เรื่อง: กรประชา ทองไทย ภาพ: เริงฤทธิ์ คงเมือง
ภาพเหล่านี้แพร่กระจายไปในสังคมอย่างกว้างขวาง สะท้อนเรื่องราวของชาวบ้านกลุ่มเล็กๆและห่างไกลในจังหวัดขอนแก่น ที่ลุกขึ้นมาต่อสู้กับบริษัทนายทุนข้ามชาติ โดยมีทหาร ตำรวจ และหน่วยงานทางปกครองของรัฐให้การสนับสนุน ซึ่งเป็นการประสานความร่วมมือระหว่างรัฐที่มีกฎหมายเป็นเครื่องมือ และกลุ่มนายทุนที่มีอำนาจเงินมากมายมหาศาล ขณะที่อีกฝ่ายหนึ่งคือ ชาวบ้านมีเพียงสองมือเปล่าและจิตใจที่รักและหวงแหนผืนแผ่นดินเกิด เพื่ออนาคตที่ดีของลูกหลาน ขณะเดียวกันชาวบ้านก็ไม่มีสิทธิ เสรีภาพ ที่รัฐธรรมนูญรับรองให้ตามระบอบประชาธิปไตย
อย่างไรก็ตาม แม้การต่อสู้ครั้งนี้รัฐและทุนจะได้เปรียบและชาวบ้านเสียเปรียบ แต่ชัยชนะไม่อาจตัดสินด้วยคู่ขัดแย้งทั้งสองฝ่าย ผู้ที่มีหน้าที่ให้ความเป็นธรรมและตัดสินก็คือประชาชนในสังคม ไม่ใช่เพราะสังคมนั้นมีความยุติธรรมแต่หน้าที่นั้นคือหน้าที่แห่งความเป็นมนุษย์
ภาพที่ปรากฏออกไปสู่สังคมคือ ชาวบ้านนั่งคุกเข้าพนมมือ สวดมนต์แผ่เมตตา ต่อหน้าองครักษ์พิทักษ์นายทุน ซึ่งสามารถสะท้อนเรื่องราวในสังคมได้มากมาย ด้านหนึ่งดูเหมือนว่าชาวบ้านสยบยอมหมอบราบให้แก่อำนาจรัฐและอำนาจทุน ขณะเดียวกันก็สะท้อนให้เห็นว่าอำนาจอันไม่ชอบธรรมภายใต้กฎอัยการศึกนั้นยิ่งใหญ่คับฟ้าเพียงใด หรือแสดงให้เห็นว่าอำนาจทุนที่พร้อมจะยื่นผลประโยชน์ให้แก่รัฐ ไม่ว่าจะเป็นรัฐประชาธิปไตยหรือรัฐเผด็จการ แต่ประชาชนตาดำๆ คือผู้ได้รับผลกระทบเสมอ
ทว่า “เมื่อความอยุติธรรมกลายเป็นกฎหมาย การต่อต้านจึงกลายเป็นหน้าที่” ดังนั้น การต่อสู้ของชาวบ้านกลุ่มเล็กๆในชนบทห่างไกล คือ สายธารเดียวกันกับการต่อสู้เพื่อสิทธิ เสรีภาพ และประชาธิปไตย ของปัญญาชนในเมืองหลวง ภาพที่ชาวบ้านยืนกันสามคน “ปิดหู ปิดตา ปิดปาก” ห้อยป้าย “อยู่เฉยๆก็โดน” แสดงให้เห็นชัดในข้อนี้
การเคลื่อนไหวต่อสู้ของชาวบ้านนามูล-ดูนสาด นับตั้งแต่การขนย้ายอุปกรณ์เครื่องจักรขุดเจาะ เมื่อวันที่ 13 ก.พ. 2558 เป็นต้นมา ชาวบ้านที่นั่นต้องสละเวลาทำมาหาเลี้ยงชีพ ต้องละทิ้งไร่สวน ไร่นา มาชุมนุมบริเวณสี่แยกที่ขบวนขนวิ่งผ่าน ต้องตื่นแต่เช้าทุกวันขณะที่กิจวัตรประจำวันในครัวเรือนยังไม่เสร็จสิ้น
เช้าตรู่วันที่ 15 กุมภาพันธ์ 2558 ขบวนขนอุปกรณ์รอบที่ 2 ก็เข้ามาอีกครั้ง พร้อมด้วยกองกำลังชาวบ้านโพกหน้าเข้ามาสกัดไม่ให้ชาวบ้านขัดขวาง ตามมาด้วยรถตำรวจ ทหาร และเจ้าหน้าที่ฝ่ายปกครอง เข้ามาตรึงกำลังเต็มสองข้างถนน ชาวบ้านต้องหลบอยู่ข้างถนนเพราะไม่สามารถเข้าไปในถนนได้ เช้าวันนั้นเป็นเช้าที่มืดมนเหลือเกินสำหรับชาวบ้าน แสงตะวันไม่ส่องแสงมา บนท้องฟ้าเมฆฝนเริ่มตั้งเค้า เป็นเช้าที่ต้องตื่นขึ้นมาพบกับความโหดร้าย
ชาวบ้านไม่สามารถทำอะไรได้ นอกจากการหลั่งน้ำตา ร้องตะโกนด้วยความเจ็บปวดใจ พร้อมกับคุกเข่าพนมมือสวดมนต์ และกราบลงแทบเท้าแผ่นดินเกิด ขอขมาแม่ธรณี หลวงปู่ดงมูน และเจ้าพ่อคลองไทร ที่ลูกหลานไม่สามารถปกป้องแผ่นดินของบรรพบุรุษได้ และขบวนรถขนอุปกรณ์ก็ค่อยๆเ คลื่อนไปต่อหน้าต่อตา ชาวบ้านร้องไห้ไป สวดมนต์ไป บางคนเอาคำข้าวเหนียวไปป้อนเหล่าองครักษ์พิทักษ์นายทุน เพื่อที่จะบอกว่า “คำข้าวนี้แหละที่หล่อเลี้ยงชีวิตพวกเราและลูกหลานพวกเราสืบไป ไม่ใช่บ่อก๊าซและสารพิษที่พวกนายทุนนำมา”
พวกนั้นได้แต่เม้มปาก ก้มหน้ามองดิน ราวกับว่าอายฟ้าอายดินและควรละอายต่อเพื่อนมนุษย์ด้วย หากว่ายังมีความเป็นมนุษย์หลงเหลืออยู่
เมื่อกองกำลังของบริษัทนายทุนอ้างว่าปฏิบัติตามคำสั่งนาย แต่ชาวบ้านกลุ่มอนุรักษ์สิ่งแวดล้อมนามูล-ดูนสาด ปฏิบัติตามคำสั่งที่สูงส่งกว่านั้น นั่นคือ “คำสั่งจากจิตสำนึกรู้ผิด ชอบ ชั่ว ดี ของมนุษย์” ชาวบ้านมีจิตใจที่ห้าวหาญและเข้มแข็งพอที่จะไม่ใช้กำลังกับฝ่ายหนึ่งซึ่งเปรียบเหมือนศัตรู หากแต่ให้ความรักในฐานะเพื่อนมนุษย์ด้วยกัน ชาวบ้านไม่ได้เหยียบย่ำความเป็นมนุษย์ของฝ่ายตรงข้ามลง แต่ได้คืนความเป็นมนุษย์ให้ด้วยจิตใจอันบริสุทธิ์
พลังการต่อสู้ที่ยิ่งใหญ่ของชาวบ้าน คือ พลังที่มาจากใจ แปรเปลี่ยนเป็นกระสุนอันทรงพลังเพื่อตัดขั้วหัวใจของคนที่กดขี่ตน