รัฐประหารเมียนมาทำโครงการขนาดใหญ่รุกรานประชาชนและสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น

รัฐประหารเมียนมาทำโครงการขนาดใหญ่รุกรานประชาชนและสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น

รัฐประหารเมียนมาทำโครงการขนาดใหญ่รุกรานประชาชนและสิ่งแวดล้อมเพิ่มขึ้น ด้าน รมช. พลังงาน NUG ชี้เมียนมาอาจเป็นประเทศแรกที่มีผู้อพยพจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ

วานนี้ 26 กันยายน เวลา 9.30 – 11.30 น. เสมสิกขาลัย กลุ่มเสรีภาพแม่น้ำโขง และคณะทำงานติดตามความรับผิดชอบการลงทุนข้ามพรมแดน (ETOs Watch Coalition) ร่วมกันจัดเวทีอภิปราย ในหัวข้อ”เมียนมากับกระบวนการพัฒนาแบบย้อนกลับ : แนวโน้มโครงการพัฒนาขนาดใหญ่หลังรัฐประหารที่อาจส่งผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อม” ซึ่งเป็นกิจกรรมส่วนหนึ่งในงานสัปดาห์สิ่งแวดล้อมแม่โขง – อาเซียน ประจำปี 2564 หรือ Mekong – ASEAN Environmental Week 2021: MAEW2021 ขึ้นเพื่อวิเคราะห์ถึงผลกระทบที่เกิดจากโครงการพัฒนาขนาดใหญ่ที่ส่งผลกระทบต่อประชาชน สังคมและสิ่งแวดล้อมทั้งในอดีต ปัจจุบัน และอนาคต หลังการรัฐประหาร

วรวรรณ ศุกระฤกษ์ จากคณะทำงานติดตามความรับผิดชอบของการลงทุนข้ามพรมแดน (ETOs Watch Coalition) กล่าวเปิดด้วยสถานการณ์การรัฐประหารและภาพรวมของปฏิกิริยาจากนักลงทุน และสถานการณ์สิ่งแวดล้อมในเมียนมาว่า ตั้งแต่เกิดรัฐประหารเมียนมา เดือนกุมภาพันธ์ ที่โค่นล้มรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง กองทัพเมียนมาถูกประณามจากทั่วโลก นักลงทุนต่างชาติส่วนใหญ่ในเมียนมาไม่เห็นด้วย การลงทุนในเมียนมาเริ่มชะลอตัวลง เกิดความไม่แน่นอนทั้งในเมียนมาและทั่วโลก ประชาชนลุกขึ้นประท้วงอย่างแพร่หลาย มีการใช้ขบวนการอารยะขัดขืนเพื่อต่อต้านการคุมอำนาจโดยทหาร ฝ่ายต่อต้านหรือฝ่ายประชาธิปไตยเคลื่อนไหวและต่อต้านอย่างแพร่หลาย สหประชาชาติมีการดำเนินมาตรการควบคุมผลประโยชน์ของทหาร หลายประเทศเองก็ดำเนินการคว่ำบาตรทางเศรษฐกิจต่อกองทัพเมียนมาและพวกพ้อง

มอว์ ทุน อ่อง รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงพลังงานแห่งรัฐบาลเอกภาพแห่งชาติ (NUG) กล่าวย้ำถึงปูมหลังของการรัฐประหารในเมียนมาว่าสถานการณ์ในเมียนมาตอนนี้ไม่ได้เป็นอย่างที่เห็นจากสื่อทั้งหมด เพราะเมื่อทหารเมียนมาพยายามเปลี่ยนถ่ายอำนาจนั้น ไม่ใช่เพียงการควบคุมรัฐบาลที่มาจากการเลือกตั้ง แต่เป็นการโค่นล้มระบอบประชาธิปไตยในเมียนมาอย่างสิ้นเชิง เพราะฉะนั้นประชาชนจึงลุกขึ้นมาตอบโต้เป็นวงกว้างอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ไม่ใช่แค่ความต้องการให้รัฐบาลเลือกตั้งกลับมา แต่ประชาชนฉีกรัฐธรรมนูญ ปี 2008 ที่ถูกเขียนขึ้นโดยกองทัพด้วย

นับแต่มีการรัฐประหาร บรรดานักธุรกิจ ชนชั้นกลาง ไปจนถึงเยาชนที่เติบโตมากับวัฒนธรรม Hip – Hop มีบทบาทอย่างมาก พวกเขาอยู่แถวหน้าของการปฏิวัติในครั้งนี้ไม่ได้นำโดยชนชั้นสูง แต่นำโดยประชาชนทั่วไป ธนาคารพัฒนาแห่งเอเชีย หรือ ADB กล่าวว่า GDP ของเมียนมาจะลดลงกว่า – 18 % ค่าเงินเมียนมาสูญเสียมูลค่าไปกว่า 50% และยากที่เศรษฐกิจของเมียนมาจะกลับมาฟื้นตัวได้ “พวกเราไม่ได้เน้นเรื่องการเติบโต เพราะยิ่ง GDP เติบโตมากเท่าไหร่ สิ่งแวดล้อมก็ยิ่งถูกทำลายมากเท่านั้น” มอว์ ทุน อ่อง กล่าว แม้ทั่วโลกจะมีการรัฐประหารเกิดขึ้นในหลายพื้นที่ แต่ผลกระทบที่เกิดขึ้นนั้นไม่มากมายและรอบด้านเท่าเมียนมาในขณะนี้ ส่วนตัวคาดว่าเศรษฐกิจเมียนมาจะล่มสลายในไม่ช้า อีกทั้งสถานการณ์โควิดระลอกสามก็ทำให้ประชาชนล้มตายเป็นจำนวนมาก วิธีการที่ใช้ในการปราบปรามประชาชนตอนนี้ก็รุนแรงมากจนส่งให้ภาคธุรกิจยอมรับไม่ได้ ภาคสาธารณสุขล้มเหลว หมอ พยายามถูกจับกุมจำนวนมากประชาชนต้องดูแลกันเอง ไม่ใช้การรักษาจากโรงพยาบาล

แม้ว่าเมียนมจะเปิดประเทศตั้งแต่ ปี 2012 โดยมีมาตรการเปิดรับการลงทุนจากต่างประเทศ และมีโครงการพัฒนาต่าง ๆ ทางด้านเศรษฐกิจและอุตสาหกรรมเพิ่มขึ้นมาก แต่กฎหมายและกฎระเบียบที่คุ้มครองด้านสิ่งแวดล้อมก็ยังคงอ่อนแออยู่ หลังจากมีการรัฐประหารก็ยิ่งส่งผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมมากขึ้น รัฐบาลพยายามเน้นการสร้างโครงสร้างพื้นฐานขนาดใหญ่ เช่น เขื่อน ก่อนหน้าในรัฐบาล NLD ยังมีการเปิดให้มีการหารือกับประชาชนเกี่ยวกับโครงการขนาดใหญ่ แต่ตอนนี้ไม่มีการหารือใด ๆ เกี่ยวกับโครงการที่จะส่งผลกระทบทางสิ่งแวดล้อม มีการเร่งรัดดำเนินโครงการลักษณะนี้ รัฐบาลตัดสินใจฝ่ายเดียว ทำได้ฝ่ายเดียว

รัฐธรรมนูญให้อำนาจปกครองและอำนาจศาลกับทหารอย่างมาก พอทหารรวบอำนาจได้ก็มีการแก้ไข ก้าวข้ามกฎหมายที่มีอยู่เดิม ละเลยกฎหมายที่มีการบัญญัติขึ้นในช่วงรัฐบาลประชาธิปไตย ไม่ใส่ใจความทุกข์ยากของประชาชน

มอ ทุน อ่อง ให้ข้อมูลเพิ่มเติมว่าเมียนมาเป็นสมาชิกในความริเริ่มความโปร่งใสในอุตสาหกรรมสกัด (Myanmar Extractive Industries and Transparency Initiatives: MEITI) เพื่อให้ประชาชนสามารถเข้าถึงข้อมูลข่าวสารเกี่ยวกับบริษัทที่จะเข้ามาลงทุนในอุตสาหกรรมสกัดต่าง ๆ ได้ แต่พอมีการรัฐประหาร กระบวนการนี้ก็จบสิ้นลง รัฐประหารทิ้งขั้นตอนของ MEITI ไปเลย ในส่วนของผลกระทบทางทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมนั้น การรัฐประหารครั้งนี้ทำให้ทรัพยากรธรรมชาติทั้งแร่และป่าไม้ซึ่งอยู่ในพื้นที่ชาติพันธุ์ต่าง ๆ น่าเป็นห่วงอย่างยิ่ง ทรัพยากรเหล่านี้อยู่ในพื้นที่เขตภูเขา การยกเลิกมาตรการสิ่งแวดล้อมต่าง ๆ ของรัฐบาลทหารเป็นเรื่องร้ายแรง เพราะประชาชนไม่สามารถทราบได้เลยว่าพวกเขาจะไปดึงเอานักลงทุนทั้งไทยและจีนต่าง ๆ เข้ามาในอุตสาหกรรมสกัดมากขึ้นหรือไม่ ร

ัฐมนตรีช่วยพลังงานกล่าวว่า “การรัฐประหารทุกครั้งนั้นเกี่ยวพันกับโครงการขนาดใหญ่ทั้งสิ้น เพราะพวกเขาควบคุมสิ่งเหล่านี้ไว้ในมือ เช่น โครงการท่อก๊าซที่ส่งก๊าซเข้ามาในประเทศไทย” เป็นต้น การที่ทหารจะอยู่รอดจะมีโครงการที่จะยิ่งส่งผลกระทบต่อประชาชนและสิ่งแวดล้อม เช่น โครงการเขื่อนขนาดใหญ่ที่จะเกิดขึ้นบนลำน้ำหลายสาย พวกเขาต้องการเปิดเขตการค้าเสรี พยายามดึงดูดการลงทุนจากต่างชาติ โดยละเลยมาตรกาป้องกันผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมและสังคม

“สถานการณ์ที่ไม่แน่นอนและรุนแรงนี้ทำให้นักลงทุนลังเลอย่างมาก เพราะหากว่าลงทุนไปแล้วในเรื่องของภาวะค่าเงินตกต่ำเช่นนี้ ก็จะทำให้เงินที่ได้มาไม่มีค่าเท่าเดิมอย่างที่คาดการณ์ไว้” รมช. พลังงาน คาดการณ์

นอกจากนี้ทางมอ ทุน อ่อง ยังได้ให้ข้อมูลและความเห็นเพิ่มเติมว่าด้วยสภาพความขัดแย้ง และการปะทะทางอาวุธ โรคระบาด และความขาดแคลนทั้งรายได้และอาหาร รวมถึงวิกฤตสภาพภูมิอากาศที่ย่ำแย่อย่างมากในเมียนมา อาจส่งผลให้ “เมียนมาเป็นประเทศแรกที่มีผู้อพยพย้ายถิ่นจากวิกฤติสภาพภูมิอากาศ”

ด้านซอ ตา โป จากองค์กร KESAN กล่าวถึงสถานการณ์และความคืบหน้าของโครงการพัฒนาในพื้นที่ต่าง ๆ ของเมียนมาว่า ในรัฐกะเหรี่ยง กองทัพเมียนมาได้เข้ามาทิ้งระเบิดในหลายจุด มีการต่อสู้และใช้อาวุธต่อกองทัพชาติพันธุ์และประชาชนในพื้นที่ ส่งผลให้มีผู้พลัดถิ่นเป็นจำนวนมาก ตอนนี้มีมากกว่า 7,000 – 8,000 คนที่ต้องออกจากพื้นที่ไป ทหารพยายามกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อหารายได้ เพราะหลังเกิดรัฐประหารไม่สามารถควบคุมเศรษฐกิจประเทศได้ เพราะประชาชนไม่ยอม จึงเหลือแนวทางในการทำโครงการขนาดใหญ่ เช่น มีการสร้างเขื่อนฮัตจี คงจะมีการดำเนินการต่อไป เพราะอยู่ในแผนของทั้งพม่าและนักลงทุนในจีน ไฟฟ้าที่ผลิตได้จะนำมาใช้ในประเทศ เพราะว่ารายได้ของประเทศของตอนนี้มีน้อย นักลงทุนและสถาบันการเงินพยายามที่จะหลีกเลี่ยงและหยุดให้ทุนแก่ทหาร

ในพื้นที่ยังคงมีการต่อสู้ มีผู้พลัดถิ่นมากกว่าแปดพันคน ทหารเข้ามาควบคุมพื้นที่ดังกล่าว ไม่มีองค์กรด้านมนุษยธรรมเข้ามาทำงาน แต่ว่ามีการแบ่งปันเรื่องอาหารหรือสาธารณูปโภคพื้นฐาน โดยหน่วยงานอาสาสมัครพยายามนำสิ่งของและความช่วยเหลือต่าง ๆ ไปให้ มีการสร้างถนนเข้าไปในพื้นที่ที่จะมีการสร้างเขื่อนฮัตจี โดยกองทัพเมียนมาบังคับใช้แรงงานจากผู้พลัดถิ่นเพื่อสร้างถนนสายนี้ด้วย หลังรัฐปะหารเราทำงานอย่างใกล้ชิดกับภาคประชาชนในรัฐคะฉิ่น พวกเขาต้องการใช้ทรัพยากรในพื้นที่ของตัวเอง โดยมีโครงการขนาดเล็กเพื่อขุดและร่อนแร่ ซึ่งภาคประชาสังคมในเมียนมาพยายามติดตามโครงการพัฒนาต่าง ๆ แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกโจมตีโดยทหารและกองกำลังกึ่งทหาร นี่คือสถานการณ์ที่ท้าทายอย่างมาก

ในพื้นที่รัฐฉาน มีแผนการสร้างโรงไฟฟ้าความร้อนร่วม เพื่อใช้ในโรงปูนซีเมนต์ โครงการดังกล่าวส่งผลกระทบด้านสุขภาพ และแหล่งน้ำในชุมชน หลังเกิดรัฐประหารองค์กรภาคประชาสังคมก็ไม่สามารถเข้าไปติดตามได้ ในพื้นที่ที่จีนเข้ามาลงทุน โครงการเหล่านี้เนื่องจากมีความสัมพันธ์เชื่อมโยงกับนักลงทุนจีน เราจึงไม่สามารถติดตามหาข้อมูลได้ เพราะเราไม่มีทรัพยากรที่เพียงพอ ในแม่น้ำสาละวิน มีแผนที่จะสร้างเขื่อนทั้งหมด 5 แห่ง โดยเขื่อนฮัตจีเป็นหนึ่งในนั้น ซึ่งโครงการนี้ได้รับการอนุมัติไปแล้ว แต่ปัจจุบันยังไม่ได้มีการดำเนินโครงการ อย่างไรก็ตาม ทางชุมชนและภาคประชาสังคมในพื้นที่พบเห็นแรงงานชาวจีนเข้ามาในพื้นที่เป็นจำนวนมาก คาดว่าเพื่อรอการดำเนินโครงการ นอกจากนี้ในพื้นที่ดังกล่าวก็มีการสร้างสะพานขึ้นมาใหม่ด้วย โดยสะพานนี้เป็นส่วนหนึ่งของเขตเศรษฐกิจพิเศษที่เชื่อมโยงกับจีน ทางด้านชายแดนไทยมีโครงการผันน้ำยวม ซึ่งในไทยเองก็ยังมีความขัดแย้งอยู่มาก แต่ชุมชนฝั่งรัฐกะเหรี่ยงที่ได้รับผลกระทบในพื้นที่เองก็ยังไม่มีข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับผลกระทบที่ประชาชนจะได้รับแต่อย่างใด

ผศ. นฤมล ทับจุมพล จากสถาบันเอเชียศึกษา จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย กล่าวถึงระบบการปกครองของเมียนมาว่าก่อนหน้านี้เมียนมาเป็นรัฐสองระบบ (hybrid regime) แต่พอยึดอำนาจ รัฐประหารรัฐบาลจากการเลือกตั้งของประชาชน เมียนมาก็ได้กลายเป็นรัฐอำนาจนิยมแบบรวมศูนย์เต็มรูปแบบ

ผศ. นฤมลเสนอให้พิจารณาถึงองค์ประกอบ 3 ประการที่ทำให้เมียนมากลายเป็นรัฐอำนาจนิยมรวมศูนย์ในขณะนี้ว่า ประการแรก คือ การบริหารเครือข่ายความไว้วางใจต่าง ๆ เครือข่ายต่าง ไม่มีผลกระทบอะไรต่อการเมืองบ้าง เราจะเห็นว่ากลุ่มเหล่านี้มีอำนาจและพื้นที่ของพวกเขา ประการที่สอง ความเหลื่อมล้ำ พวกเขาต้องการประคับประคองความไม่เท่าเทียมไว้ ทรัพยากรธรรมชาติส่วนใหญ่แม้จะอยู่ในพื้นที่กลุ่มชาติพันธุ์เหล่านี้ แต่ก็จะมีความเหลื่อมล้ำระหว่างกลุ่มชาติพันธุ์ต่าง ๆ ด้วย วิธีการหารายได้ของแต่ละกลุ่มก็มีความเหลื่อมล้ำกัน ประการที่สาม จะเห็นว่ามีอำนาจที่รวมศูนย์อยู่ จากเดิมที่มีอยู่แล้ว แต่จากการรัฐประหารทำให้อำนาจของทหารครอบคลุมทุกอย่าง นี่ซึ่งคือปัญหาที่เป็นอุปสรรคต่าง ๆ ของการพัฒนาประชาธิปไตย

ย้อนกลับไปปี 2010 – 2021 เมียนมามีการเปลี่ยนแปลงการพัฒนาประเทศโดยเปิดรับการลงทุนจากต่างชาติ จะเห็นได้ว่ามีกระบวนการพัฒนาเมือง การขยายเครือข่ายสื่อมวลชนอย่างรวดเร็ว แต่ปัจจัยเหล่านี้ถูกควบคุมภายใต้อำนาจเดี่ยวรวมศูนย์ของกองทัพ อีกทั้งอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมสูงขึ้น เสรีภาพสื่อก็สูงขึ้น แต่แน่นอนว่าผลกระทบเชิงลบก็มีมากหลังจากมีการดำเนินโครงการขนาดใหญ่ หลังรัฐประหารก็มีการพูดกันเกี่ยวกับพัฒนาอุตสาหกรรมยุคใหม่ มีทั้งคนที่จะเข้ามาลงทุนโดยอาศัยโอกาสนี้ มีทั้งนักลงทุนที่เป็นทางการ และไม่เป็นทางการ ซึ่งน่าเป็นห่วงมาก จากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นแม้เศรษฐกิจจะติดลบ แต่เชื่อว่าในอนาคตทหารจะพยายามหาทางฟื้นฟูเศรษฐกิจ แต่คิดว่า ประชาชนและภาคประชาสังคมอาจจะหยุดยั้งการลงทุนที่เป็นทางการได้ แต่ที่น่าเป็นห่วงคือการลงทุนอย่างไม่เป็นทางการ ดังนั้น การลงทุนจากต่างชาติจึงนับว่าเป็นกระดูกสันหลังเลยในช่วงสิบปีที่ผ่านมา

กลุ่มที่รวบอำนาจควบคุมทั้งนโยบายเศรษฐกิจและสังคมทุกทาง หลังรัฐประหารเราเห็นว่าที่ประกาศไว้ตอนแรกว่าจะเข้ามาแค่หนึ่งปีก็ขยายเป็นสองปี และมีการประกาศภาวะฉุกเฉินเรื่อย ๆ ประชาชนไมมีสิทธิใด ๆ ฝ่ายต่อต้านถูกจับกุมจำนวนมาก ผู้นำพรรค NLD ถูกจับกุม นี่จะสร้างปัญหาให้ความขัดแย้งมีสูงขึ้น ไม่ มีกระบวนการใด ๆ ที่เชื่อถือได้ เพราะเมื่อมีการยืดเวลาประกาศภาวะฉุกเฉินก็ยิ่งมีการปะทะมากขึ้นเรื่อย ๆ

ในเดือน ก.ค. ที่ผ่านมา การปะทะด้วยอาวุธไม่ได้เกิดแค่ในรัฐชาติพันธุ์ แต่เกิดในภูมิภาคต่าง ๆ ที่เป็นของคนพม่าด้วย เช่น สะกาย การปะทะโดยการใช้อาวุธส่งผลกระทบต่อประชาชนโดยตรง จะเห็นได้ว่ามีผู้พลัดถิ่นจำนวนมาก จะเห็นได้ว่ามีการจัดตั้งศูนย์พักพิงหรือศูนย์อพยพ ทั้งในเมียนมา และชายแดนไทย และบังคลาเทศเพิ่มขึ้นมาก และจะเพิ่มขึ้นเรื่อย ๆ และจะมีคนที่อพยพออกนอกประเทศอีกเป็นจำนวนมาก เพื่อหนีการประหัตประหารอันเกิดจากความรุนแรงทางอาวุธ

“รัฐบาลไทยต้องให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมโดยมีการจัดตั้งศูนย์พักพิงเพิ่มขึ้น เพราะจะต้องมีประชาชนจากเมียนมาหาทางหนีออกนอกประเทศอีกเป็นจำนวนมาก ซึ่งนี่เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงไม่ได้”

ผู้อำนวยฝ่ายวิจัยจากสถาบันเอเชียศึกษาให้ความเห็นเกี่ยวกับอาเซียนว่าหากพิจารณานโยบายของไทยและอาเซียนจะเห็นว่าไทยยังไม่มีการเปลี่ยนแปลงนโยบายในการรองรับผู้อพยพเข้ามา แต่คิดว่าในอนาคตจะต้องมีการจัดตั้งศูนย์ทางฝั่งของเมียนมาเพื่อรองรับสถานการณ์เหล่านี้ การล่มสลายของระบบสาธารณสุขในเมียนมาที่เกิดขึ้นจากการรัฐประหารและขบวนการอารยะขัดขืน การประท้วงการบริหารของทหารโดยข้าราชการและแรงงานในระบบ เท่าที่ทราบ คือมีผู้ติดเชื้อจากโควิดมากกว่าสองหมื่นคนต่อวัน สำหรับแรงงานเพื่อนบ้านชาวเมียนมาที่ทำงานในไทย ขณะนี้ก็ส่งเงินกลับบ้านได้ยากเพราะระบบธนาคารและการเงินล่ม ไม่สามารถส่งเงินในช่องทางที่เป็นทางการได้ นอกจากนั้นระบบที่จะต้องติดต่อกับทางรัฐบาลต่าง ๆ เอกสารต่าง ๆ ก็ไม่มีบริการใด ๆ ให้เลย

แม้การรัฐประหารจะผ่านมากว่า 7 เดือนแล้ว อาเซียนก็ไม่ทำอะไรที่เป็นรูปธรรมนอกจากประชุม หากพิจารณาถึงฉันทามติที่ออกมาจะเห็นว่าอาเซียนไม่สามารถบอกใครหรือฝ่ายใดให้หยุดใช้ความรุนแรงได้ การสนทนาเชิงสร้างสรรค์เองก็ไม่เกิดขึ้น ฉันทามติ 5 ข้อ กลายเป็นการผ่อนผันให้กองทัพเมียนมาให้ใช้ความรุนแรงต่อเนื่องยาวนานขึ้น และแม้อาเซียนจะมีการแต่งตั้งรัฐมนตรีต่างประเทศของบรูไน ในฐานะประธานอาเซียนให้เป็นทูตอาเซียนในกรณีเมียนมา แต่ก็ยังไม่มีความคืบหน้าในการดำเนินงานใด ๆ เพื่อให้สถานการณ์ในเมียนมาดีขึ้น

“อาเซียนกล่าวว่าจะมีการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมต่อชาวเมียนมาผ่านศูนย์ประสานงานการให้ความช่วยเหลือด้านมนุษยธรรมของอาเซียน หรือ AHA Center เห็นบอกว่าจะมีการสนับสนุนด้านอาหาร แต่ก็ไม่เห็นมีการกระทำใดเกิดขึ้น มีแต่การช่วยเหลือที่มาจากองค์กรภาคประชาสังคม”

ผศ. นฤมล คาดการณ์แนวโน้มของการพัฒนาในเมียนมาว่าโครงการพัฒนาต่าง ๆ หลังจากการรัฐประหารจะเป็นการหารายได้ให้กับกองทัพเมียนมามากกว่าประชาชน “บางเขื่อนบนลำน้ำสาละวินน่าเศร้ามากเพราะมีบริษัทจากไทยเข้าไปลงทุนด้วย หลังรัฐประหารโครงการเหล่านี้จะเป็นภัยคุกคามอย่างมากต่อประชาชน เพราะไม่สามารถตรวจสอบอะไรทหารได้เลย หลังจากนี้เราคงจะเห็นความไม่มั่นคงในชีวิตของประชาชนมากขึ้น เราเห็นการปะทะทางอาวุธ ระบบสาธารณสุขที่ล่มสลาย และความสามารถในการเข้าถึงทรัพยากรธรรมชาติและสิทธิขั้นพื้นฐานขอองประชาชน สิ่งเหล่านี้จะสูญหายไป ความขัดแย้งระหว่างชุมชนอาจลดลง แต่ความขัดแย้งระหว่างรัฐชาติพันธุ์กับกองทัพจะยิ่งเพิ่มขึ้น เมียนมาจะกลับไปเป็นประเทศยากจนที่สุดในอาเซียน ประชาชนต้องกระเสือกระสนหาทางเอาตัวรอกด และก็คงมีการลักลอบเข้าเมืองและมีขบวนการค้ามนุษย์เกิดขึ้นแน่นอน

นอกจากวงเสวนา เวทีเสวนา “เมียนมากับกระบวนการพัฒนาแบบย้อนกลับ : แนวโน้มโครงการพัฒนาขนาดใหญ่หลังรัฐประหาร” แล้วยังมีเวทีอื่นที่น่าสนใจ จนถึงวันพฤหัสที่ 30 กันยายนนี้

ไลฟ์เสวนาย้อนหลัง

เนื้อหาข่าวจากหมุด C-Site : https://www.csitereport.com/newsdetail?id=0000020000

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ