จุดยืนของ หอการค้า จ.กระบี่และองค์เอกชนที่สำคัญๆของจ.กระบี่(สภาอุตฯ จ.กระบี่/สภาอุตฯท่องเที่ยว จ.กระบี่/สมาคมธุรกิจท่องเที่ยว จ.กระบี่/สมาคมประมง จ.กระบี่/ชมรมท่องเที่ยว เกาะพีพี/ สมาคมคนรักเล/ชมรมค้าส่งค้าปลีก จ.กระบี่/ ฯลฯ
1. “เราไม่เคยมอง กฟผ. เป็นศัตรู”
เพราะ กฟผ. เป็นเพียงผู้สนองนโยบาย แต่ผู้กำหนดนโยบายควรเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับประเทศและประชาชนคนไทย โดยปราศจากอคติ ผลประโยชน์ และการเมือง
2. “เราไม่เคยบอกว่า ไม่ควรสร้างโรงไฟฟ้า “
แต่ เราบอกว่า ไม่ควรสร้างที่กระบี่ และฝั่งอันดามัน เพราะการท่องเที่ยว ไปกันไม่ได้กับมลพิษ และการทำลายธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม(ป.ไทย ที่หลายที่ๆอยากได้ เพราะเศรษฐกิจเค้าต้องการการกระตุ้นด้านอุตฯ)
3. “เราไม่เคยบอกว่า ไฟฟ้าไม่ใช่สิ่งจำเป็น”
แต่ เราบอกว่า วัตถุดิบในการผลิตไฟฟ้า ถึงยุคที่ต้องเปลี่ยนแปลง หากไม่เปลี่ยนวันนี้ วันหน้า นิวเคลียร์ ก็มาด้วยเหตุผลเดิมๆ
( https://www.ocf.berkeley.edu/~doonyapo/Section_7.pdf )
คนเห็นต่าง ไม่ผิดหรอกคับ บางทีเพราะ
เชื่อโดยขาดข้อมูลครบทุกด้าน
เชื่อเพราะผู้ที่เค้านับถือพูด ก็เชื่อ
เชื่อเพราะคนพูดมีตำแหน่งสูง เป็นผู้ใหญ่ที่เคยมีบุญคุณต่อท้องถิ่นตน
เชื่อเพราะได้รับ สิ่งที่จับต้องได้ทันที(เช่น เงินฯ)
เชื่อเพราะฟังตามๆกันมา
ฯลฯ
ดังนั้น
เรา หรือ ผู้ที่รู้ หรือ ผู้ที่มีวิสัยทัศน์ ควรบอก ให้เค้ารู้
ส่วนจะฟังได้แค่ไหน รับรู้ได้เพียงใด ก็อยู่ที่วิจารณญาณของปัจเจกชน
*********
พระพุทธองค์ได้ทรงตรึกตรอง ทรงคำนึงว่าธรรมที่พระองค์ตรัสรู้นี้ ลึกซึ้งมาก ยากที่สัตว์อื่นจะรู้ตาม จึงยังทรงมิได้รับคำทูลอารธนาทีเดียว แต่ได้ทรงพิจารณาโดยพระญาณก่อนว่า เวไนยสัตว์ นั้นจำแนกเหล่าที่จะรองรับพระสัทธรรมได้เพียงใด จำนวนเท่าใด ทรงจำแนกด้วยพระญาณว่าเหล่าเวไนยสัตว์บุคคลที่จะรับพระสัทธรรมได้และไม่ได้มีอยู่ ๔ จำพวก เปรียบได้ดังดอกบัวสี่เหล่า อันหมายถึง ปัญญา วาสนา บารมี และอุปนิสัย ที่สร้างสมมาแต่อดีตของบุคคล ซึ่งบัว ๔ เหล่านั้น คือ
บัวประเภทที่ ๑ ดอกบัวที่พ้นน้ำแล้ว รอแสงพระอาทิตย์จะบานวันนี้
บัวประเภทที่ ๒ ดอกบัวที่ปริ่มน้ำ จะบานวันพรุ่งนี้
บัวประเภทที่ ๓ ดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ยังอีก ๓ วันจึงจะบาน
บัวประเภทที่ ๔ ดอกบัวที่เพิ่งงอกใหม่จากเหง้าในน้ำ จะยังไม่พ้นภัยจากเต่าและปลา
ซึ่งบัวแต่ละประเภทนั้นเปรียบได้ดังนี้
๑. อุคฆฏิตัญญู คือ พวกที่มีสติปัญญาฉลาดเฉลียว เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมก็สามารถรู้และเข้าใจในเวลาอันรวดเร็วเปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่พ้นน้ำเมื่อต้องแสงอาทิตย์ก็เบ่งบานทันที
๒. วิปจิตัญญู คือ พวกที่มีสติปัญญาปานกลาง เป็นสัมมาทิฏฐิ เมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มเติมจะสามารถรู้และเข้าใจได้ในเวลาอันไม่ช้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ปริ่มน้ำซึ่งจะบานในวันถัดไป
๓. เนยยะ คือ พวกที่มีสติปัญญาน้อย แต่เป็นสัมมาทิฏฐิเมื่อได้ฟังธรรมแล้วพิจารณาตามและได้รับการอบรมฝึกฝนเพิ่มอยู่เสมอ มีความขยันหมั่นเพียรไม่ย่อท้อ มีสติมั่นประกอบด้วยศรัทธาปสาทะ ในที่สุดก็สามารถรู้และเข้าใจได้ในวันหนึ่งข้างหน้า เปรียบเสมือนดอกบัวที่อยู่ใต้น้ำ ซึ่งจะค่อย ๆ โผล่ขึ้นเบ่งบานได้ในวันหนึ่ง
๔. ปทปรมะ คือ พวกที่ไร้สติปัญญา และยังเป็นมิจฉาทิฏฐิแม้ได้ฟังธรรมก็ไม่อาจเข้าใจความหมายหรือรู้ตามได้ ทั้งยังขาดศรัทธาปสาทะ ไร้ซึ่งความเพียร เปรียบเสมือนดอกบัวที่จมอยู่กับโคลนตม ยังแต่จะตกเป็นอาหารของเต่าปลา ไม่มีโอกาสโผล่ขึ้นพ้นน้ำเพื่อเบ่งบาน
อันดอกปทุมานั้นมีหลายหลากต่างชนิดกันไป เหมือนดังเหล่าเวไนยสัตว์ที่จะได้รู้ธรรมนั้นเช่นกัน ทั้งผู้มีกิเลสมาก ผู้มีกิเลสปานกลาง ผู้มีกิเลสน้อยเบาบาง ผู้มีอินทรีย์แก่กล้า ฯลฯ
บุคคลที่เปรียบได้กับดอกบัวดอกที่ ๑, ๒, ๓ นั้นสามารถให้อนุศาสโนวาทแล้วสามารถบรรลุมรรค ผล นิพพาน ได้เร็วช้าต่างกันก็ด้วยปัญญา วาสนา บารมี และอุปนิสัย ที่ต่างกัน ซึ่งจำแนกเป็น พุทธเวไนย์ สาวกเวไนย์ ธาตุเวไนย์ ตามลำดับ ส่วนบุคคลซึ่งเปรียบเป็นบัวประเภทที่ ๔ ไม่สามารถบรรลุอะไรได้ในชาตินี้ ด้วยขาดซึ่งปัญญา แต่จะเป็นอุปนิสัย วาสนา บารมีต่อไปในภายภาคหน้า เมื่อทราบด้วยพระญาณดังนั้นแล้ว ด้วยพระกรุณาคุณ ทรงเล็งเห็นว่าโลกนี้ผู้ที่พอจะรู้ตามได้ก็คงมีอยู่บ้าง เมื่อเล็งเห็นเหตุนี้ จึงตกลงพระทัยจะสอนธรรมให้แก่สัตว์ทั้งปวง จึงรับอารธนาของท้าวสหัมบดีพรหม
ที่มา:http://www.phuttha.com/พระพุท…/ตรัสรู้/ทรงพิจารณาบัว-๔-เหล่า
ถ้าเกิดจริง ตามธงที่ ผู้มีอำนาจ วางไว้
ก็ถือว่า ผลกระทบที่จะเกิด ก็ต้องยอมรับชะตากรรม กันครับ
วันนี้
ถ้านึกภาพเล่นๆ
หากเอาท่องเที่ยวออกจากอันดามัน
ขนาดเศรษฐกิจ คงเล็กกว่าปัจจุบันเป็นหลายสิบเท่าครับ
พวกเราว่ามั้ยครับ?
“We’d better do something”
*******
สมมติว่า
ถ้าเกิดมลพิษจริง(หวังว่า ไม่มีมลพิษตามที่พยายามบอก แต่ความจริงคือ…ตย.ผลต่อผู้สูบบุหรี่แบบมีก้นกรอง กับแบบไม่มีก้นกรอง คือ ตายเหมือนกัน แต่ช้าเร็วต่างกัน)
ชุมชนรอบๆโรงไฟฟ้าฯ คงโดนก่อน
ถัดมา ก็กลุ่มประมง
และก็กลุ่มท่องเที่ยว
ต่อมา ก็กลุ่มธุรกิจที่รองรับการท่องเที่ยว(ธนาคาร, ร้านค้า, อสังหาฯ, สำนักงานต่างๆ, ประกันภัย,ฯลฯ ต่อกันไปเป็นทอดๆ)
ถ้าปรับตัวทัน
ย้ายไปทำธุรกิจอื่น
ย้ายฐานธุรกิจ
ก็พอรอดไปได้
แต่ ไม่แน่
ถ้าวันนั้นมาถึงจิง คนกระบี่อาจออกมา ปิด โรงไฟฟ้าฯเองก็ได้(ซึ่งใช้เวลาอย่างต่ำ สิบปี ในการให้อะไรๆกลับมาเหมือนเดิม)
แต่ก็ไม่แน่เหมือนกัน ครับ
ถึงวันนั้น อาจไม่มีใครต้านเลยก็ได้
เพราะลูกหลานกระบี่ อยุ่และทำงานที่อื่นหมด(เพราะเราไม่เหลืออนาคตไว้ให้เค้าทำ) เหลือแต่คนแก่ๆ ซึ่งก็คงไม่มีกำลังมาทำอะไร ก็รับสภาพรอวันตาย เท่านั้นครับ
บทความโดย นายเปล่งยศ สกลกิติวัฒน์ ประธานคณะกรรมการบริหารหอการค้าจังหวัดกระบี่