วันผู้ย้ายถิ่นสากล : สถานการณ์กับข้อเสนอต่องานเพื่อชีวิตของพลเมืองข้ามแดน

วันผู้ย้ายถิ่นสากล : สถานการณ์กับข้อเสนอต่องานเพื่อชีวิตของพลเมืองข้ามแดน

“สิ่งที่พวกเราต้องการเมื่อตัดสินใจเดินทางเข้ามาทำงานในประเทศไทย คือ การมีรายได้ที่มากพอต่อการดำเนินชีวิตอย่างมีความสุข ทั้งต่อตัวเอง และครอบครัวญาติ พี่น้อง ที่อยู่ฝั่งโน้น ”

นี่เป็นความฝัน ความหวังของแรงงานข้ามชาติทุกคนที่เข้ามาทำงานในประเทศไทย แต่ในความเป็นจริง กว่าที่พวกเขาเหล่านั้นจะสามารถทำได้ตามความฝัน ความหวัง ที่ตั้งไว้ พวกเขาต้องเผชิญกับสิ่งต่าง ๆ มากมาย

ระหว่างวันที่ 17 – 18 ธันวาคม 2563 เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ ผนึกกำลังเครือข่ายสถานะบุคคล และสถาบันการศึกษา จัดเวทีระดมสภาพปัญหา และจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาล และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่แรงงานข้ามชาติเผชิญอยู่ในปัจจุบันซึ่งต้องนอกจากเรื่องการคุ้มครองทางกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ยังต้องมุ่งเน้นให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนด้วย

เนื่องด้วยในวันที 18 ธันวาคม ของทุกปี ถือเป็นวัน “วันแรงงานข้ามชาติสากล” (International Migrants Day) เป็นวันที่องค์การสหประชาชาติได้จัดทำอนุสัญญาว่าด้วยการคุ้มครองแรงงานข้ามชาติและครอบครัว ค.ศ. 1990  เพื่อให้แรงงานข้ามชาติในประเทศต่าง ๆ ได้รับการคุ้มครองสิทธิทั้งสิทธิมนุษยชนและสิทธิเป็นแรงงาน ด้วยหลักการที่จะให้ทุกประเทศและทุกฝ่ายตระหนักถึงสิทธิของแรงงานข้ามชาติที่ต้องอพยพจากประเทศต้นทางไปทำงานยังประเทศปลายทางให้ได้รับการปฏิบัติที่เป็นธรรมจากรัฐบาลและทุกฝ่ายที่เกี่ยวข้อง โดยไม่มีการเลือกปฏิบัติด้วยความแตกต่างเรื่องเชื้อชาติ ศาสนา สีผิว และเพศสภาพใด ๆ 

ในโอกาสนี้ เครือข่ายแรงงานภาคเหนือ ร่วมกับเครือข่ายสถานะบุคคล และสถาบันการศึกษา ได้ร่วมกันจัดเวทีระดมสภาพปัญหา และจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาล และหน่วยงานภาครัฐที่เกี่ยวข้อง เพื่อให้เกิดการแก้ไขปัญหาที่แรงงานข้ามชาติเผชิญอยู่ในปัจจุบันซึ่งต้องนอกจากเรื่องการคุ้มครองทางกฎหมายที่มีอยู่แล้ว ยังต้องมุ่งเน้นให้เกิดการเคารพสิทธิมนุษยชนด้วย โดยมีข้อเสนอ ดังนี้

ข้อเสนอต่อผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่

  1. ขอให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเชียงใหม่ดำเนินการจัดตั้งคณะทำงานร่วมระหว่างภาครัฐ องค์กรพัฒนาเอกชน นักวิชาการ กลุ่มแรงงานข้ามชาติ เพื่อกำหนด และดูแลนโยบายที่เกี่ยวกับแรงงานข้ามชาติในจังหวัดเชียงใหม่ ภายในปี 2564

ข้อเสนอต่อรัฐบาล

  1. ให้รัฐบาลจัดสวัสดิการถ้วนหน้าให้กับทุกคนที่อยู่ในประเทศไทย เช่น เด็กเล็กอายุ 0-6 ปี กลุ่มผู้สูงอายุ กลุ่มผู้พิการ กลุ่มคนไร้บ้าน ผู้ดูแลบ้าน กลุ่มคนไทยพลัดถิ่น กลุ่มคนไม่มีสถานะทางทะเบียนที่อยู่ในประเทศไทย และแรงงานข้ามชาติ เป็นต้น
  2. ขอให้รัฐบาลยกเลิก พ.ร.บ.ป้องกันและปราบปรามการค้าประเวณี พ.ศ. 2539 เนื่องจากเป็นอุปสรรคที่สำคัญที่ทำให้แรงงานภาคบริการไม่สามารถเข้าถึงการคุ้มครองด้านสิทธิแรงงานได้
  3. ขอให้รัฐบาลมีนโยบายช่วยเหลือกับทุกคนที่อาศัยอยู่ในประเทศไทยในสถานการณ์การแพร่ระบาดของไวรัสโคโรนา 2019 โดยไม่เลือกปฏิบัติเพราะเหตุแห่งการถือสัญชาติทีแตกต่าง

ข้อเสนอต่อกระทรวงแรงงาน

  1. ขอให้ออกกฎกระทรวงขยายอายุการทำงานของแรงงานข้ามชาติ เป็น 60 ปี
  2. ขอให้ออกกฎกระทรวงที่กำหนดให้แรงงานทุกคน ทุกอาชีพเข้าสู่ระบบประกันสังคมและกองทุนเงินทดแทนอย่างเท่าเทียม ไม่เลือกปฏิบัติ และมีแนวทางในการตรวจสอบ ติดตามนายจ้างให้ดำเนินการขึ้นทะเบียนประกันสังคมให้กับลูกจ้างตามที่กฎหมายกำหนดอย่างเข้มงวดและจริงจัง
  3. ขอให้เร่งจัดทำข้อเสนอต่อรัฐบาลให้มีการแก้ไขพระราชกำหนดการทำงานของคนต่างด้าว ปี 2561 ให้แรงงานข้ามชาติทำงานได้ทุกอาชีพตามความสามารถของตนโดยด่วน
  4. ขอให้ออกประกาศให้มีการเก็บค่าธรรมเนียมสำหรับอาชีพ (2) งานช่างก่ออิฐ งานช่างไม้ หรืองานช่างก่อสร้างอาคาร ตามบัญชีประเภทที่3 ประกาศกระทรวงแรงงาน เรื่อง กำหนดงานที่ห้ามคนต่างด้าวทำ ให้เก็บเพียงรายการเดียวครอบคลุมตาม (2)
  5. ให้กรมพัฒนาฝีมือแรงงานกำหนดแนวทางปฏิบัติโดยให้มีการอบรมอาชีพที่เหมาะสม ให้กับแรงงานทุกภาคส่วนทั้งแรงงานไทย แรงงานผู้สูงอายุ แรงงานผู้พิการ แรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ และแรงงานข้ามชาติ  โดยระหว่างที่อบรมพัฒนาฝีมือแรงงานให้มีค่าเบี้ยเลี้ยงตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ และหลังจากที่จบการอบรมแล้วให้ออกใบรับรองการผ่านการพัฒนาฝีมือแรงงานที่สามารถนำไปใช้ในการปรับค่าจ้างตามระดับการพัฒนาฝีมือแรงงานได้
  6. ขอให้กระทรวงแรงงานเสนอและผลักดันให้รัฐบาลเร่งดำเนินการรับรองอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 87 ว่าด้วยเสรีภาพในการสมาคมและการคุ้มครองสิทธิในการรวมตัว ฉบับที่ 98 ว่าด้วยสิทธิในการรวมตัวและการเจรจาต่อรอง ฉบับที่ 189 ว่าด้วยงานที่มีคุณค่าสำหรับลูกจ้างทำงานบ้าน และอนุสัญญา ILO ฉบับที่ 190 ว่าด้วยการต่อต้านความรุนแรงและการล่วงละเมิดในโลกแห่งการทำงาน ภายในปี 2564
  7. ให้กระทรวงแรงงานออกกฎกระทรวงให้สามารถจ้างงานเยาวชนนักเรียนข้ามชาติที่มีอายุระหว่าง 15-18 ปี  ทำงานในช่วงระหว่างปิดเทอมเพื่อเปิดโอกาสให้เยาวชนได้มีงานทำ มีรายได้ เพื่อเป็นการแบ่งเบาภาระของครอบครัว โดยให้ดำเนินการออกกฎกระทรวงภายในปี 2564
  8. ขอให้กระทรวงแรงงานดำเนินการแก้ไขปรับปรุงพระราชบัญญัติคุ้มครองแรงงาน 2541 ให้คุ้มครองคนทำงานทุกกลุ่มทุกอาชีพ อาทิ พนักงานบริการ คนงานทำงานบ้าน แรงงานนอกระบบ แรงงานในภาคเกษตรที่ไม่มีการจ้างงานกันตลอดทั้งปี โดยต้องดำเนินการยกร่างภายในปี 2564 และต้องมีส่วนร่วมจากภาคส่วนต่าง ๆ เข้าไปอยู่ในคณะกรรมการยกร่าง

ข้อเสนอต่อคณะกรรมาธิการการแรงงานของสภาผู้แทนราษฎร

  1. ขอให้ดำเนินการโดยเร่งด่วนเพื่อแก้ไขนิยามของ “งาน” และ “แรงงาน” ให้ครอบคลุมแรงงานทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ ทุกวัย รวมถึงรูปแบบการทำงานที่มีความหลากหลายในการจ้างงาน เช่น การจ้างแบบชิ้น (gig worker) เพื่อให้ แรงงานทุกกลุ่ม ทุกอาชีพ ทุกวัย เช่น แรงงานภาคบริการ แรงงานนอกระบบ แรงงานข้ามชาติ แรงงานกลุ่มชาติพันธุ์ แรงงานทำงานบ้าน ได้รับการคุ้มครองตามกฎหมายคุ้มครองแรงงานอย่างเท่าเทียมกับแรงงานในระบบ และสามารถเข้าสู่ระบบประกันสังคม และกองทุนเงินทดแทน
  2. ขอให้ดำเนินการแก้ไขกฎกระทรวงการจ่ายเงินบำเหน็จชราภาพของผู้ประกันตนซึ่งไม่มีสัญชาติไทย ให้แรงงานข้ามชาติในระบบประกันสังคมที่ต้องการกลับประเทศต้นทางและไม่ประสงค์ที่จะพำนักในประเทศไทยอีกต่อไปสามารถยื่นรับเงินจากกองทุนบำนาญชราภาพได้ทันที
  3. ขอให้มีการแก้ไขพระราชกำหนดการบริหารจัดการการทำงานของคนต่างด้าว พ.ศ. 2561 ให้คุ้มครองสิทธิ สอดรับกับสถานการณ์ และส่งเสริมการมีส่วนร่วม

ข้อเสนอต่อกระทรวงสาธารณสุข

  1. ขอให้เร่งดำเนินการแก้ไขกฎระเบียบการซื้อบัตรประกันสุขภาพของผู้ติดตามที่มีอายุตั้งแต่ 7-18 ปี ให้ซื้อบัตรประกันสุขภาพได้ในราคาเท่ากับผู้ติดตามที่เป็นเด็ก และออกกฎกระทรวงให้แรงานข้ามชาติที่อายุเกิน 55 ปี และอาศัยอยู่ในประเทศไทยสามารถซื้อบัตรประกันสุขภาพได้

ข้อเสนอต่อกระทรวงศึกษาธิการ

  1. ขอให้มีประกาศกระทรวงศึกษา ให้เด็กนักเรียน นักศึกษา ที่มีเลขประจำตัวขึ้นต้นด้วยอักษร G ให้สามารถเข้าถึงทุนการศึกษาได้อย่างเท่าเทียมและเป็นธรรม โดยขอให้ออกประกาศกระทรวงศึกษาดังกล่าวให้แล้วเสร็จ และประกาศใช้ไม่เกินปี 2564
  2. ขอให้ตั้งคณะทำงานขึ้นมาศึกษาเพื่อทำบันทึกข้อตกลงระหว่างกระทรวงศึกษาธิการของประเทศไทย กับกระทรวงศึกษาธิการของประเทศสาธารณรัฐแห่งสภาพเมียนมา ให้มีระบบการเทียบโอนและสามารถต่อยอดความรู้ระหว่าง 2 ประเทศได้

ข้อเสนอต่อกระทรวงมหาดไทย

  1. เร่งรัดการจัดทำทะเบียนประวัติกำหนดเลขประตัวประชาชน 13 หลักให้กับเด็กนักเรียนกลุ่มรหัสตัวอักษร G โดยกำหนดเวลาให้เสร็จภายใน 90 วัน
  2. ขอให้กระทรวงมหาดไทยมีคำสั่งแนวทางในการแก้ไขปัญหาสถานะทางทะเบียนให้บุตรที่เคยขึ้นทะเบียนผู้ติดตามแรงงานพ้นสภาพผู้ติดตาม และรายการทะเบียนราษฎรถูกจำหน่ายแล้ว กำลังอยู่ในระหว่างการศึกษาให้จัดทำทะเบียนประวัติตามมาตรา 38 วรรคสอง ตาม พรบ. การทะเบียนราษฎร (ฉบับที่ 2) พ.ศ. ๒๕๕๑ ให้แล้วเสร็จภายในปี 2564
  3. ขอให้มีนโยบายการขึ้นทะเบียนผู้ติดตามแรงงานข้ามชาติ ทุกกลุ่มที่ไม่สามมารถกลับประเทศต้นทางได้โดยเฉพาะ ลูกหลาน คู่สมรส บิดา มารดา 
  4. ขอให้มีโครงสร้างบริหารจัดการการกำหนดสถานะบุคคลตามกฎหมาย โดยมีการกำหนดตัวชี้วัดผลการดำเนินการเป็นไปตามหลักวิชาการและหลักการบริหารราชการทางปกครองให้สอดคล้องกับจำนวนกลุ่มเป้าหมาย.
  5. ขอให้พัฒนาระบบการติดตามผลการยื่นคำร้องขอกำหนดสถานะบุคคลและการร้องเรียนร้องทุกข์กรณีการไม่ได้รับความเป็นธรรมโดยเฉพาะการเรียกรับผลประโยชน์
  6. ขอให้ดำเนินการให้กลุ่มบุคคลที่ได้จัดทำทะเบียนประวัติไว้แล้วทุกประเภทให้สามารถเดินทางภายในราชอาณาจักร
  7. ขอให้เสนอต่อต่อคณะรัฐมนตรีให้มีมติคณะรัฐมนตรีให้กลุ่มบุคคลผู้ไม่มีสถานะทางทะเบียนประเภท (0-89) ที่เดินทางเข้ามาอยู่อาศัยในประเทศไทยครบ 10 ปีมีสิทธิขออยู่อาศัยถาวรได้ และ กระจายอำนาจมาให้ผู้ว่าราชการจังหวัดเป็นผู้อนุมัติ
  8. ขอให้มีคำสั่งแนวทางในการแก้ไขหลักฐาน เอกสารทางทะเบียนที่ขัดแย้งกับข้อเท็จจริง หรือ ขัดแย้งกัน ให้สะดวกและรวดเร็ว
  9. ส่งเสริมการมีส่วนร่วมจากภาคประชาสังคมและภาคี เครือข่ายที่เกี่ยวข้องให้มีการแต่งตั้งคณะทำงานและบันทึกความร่วมมือ จัดทำแผนปฏิบัติการร่วมทั้งในระดับอำเภอและจังหวัดโดยมีกฎกระทรวง มติคณะรัฐมนตรี หรือระเบียบกฎหมายรับรอง.

ข้อเสนอต่อสภาความมั่นคงแห่งชาติ

  1. ขอให้จัดทำยุทธศาสตร์การบริหารจัดการด้านสิทธิและสถานะบุคคลคนที่มีสถานภาพทางกฎหมายทั้งระบบโดยมีภาคประชาสังคม นักวิชาการ ภาคีเครือข่ายที่เกี่ยวข้องมีส่วนร่วม
  2. ขอให้ทบทวน แก้ไข พระราชบัญญัติคนเข้าเมือง พ.ศ 2522 และนโยบายที่เกี่ยวข้องกับคนเข้าเมืองให้สอดคล้องกับสถานการณ์ปัจจุบัน
  3. ขอให้มีนโยบายการบริหารจัดการผู้ลี้ภัยทั้งที่อยู่อาศัยในศูนย์พักพิงชั่วคราวและในเมืองให้ได้รับการคุ้มครองสิทธิเป็นไปตามมาตรฐานหลักสิทธิมนุษยชนสากล

ข้อเสนอต่อกระทรวงคมนาคม

  1. ขอให้ออกกฎกระทรวงให้แรงงานข้ามชาติที่ถือเอกสารถูกต้องทุกคนสามารถทำใบขับขี่ได้โดยเร่งด่วน

“ถ้ารัฐไม่เห็นปัญหา ยังไม่ยอมรับปัญหา ปัญหาจะไม่ได้รับการแก้ไข”

รศ.ดร. กิริยา กุลกลการ คณะเศรษฐศาสตร์ มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวสรุประหว่างนำเสนอหัวข้อนโยบายและมติครม.ที่เกี่ยวข้องกับแรงงานข้ามชาติ 

ทั้งนี้ ข้อเสนอและข้อเรียกร้องข้างต้น เกิดขึ้นจากการระดมสถานการณ์แรงงานข้ามชาติ “ปัญหาที่แรงงานข้ามชาติต้องเผชิญกับนโยบายการบริหารจัดการแรงงานข้ามชาติของรัฐไทย” เมื่อวันที่ 17 ธ.ค. โดยมีสาระสำคัญดังนี้

สถานการณ์ปัญหา

  1. การขึ้นทะเบียนแรงงานและผู้ติดตาม
  2. ขั้นตอนการขึ้นทะเบียนซับซ้อน ใช้เอกสารเยอะ ใช้เวลานาน กระบวนการยุ่งยาก ไม่เอื้อให้ทั้งแรงงานและนายจ้างสามารถดำเนินการเองได้อย่างสะดวก เปิดช่องให้กระบวนการนายหน้าเข้ามาหาประโยชน์ได้
  3. ค่าใช้จ่ายในการต่อบัตรแรงงานสูง ไม่สอดคล้องกับรายได้และค่าครองชีพในประเทศไทยของแรงงานข้ามชาติ เพราะแรงงานยังได้รับค่าจ้างตามค่าแรงขั้นต่ำ หรือบางคนได้รับค่าจ้างที่ต่ำกว่าค่าแรงขั้นต่ำอีกด้วย
  4. นายจ้างไม่รับผิดชอบค่าใช้จ่ายในการขึ้นทะเบียนแรงงาน และบางคนไม่พาแรงงานไปขึ้นทะเบียนเอง ใช้ระบบนายหน้า และผลักภาระค่าใช้จ่ายทั้งหมดให้แรงงาน
  5. ระบบทะเบียนแรงงานข้ามชาติไม่มีมาตรฐาน และไม่เชื่อมโยงกันระหว่างหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น ส่วนใหญ่เจ้าหน้าที่แต่ละหน่วยงานจะสะกดชื่อแรงงานตามคำบอกเล่า ทำให้หลายครั้งเอกสารของแรงงานแต่ละฉบับที่ออกโดยหน่วยงานต่างๆชื่อเขียนไม่ตรงกัน ทั้งที่เป็นคนคนเดียวกัน ทำให้มีผลต่อการยืนยันสถานะบุคคลเพื่อใช้สิทธิต่างๆ และเคยมีกรณีที่เลข 13 หลักของแรงงานข้ามชาติเปลี่ยนเอง ทำให้แรงงานเสียสิทธิเนื่องจากไม่สามารถยืนยันตัวบุคคลได้ และการแก้ไขเอกสารของแรงงาน (ที่เขียนชื่อผิด) แรงงานจะต้องดำเนินการเอง และมีขั้นตอนยุ่งยาก ใช้เวลานาน และใช้เอกสารประกอบเยอะ
  6. งานบางประเภทไม่สามารถขึ้นทะเบียนได้ เช่น งานพนักงานบริการ
  7. งานบางประเภทสามารถขึ้นทะเบียนได้ แต่ต้องจ่ายค่าขึ้นทะเบียนเพิ่มเติม และต้องทำงานเฉพาะภายใต้ประเภทงานนั้นๆ เช่น แรงงานในภาคก่อสร้าง สามารถขึ้นทะเบียนเป็นช่างต่างๆได้ เช่น ช่างไม้ ช่างปูน/ฉาบ เป็นต้น แต่ต้องจ่ายค่าขึ้นทะเบียนช่าง 400 บาท และจะทำได้เฉพาะงานช่างที่ได้รับอนุญาตเท่านั้น ถ้าทำงานอื่นจะถือว่ามีความผิดในฐานทำงานผิดประเภท
  8. ไม่เปิดให้มีการขึ้นทะเบียนผู้ติดตาม ทั้งกลุ่มผู้ติดตามที่เป็นเด็ก และกลุ่มผู้ติดตามที่อายุ 55 ปีขึ้นไป ทำให้เข้าไม่ถึงสิทธิอื่นๆ เช่น การซื้อบัตรประกันสุขภาพ เด็กนักเรียนที่เคยขึ้นทะเบียนผู้ติดตาม (มีแค่ทร.38/1) ไม่สามารถเข้าระบบ G ได้ ทำให้ไม่ได้รับสิทธิด้านการศึกษาหลายอย่าง เช่น ไม่รับเข้าศึกษา ไม่ได้รับเงินอุดหนุน ทุนการศึกษา เป็นต้น
  9. การกำหนดเอกสารเพื่อใช้ยื่นขอใบอนุญาตทำงานของรัฐไทยไม่สอดคล้องกับบริบทการย้ายถิ่น และขาดความชัดเจนในการประสานงานกับประเทศต้นทาง เช่น ปัญหาแรงงานที่มีหนังสือเดินทางสีเขียว (CI) สีแดง (พาสปอร์ต) ยังไม่มีความชัดเจน เพราะต้องต่อวีซ่าภายในเดือนมีนาคม พ.ศ. 2564, บางคนไม่สามารถขอบัตรประชาชนพม่าได้ เพราะว่าไม่มีเอกสารหลักฐานต่างๆในพม่าเพื่อยืนยันได้ ทำให้พิสูจน์สัญชาติไม่ได้ เป็นต้น ทำให้เป็นช่องทางเรียกรับผลประโยชน์จากแรงงานข้ามชาติได้
  10. สถานทูตของประเทศต้นทางไม่อำนวยความสะดวกในการดำเนินงานด้านการทะเบียนและการออกเอกสารที่จำเป็นให้แก่แรงงานข้ามชาติ ดำเนินงานล่าช้า และไม่มีมาตรฐาน เปิดช่องให้กระบวนการนายหน้าเข้ามาหาผลประโยชน์ได้
  11. สถานะของพระเณรที่ยังไม่มีข้อมูลปรากฎชัดเจน แยกแยะสถานะไม่ได้
  12. ไม่มีกฎหมายรองรับเด็กข้ามแดน เด็กผู้ลี้ภัยที่ออกมาเรียน ผู้ลี้ภัยในเมือง ทำให้กลายเป็นผู้หลบหนีเข้าเมือง
  13. ในช่วงการระบาดของโควิด 19 นโยบายการขึ้นทะเบียนไม่ชัดเจน และไม่แจ้งข้อมูลให้แรงงานข้ามชาติและนายจ้างรับรู้อย่างทั่วถึง ทำให้แรงงานข้ามชาติหลายคนต้องเสียค่าปรับ หรือไม่สามารถต่อบัตรได้ทันตามระยะเวลาที่รัฐบาลไทยกำหนด

สิทธิแรงงาน และสภาพการจ้างงาน

  • นายจ้างไม่ขึ้นทะเบียนประกันสังคม และงานบางประเภทก็ไม่สามารถขึ้นทะเบียนในระบบประกันสังคมได้ เช่น แรงงานทำงานบ้าน แรงงานพนักงานบริการ เป็นต้น
  • ไม่ได้รับความคุ้มครองในฐานะที่เป็นแรงงาน เช่น แรงงานทำงานบ้าน แรงงานพนักงานบริการ ไม่สามารถเข้าถึงประกันสังคม กองทุนเงินทดแทน พรบ.คุ้มครองแรงงาน
  • มีชั่วโมงการทำงานมากกว่า 8 ชั่วโมง และไม่ได้เงินค่าทำงานล่วงเวลา (โอที) สำหรับชั่วโมงการทำงานที่เกินมา เช่น แรงงานทำงานบ้าน แรงงานพนักงานบริการ เป็นต้น
  • ทำงานโดยไม่มีวันหยุด (ที่ได้รับค่าจ้าง) หรือวันหยุดประจำสัปดาห์ วันหยุดตามนักขัตฤกษ์
  • ได้รับค่าจ้างค่าแรงที่ไม่เป็นธรรม แรงงานจำนวนมากยังไม่ได้รับค่าแรงในอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ โดยเฉพาะแรงงานทำงานบ้าน แรงงานพนักงานบริการ และแรงงานหญิงยังได้ค่าจ้างน้อยกว่าแรงงานชาย เช่น แรงงานก่อสร้าง และบางคนได้ค่าแรงต่ำกว่าค่าจ้างขั้นต่ำ แรงงานไม่ได้รับค่าจ้างในระหว่างที่ลาคลอด
  • ถูกจำกัดสิทธิในการเดินทาง แรงงานข้ามชาติที่ถือบัตรประจำตัวบุคคลบางประเภท ไม่สามารถเดินทางออกนอกพื้นที่ได้ ต้องมีใบอนุญาตจากหน่วยงานฝ่ายปกครอง หรือมีนายจ้างเดินทางไปด้วยเท่านั้น
  • ถูกหักเงินค่าจ้างอย่างไม่เป็นธรรม เช่น แรงงานพนักงานบริการ ถูกหักเงินหากมีน้ำหนักตัวมากกว่าที่นายจ้างกำหนด เป็นต้น
  • นายจ้างไม่จัดหาอุปกรณ์ป้องกันความปลอดภัยในการทำงานให้ หรือนายจ้างบางคนจัดหาให้ ก็ไม่มีการแนะนำ ให้ความรู้ในการใช้ และอุปกรณ์บางอย่างไม่เหมาะสมกับการทำงานจริงของแรงงาน
  • ถูกเลือกปฏิบัติ เช่น ได้ค่าแรงน้อยกว่าแรงงานไทย,​ ถูกตำหนิหากพักระหว่างการทำงานแต่แรงงานไทยไม่โดนตำหนิ ถูกหักเงินมากกว่าแรงงานไทย เป็นต้น
  • ถูกแสวงหาประโยชน์จากเจ้าหน้าที่บางหน่วยงาน โดยการเก็บส่วย หรือเรียกเงินจากแรงงานข้ามชาติ โดยไม่มีใบเสร็จและหลักฐานการปรับ โดยเฉพาะในกรณีทำงานผิดประเภท เช่น แรงงานก่อสร้าง แรงงานพนักงานบริการ เป็นต้น
  • ไม่ได้รับความคุ้มครองและบางกรณีถูกละเมิดสิทธิแรงงาน จากการจ้างงานเป็นลูกจ้างของนายจ้างที่รับงานแบบเหมาช่วง แม้กระทั่งเป็นภายใต้การประมูลเพื่อทำงานให้หน่วยงานภาครัฐ เพราะผู้ว่าจ้างให้ความสำคัญเพียงการหาบริษัทที่เข้ามาประมูลในค่าใช้จ่ายที่ต่ำที่สุดที่จะหาได้ โดยไม่มีการตรวจสอบการดูแลแรงงานลูกจ้างของบริษัทนั้นๆว่ามีการละเมิดสิทธิแรงงานหรือไม่ เช่น จ่ายค่าแรงตามอัตราค่าจ้างขั้นต่ำ เป็นต้น
  • ไม่มีความมั่นคงในชีวิต เพราะไม่มีทางเลือกในการทำงาน โดยเฉพาะเมื่อมีการระบาดของโรคโควิด 19 ทำให้หางานยากขึ้น แรงงานบางคนที่มาจากพื้นที่ชายแดนถูกปฏิเสธการจ้างเข้าทำงาน เพราะนายจ้างกลัวว่าจะติดโควิด 19
  • ถูกลดค่าจ้าง และบางคนถูกเลิกจ้างในช่วงโควิด 19 ระบาด เช่น แรงงานพนักงานบริการ เป็นต้น
  • ในช่วงการระบาดของโควิด 19 ไม่ไ้ด้รับความช่วยเหลือ ทั้งความช่วยเหลือเบื้องต้น เช่น อาหาร หรือการเยียวยาต่างๆ จากทั้งรัฐบาลไทย และรัฐบาลเมียนมาร์ (ประเทศต้นทาง) ทั้งกลุ่มแรงงานข้ามชาติที่มาจากประเทศพม่า และกลุ่มชาติพันธุ์ที่ยังมีสถานะบุคคลไม่ชัดเจน
  • แรงงานข้ามชาติที่อายุ 55 ปีขึ้นไป ไม่สามารถต่อใบอนุญาตทำงานได้ รัฐไทยกำหนดว่าต้องกลับประเทศต้นทาง ทั้งที่หลายคนมีครอบครัวที่ยังอาศัยอยู่ในประเทศไทย ก็จะถูกแยกจากครอบครัวถ้ากลับประเทศต้นทาง
  • ผู้ติดตามที่เป็นกลุ่มเด็กและผู้สูงอายุ ไม่สามารถซื้อบัตรประกันสุขภาพได้ เพราะไม่มีเอกสาร ทำให้เข้าไม่ถึงบริการสุขภาพที่เหมาะสม เพราะกลัวเป็นภาระลูกหลาน และกลัวโดนจับส่งกลับ

การศึกษา

  • เด็กย้ายถิ่นที่ไม่มีเลข 13 หลัก ทำให้ครูไม่สามารถออกวุฒิการศึกษาให้ได้ หากต้องการเด็กย้ายถิ่นจะต้องไปดำเนินการเอง นักเรียนเด็กย้ายถิ่นไม่ได้รับทุนการศึกษาของรัฐ เข้าไม่ถึงเงินอุดหนุนของรัฐ เข้าไม่ถึงประกันสุขภาพ แม้ว่าบางโรงเรียนมีประกันรวมสำหรับนักเรียนทุกคน แต่ก็มักจะมีข้อจำกัดสำหรับนักเรียนเด็กย้ายถิ่น บางโรงเรียนไม่มีประกันรวม และบางโรงเรียนไม่รับเข้าศึกษา
  • ชื่อในเอกสารบุคคลและวุฒิการศึกษาไม่ตรงกัน ทำให้ไม่สามารถเรียนต่อในระดับอุดมศึกษาได้
  • ระบบโอนการศึกษาและเทียบโอนการศึกษาระหว่างไทยและเมียนมาร์ยังไม่มี ทำให้นักเรียนที่ย้ายกลับไปประเทศเมียนมาร์ต้องเริ่มต้นเรียนใหม่

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ