1 พ.ค. 2558 ตามที่ผู้แทนการค้าสหรัฐฯ เผยแพร่รายงานตามาตรา 301 พิเศษจัดอันดับประเทศที่ละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ประจำปี 2558 โดยประเทศไทยติดอยู่ในกลุ่มประเทศที่ถูกจับตามองเป็นพิเศษ (Priority Watch List – PWL) เป็นปีที่ 8 ติดต่อกัน
น.ส.กรรณิการ์ กิจติเวชกุล ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน (เอฟทีเอ ว็อทช์) มองว่า การออกรายงานตามมาตรการ 301 พิเศษของสหรัฐฯ ต่างกับรายงานเรื่องการค้ามนุษย์หรือสิทธิมนุษยชน เพราะรายงานตามมาตรา 301 ไม่ควรค่าแก่การใส่ใจ เพราะสาระของรายงานเป็นการบอกว่า ทุนสหรัฐฯ ต้องการอะไรบ้าง และประเทศต่างๆ ยังทำอะไรไม่ถูกใจทุนอเมริกันบ้าง และขณะนี้ก็ไม่มีประเทศใดๆ ให้ความสนใจกับการติดบัญชีดำในรายงานนี้แล้ว
“ดังที่ปรากฏในรายงานปีนี้ สหรัฐฯ พูดชัดว่า การแก้กฎหมายของไทยไม่ทำตามสิ่งที่อุตสาหกรรมของสหรัฐฯ ต้องการมากพอ อาทิ การไม่มีบทลงโทษกับเจ้าของที่ดินที่ขายสินค้าละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา ทั้งที่ในการแก้กฎหมาย ไทยต้องคำนึงถึงสภาพสังคมและได้แก้ในหลายประเด็นที่เห็นสมควรไปแล้ว แต่สนองตามไม่ได้ทุกเรื่องทุกเม็ด เพราะเป็นคำขอที่เกินกว่าเหตุ เอื้อธุรกิจสหรัฐทำร้ายประชาชนมากเกินไป ไม่มีทางที่สหรัฐฯ จะปรับเราออกจากบัญชีดำนี้ได้” น.ส.กรรณิการ์ กล่าว
ผู้ประสานงานกลุ่มศึกษาข้อตกลงเขตการค้าเสรีภาคประชาชน กล่าวด้วยว่า การติดในบัญชี 301 พิเศษนี้ มีงานวิจัยชี้ชัดว่า ไม่ได้มีผลกระทบต่อการส่งออกของไทย และขณะนี้หลายประเทศเริ่มรู้ทางมากขึ้นจนแทบไม่มีประเทศใดสนใจการออกรายงานแต่ละปี
“กรมทรัพย์สินทางปัญญาควรตระหนักและเลิกเดินตามคำสั่งของสหรัฐฯ อย่างสิ้นสติ เพราะเท่าที่แก้กฎหมายเกี่ยวกับทรัพย์สินทางปัญญากันมา ประเทศไทยมีโทษอาญาหนักที่สุดในโลกแล้ว ผิดกับประเทศพัฒนาแล้วที่เน้นโทษทางแพ่งเป็นหลัก” น.ส.กรรณิการ์ กล่าว
ด้าน ดร.อุษาวดี สุตะภักดิ์ อาจารย์ประจำคณะเภสัชศาสตร์ มหาวิทยาลัยพายัพ กล่าวว่า ข้อเรียกร้องของสหรัฐอเมริกาที่ต้องการให้ไทยผูกขาดข้อมูลยา โดยอ้างว่า เพื่อจัดการกับการใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นธรรม เป็นข้อเรียกร้องที่เกินไปกว่าความตกลงขององค์การการค้าโลกที่ไทยผูกพันอยู่ ถ้าไทยยอมทำตามจะส่งผลกระทบต่อการเข้าถึงยาอย่างรุนแรง
“แม้สหรัฐฯจะใช้คำสวยหรูว่า กลไกที่ทรงประสิทธิภาพในการจัดการการใช้ข้อมูลที่ไม่เป็นธรรม แต่ที่จริงแล้ว สหรัฐฯต้องการให้ไทยผูกขาดข้อมูลทางยา (Data Exclusivity) ซึ่งจะเป็นอุปสรรคต่อการยาชื่อสามัญ บีบบังคับให้ผู้ป่วยไทยต้องใช้ยาต้นแบบเท่านั้น แม้ว่าจะไม่มีสิทธิบัตรผูกขาดแล้วก็ตาม ซึ่งจากงานวิจัยพบว่า จะทำให้ไทยต้องใช้งบประมาณด้านยาเพิ่มปีละไม่ต่ำกว่า 8 หมื่นล้านบาท และมีผลทำลายอุตสาหกรรมยาชื่อสามัญของไทยด้วย” ดร.อุษาวดี ระบุ
ดร.อุษาวดี กล่าวว่า กรมทรัพย์สินทางปัญญาต้องทำหน้าที่เพื่อสร้างสมดุลของระบบ ไม่ใช่คุ้มครองแต่เจ้าของสิทธิ์จนละเมิดสิทธิ์ของประชาชน และควรสร้างกลไกเพื่อส่งเสริมให้มีนวัตกรรมใหม่ด้านยา เช่น การใช้คู่มือในการตรวจสอบสิทธิบัตรยาอย่างเคร่งครัด เพื่อสกัดกั้นการขอสิทธิบัตรผูกขาดในยาเก่า เปิดทางให้ผู้ผลิตยาชื่อสามัญสามารถผลิตยาเข้าสู่ตลาดเพื่อให้เกิดการแข่งขัน