มูลนิธิผสานวัฒนธรรมร้องนายกฯ ขอโทษกรณีให้สัมภาษณ์ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์อาจกระทบความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ พร้อมเรียกร้องทบทวนนโยบายการส่งกลับชาวอุยกูร์ ชี้ขัดกฎหมายในประเทศ หลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน
10 ก.ค. 2558 มูลนิธิผสานวัฒนธรรมเผยแพร่ แถลงการณ์ด่วน “รัฐบาลไม่ปฏิบัติกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของไทย ขัดกฎหมายในประเทศ หลักสิทธิมนุษยชนพื้นฐาน และเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์” กรณีที่ รัฐบาลส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่เป็นชายจำนวน 109 คน ไปยังประเทศจีน โดยการบังคับและไม่มีการแจ้งล่วงหน้า อีกทั้งนายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อสื่อมวลชนว่า “จะทำอย่างไรถ้าไม่ทำอย่างนี้จะทำแบบไหน หรือว่าจะเลี้ยงให้จนชาติหนึ่งมีลูกอีก 3 ครอกหรืออย่างไร โธ่!” โดยคำพูดดังกล่าวเป็นการแสดงความเห็นที่ไม่เคารพสิทธิมนุษยชนและเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
มูลนิธิผสานวัฒนธรรม ระบุความกังวลว่า นโยบายที่ขัดต่อหลักการสิทธิมนุษยชนขั้นพื้นฐานและคำกล่าวของนายกรัฐมนตรีอาจก่อให้เกิดความเสียหายต่อความสัมพันธ์ระหว่างประเทศ และต่อประชากรชาวมุสลิมทั่วโลก
ทั้งนี้ มูลนิธิผสานวัฒนธรรมได้เรียกร้องให้ รัฐบาลกล่าวคำขอโทษต่อชาวอุยกูร์และต่อชาวโลก และทบทวนนโยบายการส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์กลับประเทศจีน ที่ขัดทั้งกฎหมายในประเทศและกฎหมายระหว่างประเทศ รวมทั้งห้ามไม่ให้มีการส่งกลับชาวอุยกูร์จำนวน 60 คนที่ยังอยู่ในการกักตัวของทางการไทยไปยังประเทศจีน
แถลงการณ์ระบุรายละเอียด ดังนี้
แถลงการณ์ด่วน รัฐบาลไม่ปฏิบัติกฎหมายว่าด้วยการส่งผู้ร้ายข้ามแดนของไทย จากการที่รัฐบาลโดยการนำของพลเอกประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรีได้ดำเนินการส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ โดยการจำแนกหญิงและเด็กจำนวน 173 คนส่งไปยังประเทศตุรกี เมื่อวันที่ 29 มิถุนายน และส่งผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์ส่วนใหญ่เป็นชายจำนวน 109 รายเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคมส่งไปยังประเทศจีน โดยการบังคับและไม่มีการแจ้งล่วงหน้า ต่อมามีการแถลงการณ์จากกระทรวงต่างประเทศว่าเป็นรัฐบาลจีนได้เรียกร้องให้รัฐบาลไทยส่งบุคคลกลับประเทศจีน เนื่องจากบุคคลเหล่านี้อาจมีความเกี่ยวข้องกับการกระทำผิดกฎหมายในประเทศจีน ทางมูลนิธิผสานวัฒนธรรมมีความเห็น่ว่าการส่งกลับผู้ลี้ภัยชาวอุยกูร์จำนวน 109 คนกลับประเทศจีนเป็นกระทำดังกล่าวไม่เป็นการปฏิบัติตามกฎหมายส่งผู้ร้ายข้ามแดนซึ่งขัด พ.ร.บ.ส่งผู้ร้ายข้ามแดน พ.ศ. 2551 การส่งผู้ร้ายข้ามแดนโดยไม่ได้ดำเนินการขั้นตอนตามกฎหมายย่อมขัดต่อกฎหมายในประเทศซึ่งจะต้องมีการดำเนินการทางศาลในประเทศไทยโดยวิถีทางการทูตของทั้งกระทรวงต่างประเทศและสำนักงานอัยการสูงสุดของทั้งสองประเทศ อีกทั้งการส่งกลับหญิงและเด็กไปยังประเทศตุรกีและส่งกลุ่มผู้ชายไปยังประเทศจีนขัดหลักการสิทธิมนุษยชนพื้นฐานโดยอาจเป็นการแยกครอบครัวของผู้ลี้ภัยกลุ่มดังกล่าว ซึ่งเป็นการขัดต่อปฏิญญาสากลว่าด้วยสิทธิมนุษยชนข้อ 14 (1) ทุกคนมีสิทธิที่จะแสวงหา และที่จะได้อาศัยพำนักในประเทศอื่นเพื่อลี้ภัยจากการประหัตประหาร และข้อ 16 (3) ครอบครัวเป็นหน่วยธรรมชาติ และหลักมูลของสังคมและมีสิทธิที่จะได้รับความคุมครองจากสังคมและรัฐ นอกจากนี้ประเทศไทยต้องยอมรับหลักการไม่ส่งกลับ non- refoulement ที่เป็นการผลักดันให้ผู้ลี้ภัยกลับไปเผชิญภัยประหัตประหารหรือการทรมาน ปฏิบัติหรือลงโทษโดยไร้มนุษยธรรม ย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ ยิ่งไปกว่านั้นการที่นายกรัฐมนตรีได้กล่าวต่อสื่อมวลชนเมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม ในตอนท้ายของการให้สัมภาษณ์ที่เผยแพร่ทั้งภาพเสียงโดยทั่วไปว่า “จะทำอย่างไรถ้าไม่ทำอย่างนี้จะทำแบบไหน หรือว่าจะเลี้ยงให้จนชาติหนึ่งมีลูกอีก 3 ครอกหรืออย่างไร โธ่!” คำพูดดังกล่าวยังเป็นการแสดงความเห็นที่ไม่เคารพสิทธิมนุษยชนและเป็นการย่ำยีศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ |