ภายหลังจากที่นายกรัฐมนตรีได้ประกาศยุบสภาเมื่อเช้าวันที่ 9 ธันวาคม 2556 อันมีผลให้คณะรัฐมนตรีและสมาชิกสภาผู้แทนราษฎรที่มาจากการเลือกตั้งพ้นไปจากตำแหน่งทั้งหมด และมีผลให้ต้องมีการจัดการเลือกตั้งขึ้นใหม่ภายใน 60 วัน
การยุบสภาเป็นกระบวนการในการแก้ไขความขัดแย้งทางการเมืองประการหนึ่งตามระบบรัฐสภา และเป็นกระบวนการที่ได้มีการรับรองไว้อย่างชัดเจนในรัฐธรรมนูญ อันถือเป็นการคืนอำนาจกลับไปสู่ประชาชนทุกคนภายในสังคม ให้ร่วมกันตัดสินใจต่อปัญหาต่างๆ ที่ได้บังเกิดขึ้น บนพื้นฐานของการยอมรับความเสมอภาคและความเท่าเทียมระหว่างบุคคลทุกคนผ่านระบบการเลือกตั้ง
แม้การยุบสภาอาจมิใช่เป็นเป้าหมายของบรรดาแกนนำ กปปส. ที่ทำการเคลื่อนไหวต่อต้านรัฐบาลในขณะนี้ แต่ความพยายามในการเคลื่อนไหวที่ต้องการให้เกิดภาวะสุญญากาศทางการเมืองที่ยังคงดำเนินอยู่ต่อไป ด้วยการเรียกร้องให้นายกรัฐมนตรีขอลาออกจากตำแหน่ง โดยต้องการให้มีการแต่งตั้งนายกฯพระราชทานตามแนวทางของทางกลุ่มเคลื่อนไหวนั้น จะนำไปสู่ความขัดแย้งทวีความรุนแรงมากขึ้น เนื่องจากข้อเรียกร้องดังกล่าวเป็นสิ่งที่ปราศจากความชอบธรรมตามรัฐธรรมนูญ เนื่องจากรัฐธรรมนูญได้มีบทบัญญัติเกี่ยวกับกรณีการยุบสภาและการลาออกของนายกรัฐมนตรีไว้อย่างชัดเจน
นอกจากนี้ในข้อเสนอเรื่องการตั้งสภาประชาชนที่จะดำเนินการติดตามมาก็ไม่ปรากฏว่าจะมีการดำเนินการในลักษณะเช่นใด ใครเป็นผู้มีอำนาจแต่งตั้ง หรือมีกระบวนการในการคัดเลือกอย่างไร หรือเป็นอำนาจของบรรดาผู้นำในการเคลื่อนไหวครั้งนี้เท่านั้นที่จะเป็นผู้มีอำนาจอย่างเบ็ดเสร็จ
ความไม่ชัดเจนในข้อเสนอเรื่องสภาประชาชนย่อมทำให้ประชาชนที่มีความเห็นแตกต่างออกไปอาจกลายเป็นผู้ไร้สิทธิ ซึ่งแนวทางดังกล่าวย่อมติดตามมา หากผู้ซึ่งมีความเห็นต่างจัดการชุมนุมและเรียกร้องการเปลี่ยนแปลงด้วยการอ้างอิงถึงอำนาจอธิปไตยของประชาชนเช่นเดียวกัน ทั้งหมดก็ย่อมจะนำไปสู่ภาวะที่บ้านเมืองตกอยู่ในสภาพอนาธิปไตย
หากกลุ่มแกนนำ กปปส. มีความต้องการที่จะให้เกิดการปฏิรูปการเมืองให้มีความเป็นประชาธิปไตยที่สมบูรณ์ขึ้น ก็สามารถทำการผลักดันและเคลื่อนไหวให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นได้ ไม่ว่าจะโดยผ่านกระบวนการทางการเมืองตามปกติ เช่น การเผยแพร่ข้อเสนอและแนวทางในการแก้ไขของตนเองอย่างชัดเจน ให้แก่สาธารณชนและแสวงหาการสนับสนุนจากประชาชนในการเลือกตั้ง หรือการจัดตั้งเป็นกลุ่มองค์กรอิสระที่คอยติดตามตรวจสอบในประเด็นที่ตนเองตระหนักว่าเป็นปัญหา ซึ่งควรต้องได้รับการแก้ไข หรือแม้กระทั่งการปรับแก้ไขโครงสร้างของระบบการเมืองไม่ว่าจะเป็นระบบการเลือกตั้ง ระบบการตรวจสอบ ซึ่งได้มีกำหนดไว้ทั้งในรัฐธรรมนูญ และพระราชบัญญัติหลายฉบับ ก็สามารถกระทำได้ด้วยการเสนอแก้ไขรัฐธรรมนูญหรือกฎหมายนั้นๆ
การตั้งเป้าหมายถึงระบบการเมืองที่มีคุณภาพมากขึ้นเป็นสิ่งที่ดี แต่การเปลี่ยนแปลงด้วยความคาดหวังว่าจะทำให้ประชาธิปไตยที่สมบูรณ์เกิดขึ้นในชั่วข้ามคืน ภายใต้การชี้นำของคนดีเพียงบางกลุ่มที่ไม่มีกฎหมายอันชอบธรรมรองรับ ไม่เพียงแต่จะเป็นการเคลื่อนไหวที่ไม่ได้เป็นหลักประกันว่าจะทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงในด้านที่ดีขึ้นเท่านั้น หากยังจะสามารถนำไปสู่ความรุนแรงในทางการเมืองระหว่างฝ่ายต่างๆ ให้บังเกิดขึ้นมากกว่าเดิม
มหาวิทยาลัยเที่ยงคืนจึงขอเรียกร้องให้สังคมร่วมกันผลักดันให้เกิดการปฏิรูประบอบการเมืองของไทย ภายใต้กลไกของระบบรัฐสภาและบนกระบวนการตามกรอบของรัฐธรรมนูญ และร่วมกันปฏิเสธการเคลื่อนไหวที่จะนำไปสู่การใช้อำนาจนอกรัฐธรรมนูญทุกประการในการแทรกแซงและทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงกับระบบการเมืองที่ไม่ได้เคารพต่อหลักการประชาธิปไตยและรัฐธรรมนูญ การรักษาระบบและการเปลี่ยนแปลงด้วยการพัฒนาระบบให้ดีขึ้น มีความสำคัญต่อการอยู่ร่วมกันในอนาคต แต่ถ้าหากมุ่งสู่การล้มระบบที่เป็นอยู่ก็จะนำไปสู่ความปั่นป่วนวุ่นวายอย่างยากที่จะยุติลงได้ ซึ่งจะส่งผลเสียร้ายแรงต่อคนทุกๆกลุ่มในสังคมไทย