13 มี.ค.2558 ศาลจังหวัดระยอง นัดไกล่เกลี่ยข้อพิพาทครั้งที่ 2 ระหว่างโจทก์ สมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็กจังหวัดระยอง พร้อมชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบกรณีน้ำมันดิบรั่วไหลลงทะเลพื้นที่จังหวัดระยองเมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2556 รวม 429 ราย ซึ่งยื่นฟ้องเรียกค่าเสียหายและขอให้มีการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟู กับ จำเลย บริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (พีทีทีจีซี) ในฐานะผู้ก่อมลพิษ
จากที่การไกลเกลี่ยครั้งแรกเมื่อวันที่ 16 ม.ค. 2557 ไม่เป็นผล โดยชาวบ้านต้องการให้มีการพูดคุยเรื่องแนวทางการฟื้นฟูทรัพยากรทะเลก่อนการเจรจาเรื่องการชดใช้ค่าเสียหายเฉพาะตัว ขณะที่ฝ่ายบริษัทฯ ระบุว่า การฟื้นฟูทะเลนั้น บริษัทฯ มีแผนการและได้ดำเนินการร่วมกับหน่วยราชการอยู่แล้ว และเห็นควรให้เจรจาเรื่องค่าเสียหายก่อน ศาลจึงนัดให้มีการไกล่เกลี่ยครั้งที่ 2 ในวันที่ 13 มี.ค. 58 เวลา 9.00 น. โดยให้จำเลยนำแผนการฟื้นฟูทะเลที่ทำร่วมกับหน่วยงานราชการมาร่วมเจรจาด้วย
ผู้สื่อข่าวรายงานบรรยากาศที่ศาลจังหวัดระยองในวันนี้ว่า มีชาวบ้านหลายร้อยคนมาร่วมฟังการไกล่เกลี่ยแต่เมื่อถึงเวลานัดหมายไม่สามารถเข้าไปในห้องได้ทั้งหมด หลายคนจึงต้องรออยู่โดยรอบบริเวณศาล กระทั่งเมื่อเวลาประมาณ 13.00 น. การเจรจาไกล่เกลี่ยแล้วเสร็จโดยไม่สามารถสรุปผลได้ เนื่องจากชาวบ้านยังคงยืนยันเงื่อนไขเดิมในการเจรจาครั้งแรก ขณะที่บริษัทรับว่าจะนำแผนฟื้นฟูของชาวบ้านไปศึกษาโดยฝ่ายวิชาการที่ตั้งขึ้นมาจากผู้เชี่ยวชาญของบริษัท ศาลจึงนัดไกล่เกลี่ยเป้นครั้งที่ 3 ในวันที่ 29 พ.ค. 2558
ทั้งนี้ ที่มาของคดีดังกล่าว สมาคมประมงพื้นบ้านเรือเล็กระยอง ชาวประมงพื้นบ้าน และกลุ่มแม่ค้าผู้ได้รับผลกระทบจากเหตุการณ์น้ำมันดิบของบริษัท พีทีที โกลบอล เคมิคอล จำกัด (มหาชน) (พีทีทีจีซี) รั่วไหลออกทะเล พื้นที่จังหวัดระยอง เมื่อวันที่ 27 ก.ค. 2556 รวม 429 ราย ได้ยื่นฟ้อง บริษัท พีทีทีจีซี ในฐานะผู้ก่อมลพิษ (คดีแพ่ง) และหน่วยงานรัฐที่เกี่ยวข้อง (คดีปกครอง) ประกอบด้วย คณะกรรมการป้องกันและขจัดมลพิษทางน้ำเนื่องจากน้ำมัน (กปน.) กรมเจ้าท่า กรมประมง กรมควบคุมมลพิษ กรมทรัพยากรทางทะเลและชายฝั่ง และผู้ว่าราชการจังหวัดระยอง
ในฐานะผู้มีหน้าที่ตามกฎหมายในการบำบัดแก้ไขปัญหามลพิษและบรรเทาผลกระทบที่เกิดแก่ทรัพยากรทางทะเล ชายฝั่ง ต่อศาลจังหวัดระยอง ความแพ่ง และศาลปกครองระยอง ตั้งแต่วันที่ 25 ก.ค. 57 ที่ผ่านมา โดยได้ขอให้มีการชดใช้ค่าเสียหายจากการสูญเสียรายได้ในการประกอบอาชีพโดยประมาณกว่า 400 ล้านบาท และขอให้มีการจัดตั้งกองทุนฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติจากปัญหาน้ำมันรั่ว โดยให้บริษัทฯ จัดสรรงบประมาณสู่กองทุนฯคิดเป็นร้อยละ 10 ของกำไรเฉลี่ยต่อปี (บริษัท พีทีทีจีซี มีกำไรเฉลี่ยต่อปีประมาณ 30,000 ล้านบาท)
author
