วันที่ 27ธ.ค.61 ศาลสงขลาได้พิพากษายกฟ้องคดีถ่านหินเทพาและชาวบ้านทั้ง 17 คนและพิพากษาให้จำเลยที่ 1 เอกชัย อิสระทะและจำเลยที่ 3 นายปาฏิหาริย์ บุญรัตน์ มีความผิดฐานตาม พรบ.การชุมนุมสาธารณะ โทษปรับคนละ 5,000 บาท
ย้อนกลับไป 27 พ.ย 60 ชาวบ้านจาก อ.เทพาและอ.จะนะ จ.สงขลา ในนาม“เดิน เทใจให้เทพา” เดินเท้ามายื่นหนังสือให้คณะรัฐมนตรีในการประชุมครม สัญจรที่จ.สงขลา เพื่อขอให้รัฐบาลทบทวนโครงการก่อสร้างโรงไฟฟ้าเทพาที่พวกเขากังวลว่าจะส่งผลกระทบต่อชีวิตและต้องการสื่อสารเพื่อแหล่งทรัพยากรและแหล่งผลิตอาหารที่สำคัญของทุกคน จนนำไปสู่เหตุการณ์สลายการชุมนุม และจับกุมเครือข่ายทั้ง 17 คน เพื่อดำเนินคดี ด้วยการตั้งข้อกล่าวหาถึง 4 ข้อหา ศาลพิพากษาไม่เป็นความผิด ตามที่อัยการสงฟ้อง
แถลงการณ์
เครือข่ายเทใจให้เทพา หยุดโรงไฟฟ้าถ่านหิน
เรื่อง การประกาศชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของประชาชน ในยุคอำนาจเผด็จการ
ผลการพิจารณาคดีเทพาได้เป็นที่ประจักษ์แล้วว่า การออกมาเคลื่อนไหวเพื่อเรียกร้องความเป็นธรรมกับนายกรัฐมนตรีประยุทธ์ จันทร์โอชา เมื่อวันที่ 27 พฤศจิกายน 2560 ในคราวที่ท่านเดินทางมาประชุมคณะรัฐมนตรีสัญจรที่จังหวัดสงขลา จนนำไปสู่เหตุการณ์สลายการชุมนุม และจับกุมพวกเราทั้ง 17 คน เพื่อดำเนินคดี ด้วยการตั้งข้อกล่าวหาถึง 4 ข้อหานั้น ไม่ถือว่าเป็นความผิด ตามเหตุผลที่ศาลได้ตัดสินในวันนี้ อันเป็นกระบวนการยุติธรรมที่พวกเราทุกคนพร้อมยอมรับด้วยความเชื่อมั่นในเจตนาอันบริสุทธิ์ของพวกเราทุกคนตั้งแต่เริ่มต้นจนเสร็จสิ้นกระบวนการ
จึงกล่าวได้ว่า “ นี่คือชัยชนะอันยิ่งใหญ่ของประชาชน ท่ามกลางอำนาจเผด็จการ ” ที่พยายามปิดปากและปิดกั้นการแสดงออกของพวกเราทุกทุกวิถีทาง ที่ได้ออกมาปกป้องทรัพยากรธรรมชาติสิ่งแวดล้อม วิถีชีวิต วัฒนธรรมในชุมชนของพวกเราเอง และถือเป็นการพิสูจน์ให้สังคมโดยรวมได้ประจักษ์ชัดขึ้นด้วยว่า “ความยุติธรรมยังมีอยู่จริง” เสมือนเป็นการยอมรับด้วยว่าพวกเรามีสิทธิอันชอบธรรมที่จะกระทำเช่นนั้นได้ แม้จะอยู่ภายใต้บริบททางสังคมและการเมืองที่ไม่ได้เป็นประชาธิปไตยก็ตาม นอกจากนั้นแล้วกระแสของสังคมสาธารณะที่ได้ส่งแรงเชียร์และกำลังใจให้กับพวกเราตลอดเวลาที่ผ่านมา ถือเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจกับพวกเราทุกคนจากการกระทำดังกล่าว โดยเฉพาะในคราวที่พวกเราถูกกระทำจนเกินกว่าเหตุของฝ่ายปกครอง ตำรวจ และฝ่ายความมั่นคง ตั้งแต่การใช้วิธีการจับกุมที่รุนแรง การจองจำด้วยเครื่องพันธนาการ และการกักขังในเรือนจำจังหวัดสงขลา จนทำให้พวกเราต้องสูญสิ้นอิสรภาพในช่วงเวลาหนึ่ง และยังปิดปากด้วยการแจ้งข้อกล่าวหาที่เกนกว่าเหตุ จนทำให้พวกเราได้รับความทุกข์ร้อนถึงกับต้องสูญเสียวิถีการดำเนินชีวิต สูญเสียอาชีพ และรายได้ในช่วงเวลาหนึ่งปีที่ผ่านมา อย่างไรก็ตามการกระทำของเจ้าหน้าที่รัฐและรัฐบาลจากเหตุการณ์ดังกล่าวนั้น ไม่ได้ทำให้ความตั้งใจของพวกเราเปลี่ยนแปลงไปแต่อย่างใด หากแต่จะแปรเป็นพลังที่เข้มแข็งมากขึ้นหลังจากนี้
โอกาสนี้เราขอประกาศเจตนาร่วมกันว่า เราจะทวงถามความเป็นธรรมที่สูญเสียไปก่อนหน้าให้กลับคืนมาในเร็ววัน ทั้งนี้เพื่อจะสร้างบรรทัดฐานให้กับสังคมไทย และเพื่อให้เจ้าหน้าที่รัฐที่เกี่ยวข้องทั้งหมด อันรวมถึงรัฐบาลได้ตระหนักถึงสิทธิอันชอบธรรมของประชาชนที่พวกท่านจะต้องให้การเคารพ มิใช่เพียงแต่จะใช้อำนาจจนล้นพ้นเกินขอบเขตและไร้เหตุผลดังเช่นที่ผ่านมา พร้อมกับขอประกาศด้วยว่าเราจะยืนหยัดใช้สิทธิอันชอบธรรมนี้ปกป้องชุมชนของเราให้รอดพ้นจากโครงการโรงไฟฟ้าถ่านหินเทพาอย่างถึงที่สุด
ด้วยความเชื่อมั่น
27 ธันวาคม 2561