ภาพ/เรื่อง : คำปิ่น อักษร นักข่าวพลเมืองอุบลราชธานี
หลังมีคำตัดสินของศาลปกครองสูงสุด กรณีชาวบ้านฟ้องร้องสำนักงานที่ดินสาขาวารินชำราบละเว้นการปฎิบัติหน้าที่ ตรวจสอบการออกโฉนดที่ดินมิชอบด้วยกฎหมาย ความคืบหน้าเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2558 ที่ผ่านมา มีการสำรวจรังวัดที่ดินของนายวิทยา แก้วบัวขาว เป็นครั้งที่ 2 เพื่อตรวจสอบการทับซ้อน
กว่า 40 ปีที่ชาวบ้านใน ต.หนองกินเพล และ ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ต่อสู้เพื่อทวงถามความยุติธรรมในที่ดินของตัวเอง หลังมีการออกระวางโฉนดทับซ้อนที่ดินของชาวบ้านหลายคน รวมถึงนายวิทยา แก้วบัวขาว หนึ่งในผู้เสียหายซึ่งถูกฟ้องร้องบุกรุกที่ดินทำกินของตัวเองจนต้องติดคุก
ต่อมา เมื่อวันที่ 21 กรกฏาคม 2558 ศาลปกครองสูงสุดได้มีคำพิพากษาให้ตรวจสอบการออกโฉนดทับซ้อนที่ดินของชาวบ้านในพื้นที่ ต.หนองกินเพล และ ต.บุ่งหวาย อ.วารินชำราบ จ.อุบลราชธานี ซึ่งมีความคืบหน้าเพิ่มเติม โดยเมื่อวันที่ 21 กันยายน 2558 มีการเดินสำรวจรังวัดที่ดินของนายวิทยา แก้วบัวขาว เป็นครั้งที่ 2 หลังพบว่าใบจองที่ดินหมายเลขแปลงที่ 184 ของนายวิทยา ยังไม่ได้มีการยกเลิก ซึ่งครั้งนี้ได้เรียกเจ้าของโฉนดที่ดิน ทั้ง 36 ราย มาชี้เขตแดนเพื่อตรวจสอบการทับซ้อนกัน
“ประมาณ 40 –50 ปีแล้วนะครับ ในการออกโฉนด ต.บุ่งหวาย ต.หนองกินเพล ซึ่งคนที่อาศัยอยู่จริง คือชาวบ้านที่เขาสืบทอดมาตั้งแต่ปู่ย่าตายาย แต่คนที่เป็นเจ้าของโฉนดซึ่งซื้อต่อนายทุน เอาที่เหล่านี้ไปออกโฉนด แล้วก็ถือโฉนดเอาไว้ แต่เขาเหล่านั้นอาจจะไม่เคยเข้ามาในพื้นที่เลย เมื่อมีกรณีพิพาทกันระหว่างคนครอบครองอยู่จริงกับอีกคนหนึ่งที่ถือโฉนด ก็มีการนำเรื่องนี้ไปฟ้องต่อศาลปกครองสูงสุด”
นายนิกร วีสเพ็ญ ที่ปรึกษาด้านกฎหมายของชาวบ้านกรณีพิพาทที่ดินดังกล่าว และอธิบายไร่เลียงความเป็นมาของเหตุการณ์
“เพราะว่านายวิทยา แก้วบัวขาวได้นำใบจองเลขที่ 184 ไปขอออกโฉนด เมื่อไปขอออกโฉนดเจ้าหน้าที่ที่ดินบอกว่า มันมีการทับซ้อนกันก็เลยนำเรื่องนี้ขึ้นฟ้องศาลปกครอง ซึ่งศาลปกครองชั้นต้นและศาลปกครองสูงสุดได้ชี้ออกมาแล้วว่าที่ใบจองเลขที่ 184 ยังไม่มีการยกเลิก เมื่อยังไม่มีการยกเลิก น.ส.3 แปลงใด หรือโฉนดที่ได้ออกทับซ้อนที่ตรงนี้ก็ว่าจะนำเรื่องนั้นเสนออธิบดีกรมที่ดิน ตามมาตรา 61 ในการเพิกถอน เพราะน่าจะออกโดยมิชอบ วันนี้เลยมาพิสูจน์กัน”
กว่าจะถึงวันนี้ การต่อสู้ที่ยาวนานของ นายวิทยา แก้วบัวขาว ยังทำให้เขาถูกจับกุมเมื่อปี 2551 ในข้อหาบุกรุกที่ดินของตนเองเป็นเวลา 1 ปี 6 เดือน 22 วัน และหลังพ้นมลทินวันนี้เขาจึงกลับมาดูผืนดินของครอบครัวอีกครั้ง
“พื้นที่ที่ถูกทับซ้อนขอบเขตเดิมที่เคยทำประโยชน์ คือ ตามเส้นสีขาวนี้ครับ ตามโครงระวางของที่ดิน มาตามนี้ก็ทับหลายแปลงประมาณ 30 กว่าแปลง แปลงละ 2 -3 ไร่ ตามขอบเขตที่ดินทำโครงระวางจัดสรร ส่วนเส้นสีแดงนี่คือออกทับ พื้นที่ข้างเคียงเขาก็มีปัญหาเช่นเดียวกันครับ ซึ่งได้ร่วมกลุ่มต่อสู้เหมือนกัน บางรายก็ทิ้งที่ดินไปเฉยๆ บางรายก็นานไม่ได้เงิน หรือได้เงินไม่ครบ เช็คเด้ง แต่เราร่วมกันติดตามต่อสู้มาโดยตลอด” วิทยา ยังคงจดจำรายละเอียดเขตแดนบนผืนดินของเขาได้อย่างแม่นยำ พร้อมบอกเล่าการเดินทางต่อสู้ของเขาและพี่น้องในชุมชน
นางหนูเดือน แก้วบัวขาว ภรรยาของเขา และชาวบ้านผู้ได้รับผลกระทบ ก็เป็นอีกหนึ่งกำลังสำคัญที่ยืนยันต่อสู้ตามขั้นตอนกระบวนการทางกฎหมายจนชนะคดีในที่สุด
“รู้สึกว่าดีใจ แต่ก็ยังช้าอยู่ หลังจากที่ศาลตัดสินแล้วตั้งแต่ วันที่ 21 ก.ค. 2558 ซึ่งตอนนี้ทางสำนักงานที่ดินสาขาวารินชำราบ ซึ่งเป็นผู้ถูกฟ้องเขาก็บอกว่า อยู่ในขั้นตอนกระบวนการที่เขารังวัดตำแหน่งที่ดินตามหลักฐานใบจองของเรา ที่เรานำไปฟ้องศาล เพื่อจะสรุปว่ามีการออกโฉนดในที่ดินของเรา จำนวนกี่แปลง เพื่อส่งเรื่องไปให้อธิบดีกรมที่ดิน ดำเนินตามมาตรา 61 ตามคำพิพากษาของศาลปกครอง ก็รู้สึกดีใจ หวังว่าจะเสร็จสิ้น เพราะว่าต่อสู้มานาน พ่อที่ต่อสู้มาจนล้มหายตายจากพอมาถึงรุ่นลูกก็ต่อสู้มาอีก 20 ปี
ก็รู้สึกว่าคาวามยุติธรรมยังมีอยู่ แต่ก่อนเราต่อสู้กันมา เราต่อสู้แบบที่ว่าไม่เชื่อเลยว่าความยุติธรรมจะมีอยู่จริง พอมาถึงวันนี้ เราก็รู้ว่าความยุติธรรมมีจริง พี่น้องเราที่ต่อสู้มาด้วยกันก็ได้โฉนดมาหลายรายแล้ว มีการตรวจสอบจากสำนักงานที่ดินว่านายทุนโกงชาวบ้านจริงก็สามารถออกโฉนดให้กับชาวบ้านได้ ต่อสู้ชนะศาลแพ่ง ศาลอุทธรณ์ ศาลฎีกา มีกระบวนการตรวจสอบ มีการออกโฉนดให้กับชาวบ้านหลายสิบรายแล้ว
แต่ส่วนหนึ่งมีทางนายทุนก็มาขอเจรจากับชาวบ้าน ตั้งแต่มีดีเอสไอเข้ามาตรวจสอบ แล้วมีมติว่ามีการออกโฉนดโดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ทางนายทุนก็มาเสนอคืนที่ดินให้กับชาวบ้านครึ่งหนึ่ง อีกครึ่งหนึ่งให้ชาวบ้านซื้อ ซึ่งเป็นที่ของตัวเอง ชาวบ้านบางคนต่อสู้มานานกลัวตายก่อนก็ไปทำข้อตกลงตรงนั้น โดยนายทุนให้เซ็นสัญญาไว้ว่าจะเลิกร้องเรียน แล้วให้ออกจากกลุ่มของพวกเราไป หยุดร้องเรียนเรื่องความไม่เป็นธรรม”
แม้วันนี้จะมีรอยยิ้มเกิดขึ้นที่ ต.หนองกินเพล และ ต.บุ่งหวาย ชาวบ้านหลายรายได้โฉนดที่ดินคืน และมีโอกาสได้ใช้ประโยชน์จากที่ทำกินของตัวเอง แต่ชาวบ้านหลายรายเสียชีวิตก่อนที่ความยุติธรรมนี้จะมาถึง ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับการต่อสู้ระหว่างชาวบ้านกับหน่วยงานรัฐและนายทุน
นี่เป็นอีกตัวอย่างความพยายามยืนหยัด อดทนต่อสู้ของชาวบ้านซึ่งแลกมากับวันเวลาที่ยาวนานอย่างไม่อาจประเมินค่าได้ แต่ความถูกต้องและข้อเท็จจริงที่มีอยู่ นั่นคือหลักฐานสำคัญที่ทำให้พวกเขาได้ผืนดินทำกินกลับคืนมา