‘ยุทธการพลิกฟื้นผืนป่า’ ปิดป้ายขับไล่ ‘คนโคกยาว’ ออกจากพื้นที่

‘ยุทธการพลิกฟื้นผืนป่า’ ปิดป้ายขับไล่ ‘คนโคกยาว’ ออกจากพื้นที่

เจ้าหน้าที่ทหาร-ป่าไม้ สนธิกำลังกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง นำแผ่นป้ายปิดประกาศ ยุทธการพลิกฟื้นผืนป่า พร้อมหมายบังคับคดี ให้สมาชิกชุมชนโคกยาว ออกจากพื้นที่ภายใน 8 วัน

20161003231235.jpg

รายงานโดย ศรายุทธ ฤทธิพิณ
สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน

10 มี.ค. 2559 บุญมี วิยาโรจน์ รองประธานโฉนดชุมชนโคกยาว ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ เล่าว่า วันนี้ (10 มี.ค.59) เวลาประมาณ 11.00 น. เจ้าหน้าที่ป่าไม้ ทหาร รวมทั้งฝ่ายปกครองนำรถหกล้อและรถปิกอัพรวม 8 คัน ขนเจ้าหน้าที่เข้ามาในชุมชนโคกยาวจำนวนกว่า 40 นาย ขณะที่ขบวนรถวิ่งมาถึง กลุ่มของพวกตนที่กำลังยืนมองดูท่าทีอยู่ นายเจนวิทย์ คำนึงผล หัวหน้าหน่วยป้องกันรักษาป่าที่ ชย.4 (คอนสาร) ลดกระจกลงมาทักทายว่า จะลงไปตรวจดูพื้นที่ข้างล่าง นำใบปิดประกาศของเจ้าพนักงานบังคับคดีผู้ที่บุกรุกป่ารายอื่น ซึ่งไม่เกี่ยวข้องกับกรณีของสมาชิกชุมชนโคกยาวบนพื้นที่โฉนดชุมชน 830 ไร่ แต่อย่างใด

บุญมี บอกอีกว่า เมื่อรถเจ้าหน้าที่กลับออกไปหมดแล้ว พวกตนได้เข้าไปดูพื้นที่ดังกล่าว พบว่ามีพื้นที่ของสมาชิกชุมชนโคกยาวถูกติดตั้งป้ายโปสเตอร์ขนาดใหญ่เขียนว่า “ยุทธการพลิกฟื้นผืนป่า แผนปฏิบัติการบังคับใช้กฏหมายต่อพื้นที่บุกรุกปลูกยางพาราในเขตป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม จ.ชัยภูมิ” ซึ่งตนเข้าใจว่าก็คือแผนปฏิบัติการทวงคืนผืนป่านั่นเอง เพียงแต่เปลี่ยนชื่อใหม่

20161003231247.jpg

นอกจากนั้นยังมีแผ่นกระดาษเย็บติดกับแผ่นป้ายโปสเตอร์ซึ่งเป็นหมายบังคับคดีลงวันที่ 10 มี.ค. 2559 ระบุว่า สำนักงานบังคับคดีจังหวัดชัยภูมิ สาขาภูเขียว กรมบังคับคดี ขอประกาศให้ทราบทั่วกันว่า ศาลจังหวัดภูเขียว ได้มีหมายบังคับคดีขับไล่จำเลย คนงาน ผู้รับจ้าง ผู้แทนและบริวารออกจากพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม ป่าโคกยาว หมู่ที่ 6 ต.ทุ่งลุยลาย อ.คอนสาร จ.ชัยภูมิ

จึงประกาศให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลย ยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาล ภายในกำหนดเวลา 8 วัน นับแต่วันปิดประกาศ มิฉะนั้นจะถือว่าเป็นบริวารของจำเลย และเจ้าพนักงานจะดำเนินการบังคับคดีตามกฎหมายต่อไป

รองประธานโฉนดชุมชนโคกยาว เพิ่มเติมอีกว่า ชุมชนโคกยาวได้รับผลกระทบความเดือดร้อนหลายครั้ง เช่น ในวันที่ 25 ส.ค. 2557 เจ้าหน้าที่ก็เข้ามาปิดประกาศคำสั่ง คสช.ที่ 64/2557 ให้ออกจากพื้นที่และรื้อถอนสิ่งปลูกสร้าง ภายใน 15 วัน และเมื่อวันที่ 6 ก.พ. 2558 เจ้าหน้าทีสนธิกองกำลังทหาร ตำรวจ ป่าไม้ เข้ามาปิดป้ายหนังสือประกาศ ให้รื้อถอนสิ่งปลุกสร้าง พืชผลอาสินทั้งหมดให้แล้วเสร็จภายใน 30 วัน 

ทุกครั้งพวกตนได้เดินทางเข้ายื่นหนังสือร้องเรียนต่อหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมทั้งการผลักดันให้เกิดกระบวนการแก้ไขปัญหาระหว่างรัฐบาลกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) มาอย่างต่อเนื่อง และทุกครั้งก็มีมติที่ประชุมว่า ในระหว่างการแก้ไขปัญหาให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องชะลอการดำเนินการใดๆ ที่อาจก่อให้เกิดความเดือดร้อนในการดำเนินชีวิตตามปกติสุข และให้สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินตามปกติไปพลางก่อน จนกว่ากระบวนการจะมีผลเป็นที่ยุติต่อไป 

อีกทั้งการดำเนินการหากติดขัดปัญหาเกี่ยวกับระเบียบ กฎหมาย ควรพิจารณาปรับปรุงแก้ไขเพื่อให้สอดคล้องกับแนวทางการแก้ไขปัญหาให้แก่ประชาชนตามความเหมาะสม แต่การปฏิบัติกลับมาสวนทางกับแนวทาง เพราะสมาชิกต้องมาถูกหมายบังคับคดีอีกในครั้งนี้

20161003231303.jpg

ด้านสมยศ อรัญชัย สมาชิกชุมชนโคกยาว เล่าว่า ตามที่ศาลจังหวัดภูเขียว ได้มีหมายบังคับคดีให้ขับไล่จำเลย คือนางสมบัติ ทวยแก้ว ซึ่งเป็นภรรยาของตนเอง ได้ร่วมกันปลูกสวนยาง และปลูกถั่วแดงตามร่องแถวของต้นยาง ซึ่งมีพื้นที่จำนวนกว่า 7 ไร่ มานานหลายปีแล้ว กระทั่งเมื่อวันที่ 30 ส.ค. 2555 ในขณะที่กำลังเก็บเกี่ยวถั่วแดง เจ้าหน้าที่ป่าไม้นำกำลังเข้ามาจับกุมภรรยาของตน พร้อมแจ้งข้อหาบุกรุก แผ้วถาง ทำลายป่า และถูกดำเนินคดี 

เมื่อเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีของศาลชั้นต้น ภรรยาของตนเองรับสารภาพว่าได้เข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ป่าสงวนแห่งชาติภูซำผักหนาม เพราะก่อนหน้านั้นได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่มาก่อนที่จะมีการประกาศเขตป่าฯ อีกทั้งบริเวณดังกล่าวเป็นพื้นที่พิพาทซึ่งอยู่ในระหว่างการแก้ไขปัญหา และเป็นพื้นที่นำร่องโฉนดชุมชน ที่สุดแล้ว ศาลได้พิจารณาคำสั่งปรับเป็นเงินจำนวน 10,000 บาท

สมยศ บอกอีกว่า ตามหมายบังคับคดีที่ประกาศด้วยว่าให้ผู้ที่อ้างว่าไม่ใช่บริวารของจำเลยไปยื่นคำร้องแสดงอำนาจพิเศษต่อศาล ยืนยันว่าในสถานภาพที่เป็นคู่ชีวิตกัน รวมทั้งลูกอีก 2 คน ไม่จำเป็นต้องไปแสดงอ้างว่าไม่ใช่บริวาร เพราะอย่างไรก็ตามถือว่าเป็นบริวารที่อยู่ในฐานะเป็นครอบครัวเดียวกัน จะไปแสดงตนหรือไม่ เจ้าหน้าที่ย่อมหาเหตุมาอ้างให้ออกจากพื้นที่อยู่แล้ว ตราบใดที่ไม่เคารพมติที่ประชุมตามแนวทางแก้ไขปัญหาในทางนโยบาย

“สิ่งที่เกิดขึ้นถือเป็นการถูกคุกคามต่อชีวิตและการทำมาหากิน ส่งผลให้ครอบครัวต้องกังวลต่อการขาดที่ดินทำกิน และเป็นการทำให้คนในชุมชนรู้สึกกังวลใจขึ้นมาอีกรอบ ทั้งๆ ที่อยู่ในช่วงระหว่างการแก้ไขปัญหา มีมติที่ประชุมให้ชะลอไว้ก่อน แล้วทำไมเจ้าหน้าที่ฝ่ายปฏิบัติการในพื้นที่ จึงไม่ปฏิบัติตามคำสั่ง กลับนำแผ่นป้ายและหมายบังคับคดีมาปิดประกาศแจ้งให้เกิดความหวาดผวาขึ้นมาอีกครั้ง” นายสมยศ ตั้งคำถามทิ้งท้าย

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ