จับพ่อเฒ่าพร้อมเครือญาติรวม 4 รายรุกที่สาธารณะ ชาวบ้านเผยที่ดินพิพาทอยู่ระหว่างแก้ปัญหากับรัฐ

จับพ่อเฒ่าพร้อมเครือญาติรวม 4 รายรุกที่สาธารณะ ชาวบ้านเผยที่ดินพิพาทอยู่ระหว่างแก้ปัญหากับรัฐ

20151611032553.jpg

รายงานโดย: ศรายุทธ ฤทธิพิณ
สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน

14 พ.ย. 2558 เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเลิงนกทา เข้าจับกุมนายอาทิตย์ สังขะศรี นายสมศักดิ์ สังขะศรี นางสาวประกาย สังขะศรี และนางพิจิตร ศรีอุบล นำตัวไปยังศาลจังหวัดยโสธร เพื่อส่งสำนวนกรณีข้อกล่าวหาบุกรุกที่สาธารณะประโยชน์โคกปออีกว้าง ต.กุดเขียงหมี อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ให้ชั้นอัยการพิจารณาคดี

อย่างไรก็ตาม เมื่อวันที่ 14 พ.ย. 2558 เจ้าหน้าที่ได้เปิดทำการเพียงครึ่งวัน ทำให้ไม่ทันต่อเวลา ประกอบกับอัยการได้ตรวจสอบสำนวนการฟ้องร้องพบว่ายังไม่สมบูรณ์ เพราะจากรายละเอียดไม่ได้ระบุถึงฝ่ายโจทก์ที่ทำการฟ้องร้องข้อหาแต่อย่างไร ทั้งนี้มีเพียงการสอบปากคำของผู้ถูกกล่าวหาเพียงเท่านั้น 

ดังนั้นเจ้าหน้าที่อัยการจึงได้ส่งกลับให้พนักงานสอบสวนไปทำสำนวนมาใหม่ให้สมบูรณ์ พร้อมกับนัดหมายกันในวันจันทร์ที่ 16 พ.ย. 2558

นายอาทิตย์ สังขะศรี อายุ 62 ปี ชาวบ้าน ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร หนึ่งในผู้ถูกคุมตัวเล่าว่า เวลาประมาณ 07.00 น. เจ้าหน้าที่ตำรวจภูธรเลิงนกทา จำนวนกว่า 4 นาย เข้ามาจับกุมตนและพี่น้องครอบครัวเดียวกันรวม 4 ราย เพื่อนำตัวไปยังศาลจังหวัดยโสธร ส่งให้พนักงานอัยการเพื่อพิจารณาสำนวนการสอบสวน 

หลังจากที่พวกตนทั้ง 4 ราย ถูกแจ้งข้อหาเข้าไปใช้ทำประโยชน์ในพื้นที่สาธารณประโยชน์โคกปออีกว้าง ต่อมาในวันที่ 19 มิ.ย.58 เจ้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเลิงนกทา ได้ออกหมายเรียก ให้เข้าพบเจ้าพนักงานสอบสวน ซึ่งครั้งนั้นพวกตนได้ขอเจ้าพนักงานเลื่อนกำหนดหมายเรียกนัดออกไปก่อน เพื่อเตรียมเอกสาร อีกทั้งพื้นที่พิพาทดังกล่าวอยู่ในระหว่างกระบวนการแก้ไขปัญหา โดยได้เลื่อนออกไปเป็นวันที่ 31 ส.ค.58 กระทั่งก่อนนัดหมายได้มีการเลื่อนออกไปเป็นวันที่ 15 ก.ย. 2558 อีกครั้ง

นายอาทิตย์ เล่าอีกว่า ช่วงระหว่างรอครบกำหนดเข้าพบพนักงานสอบสวน ได้ร่วมเดินทางเข้ายื่นหนังสือพร้อมประชุมร่วมกับหน่วยงานภาครัฐหลายครั้ง เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไขปัญหาตามนโยบาย กระทั่งได้มีหนังสือจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี (สปน.) ที่ นร 0105.04/6336 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ลงวันที่ 17 ส.ค. 2558 เรื่องขอให้ชะลอการดำเนินการใดๆ อันจะเป็นมูลเหตุให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานราชการกับราษฎร์ และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการดำเนินการใดๆ ที่จะส่งผลกระทบต่อชีวิตอันปกติสุขของประชาชน 

เมื่อได้หนังสือจาก สปน.พวกตนได้เดินทางไปยังศาลากลางจังหวัดยโสธร เพื่อขอเข้าพบผู้ว่าฯ เพื่อชี้แจงข้อเท็จจริง เมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2558 โดยปลัดจังหวัดยโสธร รับเรื่องพร้อมกล่าวว่าจะประสานไปทางอำเภอเลิงนกทา รวมทั้งพนักงานสอบสวน เพื่อร่วมกันหาแนวทางแก้ไขให้กับผู้ได้รับส่งผลกระทบความเดือดร้อน 

กระทั่งวันนี้ (14 พ.ย.58) เจ้าหน้าที่เข้ามาจับกุมพวกตนถึงที่บ้าน นำตัวขึ้นรถส่งไปยังศาลจังหวัดยโสธร เพื่อนำสำนวนส่งต่อชั้นอัยการ

ด้านนายไสว มาลัย ผู้ประสานงาน เครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) กล่าวเพิ่มเติมว่า พื้นที่พิพาทที่สาธารณประโยชน์โคกปออีกว้าง ประกาศทับที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของชาวบ้านในช่วงปี 2541 หลังจากองค์การบริหารส่วนตำบลกุดเชียงหมี ฟ้องดำเนินคดีนายชู สังขะศรี และพวกรวม 4 ราย ข้อกล่าวหาบุกรุกที่สาธารณประโยชน์โคกปออีกว้าง 

ในขณะนั้นนายชูได้เสียชีวิตลงในระหว่างเข้าสู่กระบวนการพิจารณาศาลชั้นต้น ต่อมาเมื่อปี 2545 ศาลพิพากษาคดีถึงที่สุดให้นายชู สังขะสี กับพวก พร้อมบริวารออกจากพื้นที่ นับแต่นั้นผู้เดือดร้อนไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ดินทำกินได้มาเป็นเวลาหลายปี โดยจำเลยที่เหลือ ซึ่งเป็นบุตรของนายชู ได้ออกจากพื้นที่ดินทำกินไปแล้ว และไม่ได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินอีก ขณะเดียวกันผู้เดือดร้อนได้มีกระบวนการเรียกร้องสิทธิเพื่อให้หน่วยงานภาครัฐเข้ามาดำเนินการแก้ไขปัญหาให้ตามนโยบายของรัฐบาลมาโดยตลอด

ผู้ประสานงาน คปอ.กล่าวเพิ่มอีกว่า เหตุที่นายอาทิตย์ได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินเพราะเห็นว่า ได้มีการประชุมคณะทำงานเร่งรัดติดตามผลการดำเนินงาน กรณีที่สาธารณประโยชน์ทับซ้อนที่ดินทำกินและที่อยู่อาศัยของราษฎร และการออกหนังสือแสดงสิทธิในที่ดินโดยมิชอบ เมื่อวันที่ 23 ม.ค. 2558 ณ ห้องประชุม 1 ชั้น 6 ศูนย์ราชการเฉลิมพระเกียรติ 80 พรรษา กรมที่ดิน ระหว่างตัวแทนองค์กรภาคประชาชนจากทุกภูมิภาคในนามขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) กับรัฐบาล พร้อมหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง 

ที่ประชุมมีมติว่า การดำเนินการใดๆ ต้องไม่ส่งผลกระทบต่อวิถีชีวิตอันปกติสุขของประชาชน และให้สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินได้ไปพลางก่อนจนกว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาจะมีผลเป็นที่ยุติ

“เมื่อเป็นเช่นนั้น ผู้เดือดร้อนเชื่อมั่นตามนโยบายของภาครัฐจากที่ประชุมครานั้นว่าจะสามารถแก้ไขปัญหาให้กับประชาชนผู้ทุกข์ยากได้แล้ว จึงเข้าไปใช้ทำประโยชน์ในที่ดินทำกินด้วยการปลูกข้าว ต่อมากลับถูกแจ้งความในข้อกล่าวหา และเจ้าพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรเลิงนกทา ได้ออกหมายเรียก ให้บุคคลทั้ง 4 ราย เข้าพบเจ้าพนักงานสอบสวน” 

“ทุกขั้นตอนพวกเราล้วนดำเนินไปตามแนวทางการแก้ไขตามนโยบาย ท้ายที่สุดปัญหาที่ควรจะได้รับการแก้ไขเพื่อคลายความเดือดร้อน เพิ่มความปกติสุขในการดำเนินชีวิตให้กับชาวบ้าน กลับไม่มีความชัดเจนในการปฏิบัติของภาครัฐแต่อย่างไร ตรงกันข้ามประชาชนต่างได้รับความทุกข์หนักเพิ่มขึ้นอีกหลายเท่าตัว ดังเช่นกรณีของชาวบ้านกุดเชียงหมี ที่ถูกแจ้งข้อกล่าวหา ทั้งๆ ที่ในพื้นที่พิพาทอยู่ในช่วงระหว่างการแก้ไขปัญหา” ผู้ประสานงาน คปอ.กล่าว

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ