เลือกตั้ง 62 : แก้โจทย์ที่ดินให้ตอบโจทย์ประชาชน ออกข้อสอบวัดใจพรรคการเมือง
เรื่องที่ดินเป็นโจทย์ใหญ่ของประเทศ คนที่ผู้อาสามาบริหารประเทศต้องมีแนวทางที่ชัดเจนและตอบสนองคนส่วนใหญ่ของประเทศ ประชาชนผู้อยู่กับสถานการณ์ปัญหาที่ดินหลายรูปแบบ ทั้งเขตเมือง ชนบท ป่า รวมทั้งกลุ่มคนที่เข้าไม่ถึงสิทธิใช้ที่ดินหลายรูปแบบ พัฒนาข้อเสนอต่อการเปลี่ยนแปลงครั้งสำคัญ ที่จะมีการเลือกตั้งเร็ววันนี้ต่อพรรคการเมืองทุกพรรค ดังนี้
หลักการที่ควรยึด
– การปฏิรูปที่ดินต้องให้ประชาชนมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและกำหนดนโยบาย เพื่อสร้างความเป็นธรรม ลดความเหลื่อมล้ำในสังคม
-กำรเข้ำถึงที่ดินและที่อยู่อาศัยเป็นสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐาน การบริหารจัดการที่ดินต้องดำเนินไป บนพื้นฐานการเคารพสิทธิมนุษยชน และเคารพวิถีวัฒนธรรม
-นโยบายที่ดิน ต้องไม่นำมาบังคับใช้ย้อนหลังกับประชาชน
-การดำเนินการทางกฎหมายในกระบวนการยุติธรรม ควรให้ความสำคัญและการนำข้อเท็จจริงทางประวัติศำสตร์ชุมชน รวมทั้งเปิดโอกาสให้ ผู้ถูกดำเนินคดีได้มีโอกาสโต้แย้ง หรือหักล้างข้อกล่าวหาอย่ำงเท่ำเทียม มิใช่พิจารณาเพียงเอกสารทางราชการ
ด้านกฎหมายและนโยบายที่เกี่ยวข้อง
-รัฐจะต้องกำหนดมาตรการในเชิงกฎหมายเพื่อให้เกิดการกระจายการถือครองที่ดินอย่างแท้จริง และสนับสนุนให้คนจนสามารถเข้ำถึงที่ดินได้อย่างเป็นธรรม ดำเนินการรับรองสิทธิชุมชนในการบริหารจัดการที่ดินและทรัพยากรร่วมกัน ได้แก่ พระราชบัญญัติภาษีที่ดินอัตราก้าวหน้า พระราชบัญญัติกองทุนธนาคารที่ดิน พระราชบัญญัติสิทธิชุมชนในการจัดการที่ดินและทรัพยากรใน รูปแบบโฉนดชุมชน
กรณีนโยบายที่ดิน คทช. (คณะกรรมกำรนโยบำยที่ดินแห่งชำติ/มีนายกรัฐมนตรีเป็นประธาน)
-ยกระดับการดำเนินโครงการจัดที่ดินแปลงรวม คทช. ให้รับรองสิทธิชุมชนและสถาบันเกษตรกรในการ บริหารจัดการที่ดิน
-ทบทวนการจัดที่ดินแปลงรวมตามนโยบาย คทช. และเปิดโอกาสให้เกษตรกรรายย่อย คนยากจน ไร้ที่ดิน ให้สามารถเข้าถึงที่ดินและปัจจัยการผลิตอย่างเท่าเทียมเป็นธรรม ไม่จำกัดโอกาสการ เข้ำถึงที่ดินของเกษตรกรรายย่อย เพื่อให้สามารถพัฒนาและขยายกำลังการผลิต และแข่งขันได้
-ยุติการนำนโยบาย มติ และระเบียบของ คทช.มาใช้กับชุมชนที่มีรูปแบบการจัดการที่ดินอย่างยั่งยืน แต่รัฐบาลควร สนับสนุนส่งเสริมการปฏิบัติการปฏิรูปที่ดินโดยชุมชนที่เหมาะสมกับบริบทพื้นที่
-ทบทวนมติ คทช. วันที่ 18 มิถุนายน 2561 เกี่ยวกับพื้นที่เป้าหมายและกรอบมาตรการแก้ไขปัญหาการอยู่อาศัยและทำกินในพื้นที่ป่ำ ไม้ (ทุกประเภท) เนื่องจากแนวทางการแก้ไขปัญหาตามมติดังกล่าว อำจสร้างผลกระทบอย่างรุนแรงกับ ชุมชนที่อยู่อาศัยในพื้นที่ต้นน้ำชั้น 1, 2 ชุมชนชาวเล และชุมชนชำยฝั่ง
กรณีทวงคืนผืนป่า
-ยุตินโยบายทวงคืนผืนป่ำ และยกเลิกแผนแม่บทแก้ไขปัญหา การทำลาย ทรัพยากรป่่าไม้ การบุกรุกที่ดินของรัฐ และการจัดการทรัพยากรธรรมชาติอย่างยั่งยืน เพราะการดำเนินการตามนโยบายดังกล่าวส่งผลให้มีการละเมิด คุกคามชีวิต ทรัพย์สินและส่งผลกระทบกับชุมชนทั่วประเทศ รวมทั้งกระบวนการในการจัดทำแผนแม่บทดังกล่าวขาดการมีส่วนร่วมและการรับฟังความคิดเห็นจากประชาชนผู้มีส่วนได้เสีย
-ชะลอการดำเนินการประกาศอุทยานแห่งชำติไว้ก่อน และจัดตั้งกลไกให้ชุมชนมีส่วนร่วมในการจัดสำรวจแนวเขตเพื่อกันพื้นที่ท ำกิน ที่อยู่อาศัย และพื้นที่ป่ำชุมชนออกจากเขตอุทยำนฯ และการประกาศแนวเขต โดยการกำหนดแนวเขตเตรียมกำรประกาศอุทยานฯ ต้องผ่านความเห็นชอบจาก สภาท้องถิ่นก่อน จึงจะดำเนินการในขั้นตอนต่อไปได้
-นำยกรัฐมนตรีลงนามรับรองร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติและเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่าฉบับประชาชน (เนื่องจากเป็นกฎหมายเกี่ยวข้องกับการเงิน) เพื่อให้ สามารถเข้าสู่กระบวนการพิจารณาของสภานิติบัญญัติแห่งชาติ ควบคู่กับร่างพระราชบัญญัติอุทยานแห่งชาติ และเขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่ำฉบับของรัฐบาล และเนื้อหากฎหมายทั้งสองฉบับต้องสอดคล้องกับหลักการสิทธิมนุษยชน และกฎหมายรัฐธรรมนูญ พ.ศ. 2560
การสนับสนุนโฉนดชุมชน
-ปรับปรุงกลไก มาตรการและกระบวนการอนุญาต และลดข้อจำกัด การจัดการจัดการที่ดินในรูปแบบโฉนดชุมชน (อาทิ ตามมาตรา 9 , มาตรา 12 ประมวลกฎหมายที่ดิน)
-ผลักดันให้คณะรัฐมนตรีมีมติคุ้มครองพื้นที่โฉนดชุมชน 486 แห่งให้เป็นไปตามมติการประชุมคณะกรรมการ ประสานงานให้มีโฉนดชุมชน ครั้งที่ 1/2561 วันที่ 8 สิงหาคม 2561 และประสานงานให้มีการจัดที่ดินให้แก่ ประชาชน
-ยกเลิกมติคณะรัฐมนตรี วันที่ 30 มิถุนายน 2541 รวมทั้งมติอื่นที่เป็นอุปสรรคในการบริหาร จัดการที่ดินโดยชุมชน อาทิ มติคณะรัฐมนตรีในการจัดชั้นคุณภาพลุ่มน้ำ กรณีที่ดินสาธารณประโยชน์ ปรับปรุงกลไกและกระบวนการการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ดิน สาธารณประโยชน์ที่ออกโดยไม่ชอบกฎหมายทั้งกรณีโฉนดที่ดิน และการประกาศที่สาธารณะซ้อนทับที่ดิน ของประชาชน กรณีที่ดินเอกชนทิ้งร้าง
กรณีที่ดินที่ปล่อยทิ้งร้าง
ตามมาตรา 6 ประมวลกฎหมายที่ดิน จัดให้มี กลไก หน่วยงานเฉพาะเพื่อทำหน้าที่ในการตรวจสอบ และเพิกถอนเอกสารสิทธิ์ กรณีพื้นที่ชนเผ่า ชาติพันธุ์ และชนพื้นเมือง
-คุ้มครองสิทธิชนเผ่่า กลุ่มชาติพันธุ์ และชนพื้นเมือง ตามสนธิสัญญาหลักด้านสิทธิมนุษยชน ข้อตกลง และปฏิญญาที่เกี่ยวข้องกับการใช้ที่ดิน สิทธิ ชุมชนท้องถิ่นดั้งเดิม สิทธิกลุ่มชาติพันธุ์ในการถือครองและใช้ทรัพยากรธรรมชำติ
– สั่งการให้หน่วยงานที่ เกี่ยวข้องดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีเรื่องการฟื้นฟูวิถีชีวิตชาวเล วันที่ 2 มิถุนายน 2553 และการฟื้นฟู ชีวิตชาวกระเหรี่ยง วันที่ 3 สิงหำคม 2553 โดยเฉพาะการประกาศเขตคุ้มครองวัฒนธรรมพิเศษ
– การกันเขตพื้นที่ที่อยู่อาศัยของชุมชน พื้นที่ทำกิน และพื้นที่ทางจิตวิญญำณ ก่อนการประกาศเขตอนุรักษ์ โดยชุมชน มีส่วนร่วมในการกันเขตพื้นที่ต่างๆ 4) ส่งเสริมและสนับสนุนกิจกรรมที่ช่วยให้สังคมเกิดความเข้ำใจ และ ยอมรับวิถีชีวิตของกลุ่มชนเผ่ำ ชาติพันธุ์ และชนพื้นเมือง
กรณีที่ดินในเมือง เพื่อสร้างความมั่นคงในที่อยู่อาศัย
-ที่ดินรัฐที่หน่วยงานต่าง ๆ ครอบครองไว้ จำนวนมาก และไม่ได้ใช้ประโยชน์ เช่น ที่ดินการรถไฟแห่งประเทศไทย ที่ดินราชพัสดุ ที่ดินสาธารณะ รัฐบาลต้องมีนโยบายที่ชัดเจน ในการนำที่ดินเหล่านั้นมาพัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัย รองรับคนจนเมืองใน รูปแบบกรรมสิทธิ์ร่วมกันของชุมชน จึงจะสอดคล้องกับสถานะทางเศรษฐกิจของกลุ่มคนเหล่านั้น เนื่องจากไม่ ต้องแบกรับต้นทุนด้านที่ดิน และที่ดินรัฐจำนวนมากอยู่ในเขตเมือง หรือใกล้เมือง เป็นการลดผลกระทบต่อการ เปลี่ยนแปลงวิถีชีวิต และอาชีพ นอกจากนั้นยังลดต้นทุนในการพัฒนาระบบสาธารณูปโภค การใช้ที่ดินรัฐ เพื่อจัดทำโครงการที่อยู่อาศัย จึงเป็นแนวทางที่มีประสิทธิภาพมากที่สุด
-ในการจัดทำผังเมือง ควรให้คนจน เมืองได้มีส่วนในการกำหนดทิศทางของการพัฒนาเมืองในฐานะที่เป็นหุ้นส่วนหนึ่งที่สร้างการเติบโตและหล่อเลี้ยงคนในเมืองให้ดำรงชีวิตอยู่ได้อย่างไม่ยากล ำบาก ต้องรับฟังความเห็นของคนจนเมืองที่จะได้รับผลกระทบ โดยตรง โดยกำหนดผังเมืองแบบผสมผสานระหว่างพื้นที่เศรษฐกิจและที่อยู่อาศัยไว้ในพื้นที่เดียวกันไว้อย่างชัดเจน ทั้งนี้เพื่อให้การเติบโตทางเศรษฐกิจของเมืองกับที่อยู่อาศัยเป็นไปในลักษณะคู่ขนาน โดยมิให้ที่ดิน บริเวณที่อยู่อาศัยมีราคาสูง เพื่อให้คนจนสามารถดำรงวิถีชีวิตอยู่ได้ในเมือง
– กำรพัฒนาที่ส่งผลกระทบต่อคนในพื้นที่ โดยเฉพาะคนจนที่ต้องเสียสละที่อยู่อาศัยเดิมให้กับโครงกำรพัฒนาต่างๆ รัฐบาลควรมีนโยบายให้ หน่วยงานรัฐที่ดำเนินโครงการคิดงบประมาณในการอุดหนุนด้านการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยและการพัฒนา สาธารณูปโภคเป็นต้นทุนในโครงการ เพื่อให้ประชาชนที่เสียสละให้กับการพัฒนาและต้องโยกย้ายหรือต้องขยับปรับปรุงที่อยู่อาศัยใหม่ สามารถนำงบประมาณที่ได้รับไปจัดสร้ำงโครงการที่อยู่อาศัยใหม่ได้ และที่ สำคัญเป็นการลดภาวะความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานรัฐที่ดำเนินโครงการกับประชาชนในพื้นที่
กรณีภัยพิบัติ
-ปรับปรุงพระราชบัญญัติป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย พ.ศ. 2550 ให้กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยเป็นหน่วยงานที่มีหน้าที่หลักในการเตรียมความพร้อมการป้องกันภัยพิบัติโดย ชุมชน มากว่ำการเยียวยาหลังการเกิดภัยพิบัติ และจัดให้มีเวทีประชาพิจารณ์เพื่อรับฟังความเห็นสาธารณะ ก่อนการปรับปรุงร่างพระราชบัญญัติ
-เพิ่มคำนิยามคำว่า ‘สาธารณภัย’ ให้ครอบคลุมภัยที่กระทบต่อ สังคม การกัดเซาะชายฝั่ง ภัยที่เกิดจากการดำเนินนโยบายและโครงการของรัฐ เช่น การสร้างอ่างเก็บน้ำ รวมถึงการให้ความช่วยเหลือทุกคนที่เป็นผู้ประสบภัยโดยเท่าเทียม โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติอันเนื่องจากเชื้อชาติ สัญชาติ
-กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัยต้องให้ความสำคัญกับการลดความเสี่ยง ทั้งในมิติของการจัดการระดับท้องถิ่น เช่น การอพยพ สิ่งอำนวยความสะดวกให้สอดคล้องกับภัยนั้นๆ และส่งเสริมการ กระจายอำนำจให้ชุมชน องค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นเป็นผู้จัดการลดความเสี่ยงภัยเป็นหลัก
-ไม่เปิดโอกาส ให้การประกาศสาธารณภัยเป็นสาเหตุของการแย่งชิงที่ดิน เช่น การประกาศสาธารณภัยแล้วให้ประชาชน ออกไปจากพื้นที่ชุมชนที่อยู่อาศัย
กรณีเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก
-ในการพัฒนำเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออก ต้องคำนึงถึงการวางผังเมือง การปกป้องพื้นที่ เกษตรกรรมชั้นดี ไม่ให้เปลี่ยนไปเป็นพื้นที่สำหรับการพัฒนาอุตสาหกรรม
-การเปิดพื้นที่ให้ชาวบ้านมีส่วนร่วมในการตัดสินใจและร่วมออกแบบในกระบวนการพัฒนาของรัฐ บนหลักการไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
– รัฐ จะต้องจัดการผลประโยชน์อย่างเป็นธรรมระหว่าง ชุมชน รัฐ และนักลงทุน หากการพัฒนาเขตเศรษฐกิจ พิเศษและเขตพัฒนาพิเศษภาคตะวันออกเป็นการเพิ่มความมั่งคั่งให้กับนักธุรกิจ ชาวบ้นนก็ไม่ควรต้องเป็นผู้เสียสละด้วยการถูกพรากสิทธิที่ดิน
พัฒนาข้อเสนอโดย
เครือข่ายขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม
มูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ
มูลนิธิชุมชนไท
มูลนิธิพัฒนาที่อยู่อาศัย
เครือข่ายสลัม 4 ภาค
ร่วมกับสภาองค์กรชุมชน โดยคณะกรรมการประสานงานองค์การเอกชน (กป.อพช.)นำเสนอต่อพรรคการเมือง เมื่อวันที่ 1 ก.พ.2562 ที่นิด้า
ขอบคุณภาพประกอบส่วนหนึ่ง จากมูลนิธิพัฒนาภาคเหนือ