ไส้เดือนตาบอดในประเทศไร้ความทรงจำ

ไส้เดือนตาบอดในประเทศไร้ความทรงจำ

 

IMG_1209

เรื่อง: กองบรรณาธิการ ภาพ: ณัฐกานต์ อมาตยกุล

ย่อหน้าสุดท้ายในคำนำผู้เขียน วีรพร นิติประภา บอกกล่าวกับผู้อ่านนวนิยาย ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต ว่า เธอเขียนประโยคแรกในวันที่มหานครดิ่งด่ำลงในมืดดำควันไฟและหยาดเลือดไหลนอง ท่ามกลางเสียงทอดถอนใจโล่งอกที่กลบฝังสามัญสำนึกให้ตายลงทั้งเป็นไปอย่างช้าๆ…

หม่นมืด ทว่าแสดงถึงจุดลึกสุดของนวนิยายชื่อดังเล่มนี้

“เราเป็นคนที่ผ่านเหตุการณ์ 14 ตุลา และพฤษภาทมิฬมาก่อน พอเหตุการณ์มันเวียนมาเกิดขึ้นอีก ก็รู้สึกว่าจะเอาอีกแล้วเหรอ รู้สึกเหมือนตาบอด รู้สึกเหมือนวกวน”

ไม่ได้เป็นคนที่สนใจการเมืองเป็นพิเศษ โดยส่วนตัวแล้ว เธอให้ค่ากับความเป็นมนุษย์มากกว่า

ความเป็นมนุษย์ที่ก่อเกิดเรื่องเล่าสะท้อนความรัก ความขัดแย้ง และความร้าวรานของตัวละคร

01.

เเรงผลักหนึ่งในการเขียน ไส้เดือนตาบอดในเขาวงกต คือความขัดแย้งทางการเมือง ที่ทำให้คุณเกิดคำถามว่าทำไมเราถึงต้องเจอเหตุการณ์วนเวียนซ้ำซาก กระทั่งวินาทีนี้ ก็ยังมีคนพยายามสร้างความเกลียดชังให้เกิดขึ้น โดยส่วนตัวแล้ว คุณคิดว่าทำไมเราถึงไม่เคยเรียนรู้จากอดีตที่เจ็บปวด

ต้องบอกก่อนว่าไม่ได้ติดใจเรื่องความขัดแย้ง การฆ่าแกงแก่งแย่ง แม้เป็นเรื่องเจ็บปวดแต่ก็เกิดขึ้นเสมอๆ การยอมรับได้ของคนต่างหาก… ที่มันร้าวราน คนดีๆ เฉลียวฉลาด มีศีลธรรม ทำบุญไถ่วัวไถ่ควาย นั่งกรรมฐาน…

แล้วก็ไม่เพียงแค่ยอมรับเท่านั้น แต่ยังถึงขั้นพึงพอใจ… โล่งอก มันเป็นไปไม่ได้ สมองคนทำงานแบบนี้ไม่ได้ นั่นวิกลจริตแล้ว คนนี้ตาย… ดี คนนั้นตาย… ไม่ดี คนตายก็คือ ‘คน’ ตาย ไม่ว่าคนคนนั้นจะใส่เสื้อสีดำหรือสีขาว คนใส่เสื้อดำถูกฆ่าก็ต้องยอมรับไม่ได้ ใส่เสื้อขาวตายก็ต้องรับไม่ได้ ตายป็นร้อยเป็นพันก็ต้องยอมรับไม่ได้ ตายหนึ่งคนก็ต้องยอมรับไม่ได้ เป็นญาติก็ยอมรับไม่ได้  ไม่ใช่ลูกหลานพี่น้องก็ต้องยอมรับไม่ได้

และหลังจากมีคนตายมากมายหลายครั้งหลายหน มันไม่เคยทำให้อะไรดีขึ้น ผ่านมาหลายสิบปี เราก็ยังปล่อยให้มันเกิดขึ้นอีก ยังยอมรับได้อีก นี่เท่ากับขุดศพคนตายมาฆ่าซ้ำอีก และอีก นี่มันเป็นโลกแบบไหนกัน

ประเด็นที่ยกมาในไส้เดือนฯ คือมายาคติ และความกระพร่องกระแพร่งของคน แน่นอนว่าไม่ใช่ทั้งหมด มันมีเรื่องอื่นๆ อีกและซับซ้อนกว่านี้มาก เขียนในนิยายเล่มเดียวไม่ได้หมด แต่ที่รู้สึกคือเราเป็นประชากรที่เปราะบาง เราไม่ถูกสอนให้คิดด้วยตัวเอง เราขาดรัก ต้องการการยอมรับ ทำอะไรตามๆ กัน… นั่นเป็นส่วนหนึ่ง

อีกส่วนคือเราเป็นประเทศไร้ความทรงจำ มีตัวละครหลักในไส้เดือนฯ คนหนึ่งพยายามลืมจนความจำเสื่อม  แต่เพราะคนเราลืมชีวิตตัวเองไม่ได้หมด ตอนท้ายเขาก็กลับไปตามหาสิ่งที่ตั้งใจลืมให้ได้ตั้งแต่ต้นอีก เราลบประวัติศาสตร์ให้เป็นอย่างที่เราต้องการ 100 เปอร์เซ็นต์ไม่ได้ เหตุการณ์ A ทำให้เกิดเหตุการณ์ B และ C คุณลบ B / C ออกแล้วมา D เลย เศษซากแตกๆ เป็นกระบิๆ เป็นผงเป็นตะกอนขาดๆ เกินๆ นั่นแหละ ที่ทำให้เราไม่สามารถเรียนรู้จากอดีตได้ หนำซ้ำความไม่สมเหตุสมผล ไม่สอดคล้องนั่นยังรวนสมองทำให้ฟั่นเฟือนไปกันใหญ่

02

ทุกวันนี้ เวลาติดตามข่าวสารบ้านเมือง ข่าวแบบไหนกระทบจิตใจคุณมากที่สุด แล้วมีคำอธิบายกับตัวเองอย่างไร

น่าจะเป็นเรื่องฟั่นเฟือนวิกลจริตนี่แหละค่ะ (หัวเราะ) เรื่องบางเรื่องคุณตีโพยตีพายต่อต้านเอาเป็นเอาตาย แต่จู่ๆ อีกคนทำ เรื่องเดียวกัน เหมือนกันทุกอย่าง คุณกลับอวยชัยให้พร มันเศร้ามาก ไม่แค่ว่ามันบ่งบอกถึงการสูญเสียตรรกะในระดับที่น่ากลัว บางครั้งยังเลือดเย็นจนเรารู้สึกว่า แม้แต่ความเป็นมนุษย์ก็ถูกทำลายไปไม่เหลือ ไม่มีคำอธิบายให้ตัวเองหรือใครหรอกค่ะ อยากมี อยากมาก แต่ไม่มี

03

โดยส่วนตัวมองคำว่าอุดมการณ์อย่างไร รู้สึกอย่างไรเวลาที่เห็นผู้คนออกมาทำบางสิ่ง แล้วเอ่ยอ้างคำคำนี้

เฉยๆ ค่ะ ไม่ได้คิดถึงคำคำนี้มานานแล้ว จริงๆ เป็นคนไม่ค่อยสนใจการเมืองเท่าไหร่นัก สนใจความเป็นมนุษย์มากกว่า อุดมการณ์ของคนบางคนอาจเป็นการสะสมกระเป๋าหลุยส์ บางคนคือการเลี้ยงพ่อเลี้ยงแม่… ดูแลครอบครัว บางคนก็ดิ้นรนเพื่อบ้านเมืองที่ดีกว่า บางคนบูชาแมว คลั่งรัก อนุรักษ์ป่า คุณบอกไม่ได้หรอกว่าอันไหนจริงแท้ อันไหนยิ่งใหญ่กว่ากัน จะอ้างอะไรก็ตามใจ ขอให้เชื่ออย่างนั้นจริงๆ ก็แล้วกัน

เพียงแต่… อย่างที่ว่า คุณต้องบ้าแน่ๆ ถ้าวันก่อนหน้าคุณทุ่มเททุกบาททุกสตางค์ที่หาได้รับเลี้ยงแมวจรจัด 300 ตัวมาบูชา แล้วมาวันนี้คุณกลับฆ่าแมวทั้งเมืองอย่างป่าเถื่อนกินเป็นอาหาร

04

เคยให้สัมภาษณ์ว่า คอนเซ็ปต์หนึ่งของไส้เดือนตาบอดในเขาวงกตคือ การนำเสนอว่าคนเราเป็นในสิ่งที่เราไม่ได้เป็น ใช้ชีวิตในแบบที่เราไม่ได้อยากใช้ เชื่อในสิ่งที่เราไม่ได้เชื่อ อะไรถึงทำให้คุณมั่นใจว่าคนเราสามารถเป็นแบบนั้นได้ คุณไม่เชื่อในวิจารณญาณส่วนบุคคลหรือ

ไม่ได้มั่นใจนะคะ ไม่ใด้ไม่เชื่อวิจารณญาณของคน แค่ตั้งคำถาม เป็นไปได้ไหม ที่วิจารณญาณไม่ใช่ตรรกะบริสุทธิ์ เป็นไปได้แค่ไหนที่สิ่งหนึ่งเป็นผลของสิ่งอื่นๆ ที่ไม่เกี่ยวกันเลย ไม่ใช่แค่อย่างเดียวแต่หลายๆ อย่าง วาวแดดในวินาทีนั้น ความรู้สึก บรรยากาศ ไซด์เอฟเฟ็กต์จากยาที่คุณกิน กลิ่นหมูปิ้งที่ลอยมา หนังที่คุณดู

ไม่เคยสงสัยเหรอคะ เราได้งานทำเพราะเจ๋งกว่าคนอื่นอีก 100 คนที่มาสัมภาษณ์ หรือว่าเราอาจมีรอยยิ้มละม้ายคล้ายแฟนเก่าผู้สัมภาษณ์ เราเกลียดคนคนนั้นเพราะว่าเขาขี้โกงจริงๆ หรือว่าเขาดันมีหน้าตาคล้ายๆ แป๊ะขายของเก่าที่โกงตาชั่งเราไป 5 บาทเมื่อ 10 ปีก่อน เราเจ็บปวดปางตายกับการที่แฟนไม่โทรหาตอนบ่าย 3.24 นาทีจริงๆ หรือว่าเพลงรักหวานเศร้าที่เขียนจากชีวิตขมๆ ล่มสลายของคนตายไป 200 ปีที่เพิ่งฟังทำให้เราเจ็บ

ถามค่ะถาม ไส้เดือนฯ ไม่ได้ถูกเขียนให้เป็นคำตอบ มันเขียนขึ้นเพื่อถามคำถามต่างหากค่ะ

05

เวลามีนักอ่านมาตกหลุมรักคุณมากๆ เกิดความไม่มั่นคงทางอารมณ์บ้างไหม อย่างกลัวจะสูญเสียบางอย่างไป

ตกหลุมรักนี่ฟังดูยิ่งใหญ่มากนะคะสำหรับคนเขียนหนังสือ ยังไม่เคยเจอนะคะคนอ่านอ่อนไหวระดับพระกาฬประมาณนั้น เจอแต่บอกว่าชอบ ชอบมาก นับตามยอดขาย มีคนอ่านไส้เดือนฯ ไม่มากหรอกค่ะ ไม่กี่พัน เทียบกับผู้อ่านออกเขียนภาษาไทยได้ 50 ล้าน เด็กอ่านหนังสือไม่แตกกับคนแก่หูตาฝ้าฟางไม่นับ คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ก็น่าจะราวๆ 0.01 เอ่อ… นี่มันไม่ได้ทำให้อีโก้พองโตพอจนรู้สึกมั่นคงหรือไม่มั่นคงอะไรเลยนะคะ แทบไม่มีอะไรให้ต้องกลัวสูญเสีย หรือกดดัน เราก็แค่ทำต่อ ไปต่อ

งานเขียนก็เหมือนกับงานศิลปะอื่นๆ จนถึงตอนคุณจบประโยคสุดท้าย ถอนหายใจเบาๆ หนึ่งที จุดบุหรี่สูบ นั่งดูพระอาทิตย์ขึ้น ชั่วขณะนั้นมันจะแบบ… นิ่ง สุขสงบ อธิบายยาก ปีติคล้ายบรรลุธรรมอะไรสักอย่าง  ประมาณนั้น (หัวเราะ) มันเป็นอภิสิทธิ์ของคนทำงานด้านนี้ ดีงามจนคุณโขลกรัวไปได้ชั่วชีวิตเพื่อจะไปให้ถึงตรงนั้น ที่เหลือ…จะได้พิมพ์ ขายได้ มีคนอ่าน ชื่อเสียง แฟนคลับ ทุกอย่างล้วนเป็นของแถม

คนอ่านมารัก… ก็รักคนอ่านตอบสิคะ ทำสติกเกอร์ติดท้ายรถ… รักคนอ่าน ขอบคุณที่รักกัน ไม่ก็… รักกันหนักมากกก

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ