นายอำเภอปรางค์กู่รับประสานต่อที่ดิน – อบต.ให้ชะลอโครงการขุดลอกคลอง และชะลอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาให้กับผู้เดือดร้อน ด้านคดีบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ปออีกว้าง จ.ยโสธร พนักงานสอบสวนเลื่อนนักหมายเรียกไปเป็นวันที่ 15 ก.ย.58 นี้
รายงานโดย: ศรายุทธ ฤทธิพิณ
สำนักข่าวปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน
3 ก.ย. 2558 ตัวแทนผู้เดือดร้อนเข้ายื่นหนังสือต่อนายอำเภอปรางค์กู่ เรียกร้องให้ประสานงานหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อให้ยุติการดำเนินการกรณีนายกฯ อบต.สำโรงปราสาท อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ จะดำเนินการขุดลอกคลองกั้นแนวรอบที่สาธารณประโยชน์โคกป่าแดง (หนองตาเปียง) ตามงบประมาณปี 2559 ซึ่งจะมีผลบังคับใช้ในวันที่ 1 ต.ค. 2558 นี้
นอกจากนี้ยังติดตามหนังสือจากสำนักปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร 0105.04/6338 ลงวันที่ 17 ส.ค. 2558 เรื่อง ขอให้ชะลอการดำเนินการใดๆ อันจะเป็นมูลเหตุให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานราชการกับราษฎร ตามแนวทางแก้ไขปัญหาร่วมกันระหว่างรัฐบาลกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ)
หมอน ศิริเลิศ ตัวแทนชาวบ้านศรีเมืองใหม่ ม.16 ต.สำโรงปราสาท อ.ปรางค์กู่ จ.ศรีสะเกษ กล่าวว่า ก่อนหน้านี้ เมื่อวันที่ 25 ส.ค. 2558 ตัวแทนผู้เดือดร้อนได้ไปยื่นหนังสือที่สำนักงานที่ดินจังหวัดศรีสะเกษ สำนักงานที่ดินสาขาปรางค์กู่ องค์การบริหารส่วนตำบลสำโรงปราสาท และที่ศูนย์ดำรงธรรมจังหวัดศรีสะเกษ รวมทั้งติดตามหนังสือจากคำสั่งสำนักงานสำนักปลัดนายกรัฐมนตรี ที่แจ้งมายังหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง โดยหน่วยงานต่างๆ ที่เราได้เดินทางไปติดตามความคืบหน้า รวมทั้งที่ศูนย์ดำรงธรรมแจ้งว่ายังไม่ได้รับหนังสือดังกล่าว อย่างไรก็ตามได้รับปากว่าหากได้รับแล้วจะประสานต่อไปยังหน่วยงานที่เกี่ยวข้องโดยทันที มาถึงวันนี้กลับเงียบหายไปหลายวัน ไม่ทราบว่ามีความชัดเจนอย่างไรบ้าง จึงได้ร่วมกันมายื่นหนังสือต่อนายอำเภอ
ตัวแทนชาวบ้านศรีเมืองใหม่ กล่าวด้วยว่า ผลจากการยื่นหนังสือและร่วมกันชี้แจงข้อเท็จจริงในวันนี้ นายอารยันต์ ท่าใหญ่ นายอำเภอปรางค์กู่ รับปาก พร้อมแจ้งว่าจะประสานต่อไปยังเจ้าพนักงานที่ดิน รวมทั้งทาง อบต.ให้ชะลอโครงการขุดลอกคลอง และชะลอการออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงตามที่พี่น้องราษฎรร้องขอ เพื่อร่วมแก้ไขปัญหาให้กับผู้เดือดร้อน เป็นการต่อไป
หมอน กล่าวอีกว่า เพราะพวกเราคือผู้เดือดร้อน หากไม่เข้ามาร่วมกันติดตาม อีกทั้งเจ้าหน้าที่ยังไม่มีท่าทีที่จะประสานมา และด้วยความทุกข์ร้อนและกังวลใจต่อโครงการขุดคลองที่จะมีผลบังคับวันที่ 1 ต.ค.58 ซึ่งแน่นอนว่าจะส่งผลกระทบทับที่ดินทำกิน ที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน เท่ากับว่าเป็นการไล่รื้อผลอาสิน บ้านเรือนที่พวกเราอยู่อาศัยตกทอดมานับแต่บรรพบุรุษก็จะกลายเป็นผู้ไม่มีที่ดินทำกินอีกต่อไป
หมอน กล่าวว่า นายก อบต.สำโรงปราสาท มีความชัดเจนที่จะเดินหน้าขุดลอกคลอง ตามงบประมาณปี 2559 โดยไม่สนปัญหาการทับที่ทำกินที่อยู่อาศัยของชาวบ้าน ทั้งอ้างอีกว่ารัฐบาลมีนโยบายชะลอการขุดลอกคลอง ตามมติการประชุม เมื่อ 7 ต.ค. 2557 ระหว่างขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) กับสำนักปลัดสำนายกรัฐมนตรี ที่ มล.ปนัดดา ดิสกุล เป็นประธาน สามารถใช้ได้เพียงปีเดียว ซึ่งปีนี้อยู่ในส่วนการตั้งงบประมาณปี 2559 พร้อมจะดำเนินการขุดแน่นอน จะไม่ยอมถอยให้กลุ่มผู้เดือดร้อนอีกต่อไป พวกเราจึงต้องมาร่วมกันคัดค้านการขุดคลองในที่ดินกรณีปัญหาดังกล่าว
ผู้สื่อข่าวรายงานเพิ่มเติมว่า กรณีดังกล่าว สืบเนื่องจาก เมื่อวันที่ 11 ส.ค.58 นายกองค์การบริหารส่วนตำบลสำโรงปราสาท นำร่างข้อบัญญัติงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2559 โดยเสนอโครงการขุดคลองรอบที่สาธารณประโยชน์โคกป่าแดง ซึ่งเป็นพื้นที่พิพาทที่ราษฎรอาศัยอยู่ นอกจากนี้ยังทำหนังสือถึงนายอำเภอ และที่ดินอำเภอเพื่อออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง (นสล.)ทับโฉนดที่ดิน และ ส.ค.1 ของชาวบ้านที่ยังไม่ออก นสล. ขณะนี้อยู่ระหว่างจังหวัด/อำเภอ ทำหนังสือประสานอธิบดีกรมที่ดินเพื่อเพิกถอนโฉนด และออก นสล.
ก่อนหน้านั้น เมื่อ 30 มิ.ย. 2558 นายก อบต.สำโรงปราสาท รวมทั้งนายอำเภอปรางค์กู่ ได้มีหนังสือถึงที่ดินอำเภอปรางค์กู่ เพื่อขอให้ออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวงทับที่ดินโฉนดและที่ดิน สค.1 ซึ่งเป็นที่ดินของราษฎรผู้เดือดร้อน ที่ยังไม่เพิกถอน ปัจจุบันอยู่ระหว่างประสานอธิบดีกรมที่ดินเพื่อออก นสล.
พื้นที่พิพาทดังกล่าว ปัญหาเริ่มก่อตัวขึ้น เกิดจากความพยายามที่จะออกหนังสือสำคัญสำหรับที่หลวง โดยช่วงนั้นได้มีหนังสือคำสั่งอำเภอที่ 357/2539 แต่งตั้งคณะกรรมการชี้แนวเขต โดยได้ทับรวมเอาที่ดินทำกินของชาวบ้านและที่มีเอกสารสิทธิเข้าไปด้วย ทั้งที่ได้มีการวัดแนวเขตร่วมกัน และปักเสารั้วเป็นที่ชัดเจน และชาวบ้านได้ใช้ประโยชน์ในพื้นที่มาแต่สมัยบรรพบุรุษ จนบางพื้นที่ได้มีการออกเอกสารสิทธิให้แล้ว
นอกจากนี้เมื่อปี 2551 ยังได้มีการเพิกถอนเอกสารสิทธิชาวบ้าน ทั้งๆ ที่ชาวบ้านได้ถือครองประโยชน์ทำมาหากินมาแต่ก่อน ต่อมาได้อาศัยช่วงหลังการทำรัฐประหาร โดยคำสั่ง คสช.ที่ 64 /57 เข้ามาทำการขับไล่ชาวบ้านให้ รื้อถอน สิ่งปลูกสร้าง และอพยพออกจากพื้นที่ แม้กระบวนการแก้ไขปัญหาชาวบ้านจะร่วมกันผลักดันเพื่อให้เกิดความเป็นธรรม กระทั่งมีมติ ให้ชะลอการไล่รื้อและยุติดำเนินการใดๆ ที่จะก่อให้ชาวบ้านได้รับผลกระทบ มาถึงวันนี้ ก็ยังไม่เป็นที่ยุติแต่อย่างไร
ทั้งนี้ รายงานข่าวแจ้งความคืบหน้า จากเมื่อวันที่ 27 ส.ค. 2558 ตัวแทนเครือข่ายปฏิรูปที่ดินภาคอีสาน (คปอ.) โดยนายไสว มาลัย นางถาวร ธนสิงห์ ได้ขอเข้าพบผู้ว่าจังหวัดยโสธร เพื่อร่วมชี้แจงข้อเท็จจริง พร้อมขอความธรรม กรณีนายอาทิตย์ สังขะสี อายุ 62 ปี ชาวบ้าน ต.กุดเชียงหมี อ.เลิงนกทา จ.ยโสธร ถูกพนักงานสอบสวนสถานีตำรวจภูธรอำเภอเลิงนกทา ออกหมายเรียกเข้าพบในวันที่ 31 ส.ค.58 กรณีองค์การบริหารส่วนตำบลกุดเชียงหมี แจ้งความดำเนินคดีพร้อมกับพวกรวม 4 ราย ข้อกล่าวหาบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ปออีกว้าง
สืบเนื่องจากพื้นที่พิพาทดังกล่าวอยู่ในระหว่างกระบวนการแก้ไขปัญหา อีกทั้งมีหนังสือจากสำนักงานปลัดสำนักนายกรัฐมนตรี ที่ นร 0105.04/6336 ถึงผู้ว่าราชการจังหวัดยโสธร ลงวันที่ 17 ส.ค.2558 เรื่องขอให้ชะลอการดำเนินการใดๆอันจะเป็นมูลเหตุให้เกิดปัญหาความขัดแย้งระหว่างหน่วยงานราชการกับราษฎร และขอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องยุติการดำเนินการใดๆ กับนายอาทิตย์ และพวก
ตามที่ตัวแทน คปอ.เดินทางเข้าพบเพื่อยื่นหนังสือ และร่วมชี้แจงต่อผู้ว่าฯ ยโสธร ทั้งนี้ปลัดจังหวัดยโสธร เป็นตัวแทนรับเรื่องพร้อมชี้แจงว่าได้รับหนังสือแจ้งดังกล่าวเป็นที่เรียบร้อยแล้ว และกำลังดำเนินการประสานไปยังนายอำเภอเลิงนกทา รวมทั้งพนักงานสอบสวน เพื่อเป็นแนวทางแก้ไขไม่ให้ส่งผลกระทบต่อความเดือดร้อนอันปกติสุขของประชาชน ล่าสุด เมื่อวันที่ 1 ส.ค. 2558 ได้รับแจ้งจากนายอาทิตย์ ว่า ตามกำหนดที่เจ้าพนักงานสอบสวนแจ้งหมายเรียกในวันที่ 31 ส.ค. 2558 นี้ ได้เลื่อนนัดไปเป็นวันที่ 15 ก.ย. 2558 นี้
สำหรับกรณีที่ดินพิพาทของนายอาทิตย์ และพวกรวม 4 รายนั้น เป็นครอบครัวเดียวกัน ได้รับตกทอดมาจากบิดา คือนายชู สังขะศรี ซึ่งเสียชีวิตแล้ว โดยได้รับความเดือดร้อนไม่สามารถเข้าทำประโยชน์ในพื้นที่ได้ จึงเรียกร้องต่อรัฐบาลให้แก้ไขปัญหาตามนโยบายของรัฐบาล ผลการเรียกร้องระหว่างรัฐบาลกับขบวนการประชาชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (พีมูฟ) เมื่อ 23.ม.ค. 2558 นั้น ได้มีมติว่าการดำเนินการใดๆต้องไม่ส่งผลกระทบต่อวิถีอันปกติสุขของประชาชน และให้สามารถใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินได้ตามปกติสุขไปพลางก่อน จนกว่ากระบวนการแก้ไขปัญหาจะมีผลเป็นที่ยุติ
กระทั่งนายอาทิตย์และพวก จึงได้เข้าไปใช้ประโยชน์ในที่ดินทำกินเดิมของบิดา โดยทำนาข้าว ตามปกติสุข ท้ายที่สุดกลับมาถูกกล่าวหาบุกรุกที่สาธารณประโยชน์ และมีหมายเรียกจากพนักงานสอบสวน ดังกล่าว