เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่ เผยแพร่ข้อคิดเห็นต่อการแถลงข่าวการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่ของ กพร. นอกจาก 29 ส.ค.2560 เริ่มมีผลใช้บังคับ ตั้งคำถามใบอนุญาตตามกฎหมายแร่เก่าสามารถใช้ต่อได้ตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่ ทั้งเป็นแนวทางสร้างความชอบธรรม ‘เปิดเหมืองทอง-หนุนเหมืองโปแตช’?
ข้อคิดเห็นต่อการแถลงข่าวการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่
เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่
11 สิงหาคม 2560
ตามที่กรมอุตสาหกรรมพื้นฐานและการเหมืองแร่ (กพร.) จัดให้มีการแถลงข่าวการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่ หรือพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560 ณ ห้องประชุมดีบุก ชั้น 2 อาคาร กพร. ในเช้าวันที่ 10 สิงหาคม 2560 นั้น เครือข่ายประชาชนผู้เป็นเจ้าของแร่มีข้อคิดเห็น ดังนี้
1. ย่อหน้าแรกในเอกสารแจกของ กพร. ประกอบการแถลงข่าวในครั้งนี้ อธิบายเนื้อหาเกี่ยวกับใบอนุญาตที่มีอยู่ก่อนแล้วไม่ครบถ้วน ความว่า “บรรดาบรรดาอาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตอยู่ก่อนแล้ว ให้ถือเป็นการได้รับอนุญาตตามพระราชบัญญัติฉบับใหม่นี้จนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน” นั้น
ตามมาตรา 189 วรรคแรกของกฎหมายแร่ฉบับใหม่ระบุเนื้อหาที่ครบถ้วนเอาไว้ดังนี้ “บรรดาอาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ก่อนวันที่พระราชบัญญัตินี้ใช้บังคับ ให้ถือเป็นอาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตตามพระราชบัญญัตินี้ และให้ยังคงใช้ได้จนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน โดยต้องปฏิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในพระราชบัญญัตินี้ ยกเว้นการจัดทําแนวพื้นที่กันชนการทําเหมืองและการจัดทําข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชนตามมาตรา 32 การฟื้นฟูสภาพพื้นที่การทําเหมือง การวางหลักประกัน และการจัดทําประกันภัยตามมาตรา 68 (8) และ (9) ให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนดไว้ในการออกประทานบัตร”
ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ระบุไว้ชัดเจนว่าบรรดาอาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามกฎหมายแร่ฉบับเก่า หรือพระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2510 ให้ถือเป็นอาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่และให้ยังคงใช้ได้จนกว่าจะสิ้นอายุหรือถูกเพิกถอน โดยต้องปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ด้วย ไม่ใช่ปฎิบัติตามหลักเกณฑ์ที่บัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับเก่าทั้งหมดแต่อย่างใด ยกเว้นเพียงแค่การจัดทําแนวพื้นที่กันชนการทําเหมืองและการจัดทําข้อมูลพื้นฐานด้านสิ่งแวดล้อมและสุขภาพของประชาชน การฟื้นฟูสภาพพื้นที่การทําเหมือง การวางหลักประกัน และการจัดทําประกันภัยให้เป็นไปตามเงื่อนไขที่กําหนดไว้ในการออกประทานบัตรที่อยู่ภายใต้บังคับของกฎหมายแร่ฉบับเก่าเท่านั้น
ทั้งนี้ หลักเกณฑ์ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่จะต้องถูกนำมาบังคับใช้กับบรรดาอาชญาบัตร ประทานบัตร หรือใบอนุญาตที่ได้ออกให้ตามกฎหมายแร่ฉบับเก่าด้วย อาทิ หลักเกณฑ์เกี่ยวกับบทกำหนดโทษบรรดามีในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ที่กำหนดโทษหนักขึ้นต่อผู้ประกอบการที่ไม่คำนึงถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อม สังคมและสุขภาพที่เกิดขึ้นกับประชาชน และละเลยต่อความรับผิดชอบและธรรมาภิบาลของการประกอบกิจการ ไม่ว่าจะเป็นบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการทำเหมืองในเขตอุทยานแห่งชาติ เขตรักษาพันธุ์สัตว์ป่า เขตโบราณสถาน โบราณวัตถุ ศิลปวัตถุและพิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติ พื้นที่แหล่งต้นน้ำหรือป่าน้ำซับซึม เป็นต้น รวมทั้งบทกำหนดโทษเกี่ยวกับการทำเหมืองในพื้นที่อื่น ๆ ที่ไม่เป็นไปตามเงื่อนไขที่กำหนดไว้ในการออกประทานบัตร การลักลอบการทำเหมือง การเก็บแร่ การขนแร่ การแต่งแร่ หรือการประกอบโลหกรรม การลักลอบนำแร่ส่งออกนอกราชอาณาจักร ฯลฯ
ดังนั้น การระบุเนื้อหาอันเป็นสาระสำคัญไม่ครบถ้วนเกี่ยวกับบรรดาใบอนุญาตตามกฎหมายแร่ฉบับเก่าที่สามารถนำมาใช้ต่อไปได้ตามกฎหมายแร่ฉบับใหม่ ถ้าไม่ใช่ความผิดพลาดหรือไม่ตั้งใจ ก็ถือเป็นการจงใจที่ส่อให้เห็นทัศนคติบิดเบือนกฎหมายของ กพร. ด้วยเจตนาปกป้องคุ้มครองประโยชน์ของผู้ประกอบการเป็นหลัก ตั้งแต่จุดเริ่มต้นศักราชของการประกาศใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่
2. เนื้อหาส่วนอื่น ๆ ของการแถลงข่าว นอกจากบทบัญญัติในกฎหมายแร่ฉบับใหม่ที่ผ่านการรับรู้ของสังคมมาพอสมควรตลอดสองสามปีที่ผ่านมานับตั้งแต่ยังเป็นร่างกฎหมายอยู่นั้น ก็ไม่มีอะไรน่าสนใจมากนัก เป็นเพียงแค่งานพิธีกรรมเพื่อประกาศก้าวแรกในการนำกฎหมายหรือนโยบายสู่การปฎิบัติ ซึ่งกฎหมายแร่ฉบับใหม่จะเริ่มมีผลใช้บังคับในเร็ววันนี้ คือวันที่ 29 สิงหาคม 2560 แต่ที่น่าสนใจมากกว่ากลับเป็นการเคลื่อนไหวก่อนหน้านี้ที่เกี่ยวกับการเตรียมการรื้อฟื้น ‘นโยบายการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำ’ เพื่อรองรับการกลับมาเปิดเหมืองทองคำใหม่อีกครั้งหนึ่ง
นับตั้งแต่ความพยายามผลักดันนโยบายการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำของ กพร. ในช่วงเดือนกันยายน 2558 เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการอย่างน้อย 12 บริษัทยื่นขออาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจแร่ทองคำในพื้นที่ 10 จังหวัดทั่วทุกภาคของประเทศ พื้นที่รวมประมาณ 1,539,644 ไร่ เกิดความล้มเหลวจากการเคลื่อนไหวของภาคประชาชนที่รวมตัวกันเพื่อยื่นหนังสือพร้อมรายชื่อเกือบ 2 หมื่นรายชื่อให้แก่นายกรัฐมนตรีเมื่อวันที่ 22 กันยายน 2558
ต่อมาคณะรัฐมนตรียังได้มีมติเป็นไปในทางยับยั้งนโยบายการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำอีก 2 ครั้งในเวลาไล่เลี่ยกันเมื่อวันที่ 10 พฤษภาคม 2559 และ 7 มิถุนายน 2559 รวมถึงมีคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 72/2559 เพื่อปิดและฟื้นฟูเหมืองทองคำที่มีอยู่ทั้งสองแห่งในประเทศอีกด้วย แต่มีข้อแม้เกี่ยวกับการปิดและฟื้นฟูเหมืองทองคำว่า “จนกว่าคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติจะมีมติเป็นอย่างอื่น” โดยที่คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติเป็นโครงสร้างใหม่ที่ถูกบัญญัติไว้ในกฎหมายแร่ฉบับใหม่
เวลาผ่านมาได้ประมาณ 8 เดือน นับตั้งแต่คำสั่งหัวหน้า คสช. ฉบับดังกล่าว จึงเห็นแต่การหยุดกิจกรรมทำเหมือง แต่ไม่เห็นว่าเหมืองทองทั้งสองแห่งดำเนินการฟื้นฟูเหมืองให้เกิดความคืบหน้าแต่อย่างใด เพราะเกรงว่าการฟื้นฟูเหมืองจะเป็นอุปสรรคให้กลับมาเปิดเหมืองใหม่ไม่ได้ ผู้ประกอบการเหมืองทองทั้งสองแห่งจึงรอให้กฎหมายแร่ฉบับใหม่มีผลใช้บังคับใช้ เพื่อโน้มน้าวให้คณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติมีมติให้เหมืองทองกลับมาเปิดใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง
ในช่วงเวลาประมาณ 8 เดือนที่ผ่านมามีความพยายามอย่างหนักผ่านสภาการเหมืองแร่เพื่อเดินสายพูดคุยกับรัฐบาลด้วยความประสงค์ที่จะขอให้เหมืองทองคำทั้งสองแห่งกลับมาเปิดได้ใหม่อีกครั้งหนึ่ง สัญญาณเริ่มแรกก็คือการประชุมคณะกรรมการนโยบายบริหารจัดการแร่แห่งชาติ (คนร.) ครั้งที่ 1/2560 เมื่อวันที่ 12 มิถุนายน 2560 ณ ตึกสันติไมตรี (หลังใน) ทำเนียบรัฐบาล โดยที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำ
ต่อมาคณะรัฐมนตรีมีมติเมื่อวันที่ 1 สิงหาคม 2560 รับทราบกรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 72/2559
ต่อมาการประชุม คนร. ครั้งที่ 2/2560 ช่วงเช้าของวันที่ 9 สิงหาคม 2560 ณ ห้องประชุม 301 ชั้น 3 ตึกบัญชาการ 1 ทำเนียบรัฐบาล ที่ประชุมได้พิจารณาและมีมติเห็นชอบการบริหารจัดการอุตสาหกรรมเหมืองแร่ทองคำภายใต้กรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำ ที่อยู่ภายใต้กลไกของ คนร. ตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 72/2559 ซึ่งมีคำสั่งให้ผู้มีอำนาจดำเนินการไปตามกฎหมายที่เกี่ยวข้อง ทั้งนี้ เพื่อประโยชน์ในทางเศรษฐกิจจากการทำเหมืองแร่ทองคำของประเทศภายใต้กรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ฯดังกล่าวที่จะมีการประกาศใช้ในเร็ว ๆ นี้ พร้อมรับทราบความก้าวหน้าการดำเนินงานของคณะกรรมการดำเนินการระงับข้อพิพาทระหว่างราชอาณาจักรไทยกับบริษัท คิงส์เกต คอนโซลิเดเต็ด ลิมิเต็ด จำกัด ซึ่งเป็นเจ้าของเหมืองแร่ทองคำในเขตรอยต่อ 3 จังหวัด พิจิตร เพชรบูรณ์และพิษณุโลกของบริษัท อัครา รีซอร์สเซส จำกัด (มหาชน) ที่มีเรื่องฟ้องร้องตามเงื่อนไขข้อตกลงการค้าเสรีไทย-ออสเตรเลียอยู่ในขณะนี้
ต่อจากนี้ คาดว่า กพร. และ คนร. ก็จะเร่งรีบจัดทำนโยบายการสำรวจและทำเหมืองแร่ทองคำตาม ‘กรอบนโยบายและแผนยุทธศาสตร์ในการบริหารจัดการทรัพยากรแร่ทองคำ’ ที่ คนร. และ ครม. เห็นชอบแล้ว เพื่อประกาศใช้หลังกฎหมายแร่ฉบับใหม่มีผลใช้บังคับในวันที่ 29 สิงหาคม 2560 ก็จะส่งผลให้เหมืองทองคำทั้งสองแห่งที่ถูกปิดตัวลงจากคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 72/2560 กลับมาเปิดใหม่ได้อีกครั้งหนึ่ง
ประเด็นสำคัญของการแถลงข่าวครั้งนี้จึงอยู่ที่ว่าจะสามารถใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่สร้างความชอบธรรมในการเปิดเหมืองทองคำที่ถูกปิดไปตามคำสั่งหัวหน้า คสช. ที่ 72/2559 ได้หรือไม่
3. อีกประการหนึ่งที่มีความสำคัญไม่แพ้กัน ก็คือ กพร. กำลังเตรียมการใช้กฎหมายแร่ฉบับใหม่เพื่อสร้างความชอบธรรมในการอนุญาตให้ประทานบัตรเหมืองโปแตชจังหวัดอุดรธานีแก่บริษัท อิตาเลียนไทย ดีเวลล็อปเม้นท์ จำกัด (มหาชน) ให้ได้ในเร็ว ๆ นี้
รวมถึงให้อนุญาตอาชญาบัตรพิเศษเพื่อสำรวจแร่โปแตชเพิ่มเติมแก่ผู้ประกอบการอีก 34 ราย รวมพื้นที่ 3 ล้านกว่าไร่ ที่กระจายอยู่เป็นบริเวณกว้างขวางกินอาณาเขตหลายอำเภอในแต่ละจังหวัดของกาฬสินธุ์ นครราชสีมา มหาสารคาม ชัยภูมิ ขอนแก่น สกลนคร หนองคาย ยโสธร ร้อยเอ็ด
ลิงค์: เว็บไซต์ราชกิจจานุเบกษา ได้เผยแพร่ “พระราชบัญญัติแร่ พ.ศ. 2560” เมื่อวันที่ 2 มี.ค.2560