มูลนิธินิติธรรมสิ่งแวดล้อม – EnLAW
องค์กรด้านกฎหมายสิ่งแวดล้อมขึ้นมาเพื่อทำหน้าที่สนับสนุนรณรงค์ให้มีการแก้ไขปัญหาความบกพร่องของระบบกฎหมายสิ่งแวดล้อมที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ออกจดหมายเปิดผนึกการจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และ/หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจ
จดหมายเปิดผนึกภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
วันที่ 18 พฤศจิกายน 2563
เรื่อง การจงใจละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และ/หรือปฏิบัติหน้าที่ไม่ชอบของเจ้าหน้าที่ตำรวจเรียน ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติ, ผู้บัญชาการตำรวจนครบาล
จากเหตุสลายการชุมนุมของคณะราษฎรและการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมกับมวลชนอีกฝ่ายเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ศูนย์เอราวัณรายงานยอดผู้บาดเจ็บรักษาตัวในโรงพยาบาล รวม 41 ราย ได้แก่ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล 37 ราย โรงพยาบาลรามาธิบดี 1 ราย โรงพยาบาลพระรามเก้า 2 ราย และโรงพยาบาลเพชรเวท 1 ราย ในจำนวนนี้ เบื้องต้นพบบาดแผลถูกยิงรวม 5 ราย ได้แก่ โรงพยาบาลวชิรพยาบาล 1 ราย (บาดแผลที่ขา) โรงพยาบาลรามาธิบดี 1 ราย (บาดแผลที่ข้อมือ) โรงพยาบาลพระรามเก้า 2 ราย (บาดแผลที่ขา) และโรงพยาบาลเพชรเวท 1 ราย (บาดแผลที่ท้อง)
ในการชุมนุมหลายครั้งก่อนเหตุการณ์วันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 มีข้อเท็จจริงและพยานหลักฐานเพียงพอที่เจ้าหน้าที่ตำรวจจะพิสูจน์ทราบได้ว่าจะเกิดการทำร้ายร่างกายระหว่างที่มีการเผชิญหน้าของมวลชนทั้งสองกลุ่ม ผบ.ตร. หรือ ผบ.ชน. สามารถออกคำสั่งให้มีการดูแลความปลอดภัยอย่างเคร่งครัด ณ จุดที่มีมวลชนทั้งสองฝ่ายปักหลักอยู่ ดังจะเห็นได้จากภาพข่าวที่สื่อมวลชนรายงาน ปรากฏชัดเจนว่ามีเจ้าหน้าที่ตำรวจตั้งแนวกั้นอยู่ระหว่างผู้ชุมนุมทั้งสองกลุ่มอยู่ช่วงระยะเวลาหนึ่ง แต่ต่อมากลับมีการถอนกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจจากจุดดังกล่าว จนเกิดการปะทะกันระหว่างผู้ชุมนุมทั้งสองฝ่ายในเวลาประมาณ 17.00 น.เศษ แต่ท่านก็ยังเพิกเฉย ละเว้นการปฏิบัติหน้าที่โดยไม่จัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อไม่เข้าระงับเหตุ จนกระทั่งมีการปะทะกันอีกครั้งในช่วงเวลาประมาณ 20.00 น.เศษ ทำให้ผู้ชุมนุมกลุ่มราษฎรได้รับบาดเจ็บ และเป็นการบาดเจ็บที่เกิดจากกระสุนปืนถึง 5 ราย
ข้อเท็จจริงดังกล่าว ถือเป็นการละเว้นการปฏิบัติหน้าที่และ/หรือปฏิบัติหน้าที่โดยไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ประชาชน ซึ่งท่านมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญา
และในเวลา 16.00 น. ของวันนี้ (18 พฤศจิกายน 2563) จะมีการชุมนุมของกลุ่มราษฎรบริเวณแยกราชประสงค์ ซึ่งท่านมีหน้าที่ตามกฎหมายในการป้องกันเหตุอันตรายโดยการจัดกำลังเจ้าหน้าที่ตำรวจเพื่อดูแลความปลอดภัยในการชุมนุม หากท่านยังละเลย ปล่อยให้มีการใช้อาวุธ ใช้ความรุนแรงจนเกิดเหตุปะทะกันดังที่เกิดขึ้นเมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน 2563 ย่อมเป็นการจงใจลิดรอนเสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนโดยอาศัยมวลชนอีกฝ่ายเป็นเครื่องมือใช้ความรุนแรงเพื่อสร้างความหวาดกลัว
พฤติการณ์ของท่านดังกล่าวข้างต้น ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน จะได้ดำเนินการแจ้งความร้องทุกข์หรือฟ้องคดีอาญาท่านตามกฎหมายต่อไป
ภาคีนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน
Human Rights Lawyers Association
แถลงการณ์ขอให้รัฐบาลยุติการใช้ความรุนแรงต่อผู้ที่ออกมาใช้เสรีภาพในการชุมนุมโดยสงบโดยทันทีและให้รัฐสภารับร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับเพื่อเปิดพื้นที่สันติวิธีที่ประชาชนทุกคนได้มีส่วนร่วมทางการเมืองและสังคม
จากกรณีเจ้าหน้าที่ตำรวจได้นำกำลังเข้าปิดกั้น สกัดและฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนที่ไปร่วมชุมนุมติดตามว่าร่างรัฐธรรมนูญ ฉบับประชาชน จะผ่านการพิจารณาของสภาหรือไม่ ซึ่งเป็นหนึ่งใน 3 ข้อเรียกร้องของประชาชนมาตลอด ได้แก่ 1.ให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกฯ และองคาพยพ ลาออก 2. รัฐสภาต้องเปิดประชุมวิสามัญทันทีเพื่อรับร่างแก้ไขรัฐธรรมนูญฉบับประชาชน และ 3. ปฏิรูปสถาบันกษัตริย์ให้อยู่ภายใต้รัฐธรรมนูญตามระบอบประชาธิปไตย โดย นอกจากมีการฉีดน้ำผสมแก๊สน้ำตาใส่ประชาชนที่ไปร่วมชุมนุมแล้ว เจ้าหน้าที่ยังมีการเตรียมใช้กระสุนเพื่อยกระดับมาตรการควบคุมฝูงชนด้วยนั้น
สมาคมนักกฎหมายสิทธิมนุษยชน (สนส.) มีความเห็นว่า การใช้เสรีภาพในการชุมนุมของประชาชนเพื่อเรียกร้องและติดตามการลงมติต่อร่างรัฐธรรมนูญที่ประชาชนได้ร่วมกันเสนอ ที่บริเวณหน้ารัฐสภานั้น ยังถือเป็นการชุมนุมโดยสงบและปราศจากอาวุธ อันเป็นสิทธิอันชอบธรรมที่พึงกระทำได้ตามรัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 มาตรา 44 และกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง ข้อบทที่ 21 ที่รัฐไทยมีพันธกรณีที่ต้องปฏิบัติตาม ซึ่งการจำกัดใช้เสรีภาพในการชุมนุมดังกล่าวย่อมกระทำไม่ได้ การอาศัยเพียงข้อเท็จจริงที่ว่าผู้ชุมนุมไม่ปฏิบัติตามกฎหมายภายในประเทศเกี่ยวกับการชุมนุมบางประการ ไม่อาจทำให้การชุมนุมนั้นกลายเป็นการชุมนุมที่ไม่สงบจนเป็นเหตุให้รัฐใช้ความรุนแรงต่อผู้ชุมนุมได้
การที่เจ้าหน้าที่รัฐฉีดน้ำแรงดันสูงและแก็สน้ำตาใส่ผู้ชุมนุมที่เพียงต้องการเข้าไปชุมนุมโดยสงบบริเวณหน้ารัฐสภานั้น ถือเป็นการปฏิบัติหน้าที่ที่ละเมิดต่อเสรีภาพในการชุมนุมตามที่รัฐธรรมนูญและกฎหมายระหว่างประเทศรับรองไว้ ทั้งยังไม่สอดคล้องกับหลักเกณฑ์และแนวปฏิบัติเรื่องการสลายการชุมนุมตามหลักสากล เนื่องจากตามหลักการแล้ว ก่อนใช้กำลังเจ้าหน้าที่ควรต้องพิจารณา (1) หลักความถูกต้องตามกฎหมาย โดยต้องมั่นใจว่ากำลังที่จะใช้ เป็นไปตามข้อกำหนดของตำรวจ สอดคล้องกับรัฐธรรมนูญ (2) หลักความจำเป็นอย่างเข้มงวด กล่าวคือการใช้ความรุนแรงควรเป็นหนทางสุดท้ายในการนำมาใช้ (3) หลักความได้สัดส่วน โดยการใช้กำลังจะต้องเป็นไปตามเป้าประสงค์เพื่อให้บรรลุผลถึงการใช้กฎหมาย ไม่เช่นนั้นจะถือเป็นปฏิบัติเกินกว่าเหตุและไม่ได้สัดส่วน และ(4) หลักความรับผิดชอบ เมื่อรัฐเป็นผู้ใช้กำลังทุกครั้ง รัฐจะต้องรับผิดชอบต่อผลเสียหายที่เกิดขึ้น โดยควรจะมีกลไกที่ไม่ใช่การตรวจสอบกันเองภายในองค์กร แต่ต้องมีองค์กรที่ตั้งขึ้นมาตรวจสอบอย่างเป็นอิสระ เพื่อไม่ให้เกิดการลอยนวลความผิด
ในการนี้สมาคมฯขอเรียกร้องให้รัฐบาลและผู้บัญชาการสำนักงานตำรวจแห่งชาติ
- รัฐต้องยุติการใช้อำนาจที่จำกัดสิทธิเสรีภาพในการแสดงออก การแสดงความคิดเห็น และการชุมนุมโดยสงบของประชาชนทุกกลุ่ม โดยต้องอำนวยความสะดวกให้การชุมนุมเป็นไปโดยสงบ
- หน่วยงานรัฐและเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้องต้องรับผิดชอบในทางกฎหมายต่อการกระทำดังกล่าว ทั้งทางแพ่ง อาญา และทางวินัย ถ้าหากมี เพื่อไม่สร้างวัฒนธรรมลอยนวลพ้นผิด และป้องปรามและป้องกันไม่ให้มีการกระทำของเจ้าหน้าที่เช่นนี้เกิดขึ้นอีกในอนาคต
- เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องปฏิบัติหน้าที่อย่างมืออาชีพ เป็นอิสระ และปฏิบัติหน้าที่ในการบังคับใช้กฎหมายเพื่อผดุงความยุติธรรมและปกป้องสิทธิเสรีภาพของประชาชน โดยไม่ยอมตกเป็นเครื่องมือของบุคคลกลุ่มใด
- ให้รัฐสภารับร่างรัฐธรรมนูญทุกฉบับ เพื่อเปิดพื้นที่สันติวิธีที่ประชาชนทุกคนได้มีส่วนร่วมในการจัดทำรัฐธรรมนูญใหม่ในทุกประเด็นที่เป็นข้อขัดแย้งทางสังคมอยู่ในปัจจุบัน
ด้วยความเคารพต่อสิทธิมนุษยชนและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์
ภาคีศิลปินและคณะดนตรีเสรีแห่งประเทศไทย
#ภาคีศิลปินและคณะดนตรีเสรีแห่งประเทศไทย#AFAMT
แถลงการณ์
18 พฤศจิกายน 2563
ในนามภาคีศิลปินและคณะดนตรีเสรีแห่งประเทศไทย เราขอประนามการปฏิบัติแบบสองมาตรฐานของผู้บังคับใช้อำนาจ และการใช้ความรุนแรงทุกรูปแบบกับผู้ชุมนุม ที่เพียงต้องการไปติดตามผลการรับร่างรัฐธรรมนูญด้วยความสงบ
มีพี่น้อง และเพื่อนพ้องของพวกเราที่โดนแก๊สน้ำตา น้ำผสมสารเคมีที่ทำให้ เกิดการระคายเคืองจากเจ้าหน้าที่รัฐ มิหนำซ้ำ ยังปล่อยให้มีการใช้อาวุธ ขว้างปาสิ่งของ และแย่ที่สุด คือ มีการใช้กระสุนจริง กับผู้ที่เห็นต่างทางการเมือง ทั้งที่เป็นหน้าที่ของตำรวจ ที่ต้องควบคุมการชุมนุมให้เป็นไปโดยความสงบ และปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
หากแต่เจ้าหน้าที่รัฐ หันหลังให้กับประชาชนครั้งแล้วครั้งเล่า หลับตาข้างเดียวปล่อยให้ประชาชนอีกกลุ่มเข้าไปบริเวณรัฐสภา เพื่อตั้งกำลังเตรียมมาทำร้ายผู้ชุมนุมอีกฝั่งได้อย่างหน้าตาเฉย
พวกเราขอร่วมประนามเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น ความอยุติธรรมและความรุนแรงไม่สมควรได้รับการยอมรับหรือเพิกเฉย
และขอเชิญชวนให้ทุกคนไปแสดงพลังกันที่แยกราชประสงค์ในวันพุธที่ 18 พฤศจิกายน เวลา 16.00 น. โดยพร้อมเพรียงกัน
เราจะทำให้ ถนนที่ชื่อว่า ความประสงค์ของ ‘ราชา’ กลายเป็น ‘ราษฎร์’ ประสงค์ อย่างแท้จริง
ภาคีศิลปินและคณะดนตรีเสรีแห่งประเทศไทย