทความเกี่ยวกับขบวนการอีสานใหม่หรือไม่ก็ให้กำลังใจก็ได้ค่ะ” ทีแรกผมโยนให้น้องสาวคนหนึ่งในกลุ่มไปเขียนมาก่อน เพราะเห็นว่ากำลังเริ่มรู้จักกับคนรุ่นใหม่ของกลุ่มดาวดินจะได้สานความสัมพันธ์ไปด้วย แต่น้องสาวคนนั้นก็ไม่ตอบกลับมา ภาระจึงต้องตกมาที่ผม อันที่จริงก็คงไม่น่าเรียกว่าภาระ แต่เป็นความเต็มใจที่อยากเขียนถึงมิตรสหาย
นั่งคิดอยู่นานสองนาน จะเขียนอะไรดี แรกทีเดียวนึกถึงพล๊อตเรื่องความรักก้าวหน้าของนักกิจกรรม “นักกวีหนุ่มจากมอดินแดง กับ นักข่าวสาวลูกพระพิรุณ” แต่มันดูจะไกลตัวไป ไม่ค่อยอินกับเรื่องความรักสักเท่าไร
นั่งพิจารณา(ต่อ)อยู่นานสองนาน จนกระทั้งนึกได้ว่าต้องส่งแล้ว เรื่องขบวนการอีสานใหม่ก็ยังคิดไม่ออก จะอวยพรก็กลัวจะสั้นไป เขียนอะไรลึกซึ้ง คมๆไม่ค่อยจะเป็น กวีก็ไม่ได้
นั่งเปิดรูปกิจกรรมเก่าๆ ที่เคยทำ ครั้งยังเคลื่อนไหวม.นอกระบบ ภาพสมาชิกกลุ่มดาวดิน ค่อยๆ ปรากฏ ความทรงจำแรกเริ่มกับกลุ่มดาวดิน “ม๊อบ ประท้วง คัดค้าน” ไม่มีอะไรเกินนี้สำหรับผม ไม่ว่าดาวดินจะมาเยือนที่กรุงเทพ หรือผมไปที่ขอนแก่น ก็หนีไม่พ้นเรื่องเหล่านี้
ครั้งแรกที่ได้เจอดาวดิน ต้นเดือนมกราปี 55 ณ มหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ กลุ่มมีกิจกรรมจัดเสวนาเรื่อง ม.นอกระบบ เริ่มมีการชักชวนกลุ่มกิจกรรมหลากหลายกลุ่มในมหาวิทยาลัยต่างๆ ทั่วประเทศมาร่วมเคลื่อนไหวด้วยกัน แน่นอนกลุ่มดาวดินก็เข้าร่วม ช่วงนั้นผมยังแทบไม่รู้จักใครในหมู่นักกิจกรรม แม้แต่ตัวผมเองเป็นก็ยังไม่รู้อะไร การได้พบกันในครั้งนั้น ความรู้สึกแรกก็คงไม่พ้น “แม่งหัวรุนแรงจังวะ” “นี่มันนักศึกษาเหรอวะ” รูปลักษณ์ภายนอกและความคิดของพวกเขา ชักชวนให้ต้องคิดแบบนี้
นั่นเป็นการพบกันครั้งแรกของผมกับกลุ่มดาวดิน การพบกันทุกครั้ง ต้องมีการกระทำอะไรบางอย่าง หรือที่นักกิจกรรมชอบพูดกันคือการแอคชั่น (action) ครั้งนั้นเราไปบุกยื่นหนังสือคัดค้านการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ ในงานวันเด็กแห่งชาติให้กับนายกรัฐมนตรียิ่งลักษณ์ ชินวัตร(ในขณะนั้น) และติดป้ายคัดค้าน ม.นอกระบบ ที่สะพานลอยข้างมหาวิทยาลัยเกษตรศาสตร์ แถมท้ายด้วยการไปติดสติ๊กเกอร์สีชมพู พร้อมด้วยข้อความคัดค้านม.นอกระบบ ณ ป้ายกระทรวงศึกษาธิการ ครับนั่นเป็นครั้งแรกที่ผมได้ทำอะไรแบบนี้
และครั้งที่ผมจำได้แม่นและคงไม่มีวันลืม
ต้นเดือนกรกฎาคม ในปีเดียวกัน กลุ่มดาวดินชวนไปประท้วงผู้บริหารมหาวิทยาลัย เรื่องการนำ ม.ออกนอกระบบ ผมและคนอื่นๆ ประมาณ 1 คันรถทัวร์ เดินทางจากกรุงเทพไปขอนแก่น เราถึงบ้านของกลุ่มดาวดิน เช้าตรู่ พูดคุยกำหนดการกันเรียบร้อย เดินเท้าออกจากบ้านดาวดิน เดินออกไปอย่างสันติ ปราศจากอาวุธ มีเพียงเสื่อ เต๊นท์ ป้ายกระดาษ เดินอย่างเงียบๆ ไม่พูดจากับใคร พอถึงหน้า Complex ของมหาวิทยาลัย เราประกาศเหตุผลที่เรามา และ ปูเสื่อ ตั้งเต๊นท์ เช็ตเครื่องเสียง ปิดถนนไปหนึ่งฝั่ง การประท้วงในวันนั้นคนมาน้อยไม่เป็นตามคาด และ ไม่สามารถกดดันผู้บริหารได้ เราจึงต้องเคลื่อนพลย้ายไปหน้ามหาวิทยาลัยด้านถนนมิตรภาพ ใช่ครับ เรากำลังทำการปิดประตูมหาวิทยาลัย การประท้วงเริ่มเข้มข้น ตึงเครียด ผมไม่เคยเจออะไรแบบนี้มาก่อน แม้จะไปม๊อบชาวนามาบ้างปกติเป็นแค่คนสังเกตการณ์แต่ไม่เคยเป็นผู้ประท้วงเอง ตำรวจเริ่มมา ใจผมก็เริ่มสั่น ยอมรับว่ากลัว “แม่งมาได้เรื่องอีกแล้ว” ผมคิดในใจ ระหว่างนั้นฝนตกลงมา ดูเหมือนฟ้าฝนจะไม่เป็นใจให้กับเรา หลายคนเริ่มท้อเริ่มเหนื่อย ผู้บริหารไม่มีท่าทีจะยอมรับข้อเสนอที่ให้ยุติการนำมหาวิทยาลัยออกนอกระบบ กลับมาทำประชาพิจารณ์ก่อน เรายกระดับการต่อสู้ ยกเต๊นท์ปิดถนนมิตรภาพ ครับ สิ่งที่ไม่เคยทำก็ได้ทำ ชีวิตในวัยนักศึกษาใครจะไปเชื่อว่าจะได้ทำอะไรที่เสี่ยงและท้าทายคุก ตาราง
เราปิดถนนมิตรภาพไปหนึ่งช่องทาง มีการผลักกันไป-มาระหว่างเราและเจ้าหน้าที่ตำรวจ สถานการณ์ตึงเครียดขึ้นเรื่อยๆ ตำรวจเริ่มเข้ามาเจราจาตามข้อเสนอเรา โดยบอกว่า “อีก10 นาที อธิการบดีจะมาคุยกับเรา” แต่ก็นั้นแหละครับ คำพูดผู้ใหญ่เชื่อถือไม่ค่อยได้เท่าไร ไม่มีผู้บริหารมาพบกับเรา “ผู้ใหญ่หลอกเด็กๆ” เราตะโกนซ้ำๆ ให้ตำรวจและบุคลากรมหาวิทยาลัยได้ยิน จากนั้นเราจึงสลายตัว เหตุการณ์จบลง แต่ความทรงจำในตอนนั้นไม่เคยจบ สีหน้า ความรู้สึก ของแต่ละคนในวันนั้น ผมยังจำได้ ผู้หญิงนั่งลง มือคล้องกัน ไม่ให้เจ้าหน้าที่ดึงตัวออกไป เมื่อใครบางคนในหมู่เรากำลังจะถูกรวบตัว เราก็เข้าไปช่วย
ผมทำเพื่ออะไร ดาวดินทำเพื่ออะไร เราที่มาประท้วงทำเพื่ออะไร ทำไมเราต้องมายอมเสี่ยงให้ติดคุกติดตะราง ให้คนมารุมด่าประนาม นี่เป็นคำถามที่ผมคิดระหว่างที่กำลังเผชิญหน้ากับตำรวจ ปิดถนนมิตรภาพ การจราจรติดขัด คำตอบนั้นต้องใช้ระยะเวลาเป็นตัวช่วย
จากเหตุการณ์นั้นกระแสเรื่องม.นอกระบบ กลับมาอีกครั้ง อาจพูดได้ว่า การประท้วงในครั้งนั้นคือ การประกาศศึกอย่างเป็นทางการ โดยกลุ่มดาวดิน และเครือข่ายนิสิตนักศึกษาคัดค้านม.นอกระบบ หลังจากนั้นผมและดาวดินเริ่มพบเจอกันในเส้นทางของนักกิจกรรม ผมเริ่มเรียนรู้ประเด็นทางสังคมอื่นๆ ติดตามการเคลื่อนไหวของดาวดิน เรียกได้ว่า มีดาวดินเป็น ไอดอล ถึงกับขนานนามว่า ดาวดิน คือ กลุ่มนักกิจกรรมที่แข็งแกร่งที่สุด
ดาวดิน กลายเป็นดาวที่เจิดจรัสจากเหตุการณ์ที่มีนักศึกษากลุ่มดาวดินเข้าร่วมคัดค้านเวทีประชาพิจารณ์โครงการเหมืองทองคำกับชาวบ้านตำบลวังสะพุง ภาพถ่ายจากช่างกล้องอิสระ เพียงไม่กี่ภาพ สร้างผลสะเทือนสู่สังคมออนไลน์เป็นอย่างมาก เช่นกันกลุ่มดาวดินกลายเป็นดาวที่เปล่งแสงในหมู่นักกิจกรรม ไม่มีใครไม่รู้จัก การต่อสู้เคลื่อนไหวหลายๆ ครั้งของกลุ่มดาวดินทรงพลัง เสียสละ และดูเหมือนเกินวัย เกินความสามารถของนักศึกษา บางครั้งต้องเสี่ยงกับอำนาจผู้มีอิทธิพล ถูกขู่ คุกคาม ติดตาม และจับกุม แต่นั่นไม่ทำให้ดาวดินละทิ้งการต่อสู้กับชาวบ้าน
ผมกลายเป็นเด็กทุกครั้งเมื่ออยู่กับดาวดิน เหมือนศิษย์น้องที่เรียนรู้วิชาจากศิษย์พี่ จากรุ่นเก่าสู้รุ่นต่อไปๆ ไม่มีใครปกติดีสักคน ตลก ฮา เกรียน จนถึง วิชาการ เคร่งเครียด สู่การลงสนามต่อสู้ภาคประชาชน ปกป้องสิทธิของชาวบ้าน
มันก็คนนี่แหละเพียงแค่หัวใจมันใหญ่กว่าคนปกติแค่นั้นเอง!!! นั่นคือดาวดินที่ผมรู้จัก ในตอนที่ผมกลายเป็นอีกคนหลังจากเราพบกันครั้งแรก
คำถามที่ผมสงสัยจากเหตุการณ์ประท้วงในวันนั้น เมื่อเรียนรู้ผ่านดาวดิน คำตอบจะเป็นอะไร ช่างแม่งมันเถอะ
“ถ้าคุณเห็นความอยุติธรรมแล้วตัวสั่นเทา เราเป็นสหายกัน” เช เกบารา