ชมรมอนุรักษ์ลุ่มน้ำสงคราม
16 กรกฎาคม 2563
เปิด 12 ญัตติพรรคเพื่อไทย ที่นำมาซึ่งการแต่งตั้ง ‘กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ’ ที่กำลังผลักดันโครงการสร้างเขื่อนเพื่อผันน้ำโขงเข้าสู่แม่น้ำเลย ชี มูล สงคราม อยู่ในขณะนี้…
หลักการแบ่งแยกอำนาจ 3 ฝ่าย คือ (1) อำนาจฝ่ายบริหารโดยการทำหน้าที่รัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี (2) อำนาจฝ่ายนิติบัญญัติโดยการทำหน้าที่ของ ส.ส. และ ส.ว. ในระบบรัฐสภา และ (3) อำนาจฝ่ายตุลาการโดยการทำหน้าที่ของศาลต่าง ๆ เป็นหลักที่ยึดถือเป็นธรรมเนียมปฏิบัติในการบริหารและปกครองบ้านเมืองเรามายาวนาน
ในส่วนของอำนาจฝ่ายนิติบัญญัตินั้น นอกจากการประชุมสภาของ ส.ส. และ ส.ว. เพื่อพิจารณากฎหมาย ตั้งกระทู้ เสนอญัตติ และเรื่องราวต่าง ๆ ของบ้านเมืองแล้ว ก็ยังมีอีกเครื่องมือและกลไกหนึ่ง นอกเหนือจากการประชุมสภา นั่นคือ การตั้ง ‘กรรมาธิการ’, ‘กรรมาธิการวิสามัญ’ และ ‘อนุกรรมาธิการ’, ‘อนุกรรมาธิการวิสามัญ’, ฯลฯ ภายใต้กรรมาธิการชุดต่าง ๆ เพื่อหนุนเสริมให้อำนาจนิติบัญญัติปฏิบัติหน้าที่ให้กับพลเมืองและประชาชนของตนเพื่อทำให้มีคุณภาพชีวิตดียิ่งขึ้น
ปัจจุบัน รัฐสภาในยุคของรัฐบาลประยุทธ 2 ซึ่งสืบทอดอำนาจมาจากรัฐบาลประยุทธ 1 ซึ่งปกครองประเทศด้วยการทำรัฐประหารยึดอำนาจจากรัฐบาลพลเรือนภายใต้การนำของยิ่งลักษณ์ หัวหน้าพรรคเพื่อไทย เมื่อปี 2557 ได้แต่งตั้งกรรมาธิการและกรรมาธิการวิสามัญขึ้นมาหลายคณะ โดยมีกรรมาธิการวิสามัญคณะหนึ่ง คือ ‘กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ’ ที่เกิดจากการผลักดันของ ส.ส. พรรคเพื่อไทยเป็นหลัก ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านที่ประกาศตัวเองว่าเป็นพรรคฝ่ายประชาธิปไตย อยู่ขั้วตรงข้ามกับพรรคฝ่ายรัฐบาลที่เป็นเผด็จการอำนาจนิยมนำโดยพรรคพลังประชารัฐ ที่สนับสนุนการสืบทอดอำนาจของเผด็จการทหาร คสช. จนกลายมาเป็นรัฐบาลประยุทธ 2 อยู่ในขณะนี้
เหตุที่บอกว่ากรรมาธิการวิสามัญชุดนี้เกิดขึ้นโดย ส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นหลัก ก็เพราะ ส.ส.พรรคเพื่อไทยเป็นตัวตั้งตัวตีในการยื่นญัตติคล้าย ๆ กันถึง 12 ญัตติ จากทั้งหมด 19 ญัตติ
และญัตติปฐมบทซึ่งเป็นที่มาของการแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ก็เป็นของ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.ลพบุรี โดยนายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ที่ยื่นญัตติปฐมบทขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการผันน้ำ โขง เลย ชี มูล ป่าสัก จนนำมาซึ่งการแต่งตั้งกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้เมื่อคราวการประชุมสภาผู้แทนราษฎร ชุดที่ 25 ปีที่ 1 ครั้งที่ 7 (สมัยสามัญประจำปีครั้งที่ 2) วันศุกร์ที่ 22 พฤศจิกายน 2562
อีก 11 ญัตติที่เหลือของพรรคเพื่อไทย มีดังนี้
1. ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการผันน้ำ โขง กก อิง น่าน เจ้าพระยา ป่าสัก ท่าจีน แม่กลอง ซึ่งนายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.ลพบุรี เป็นผู้เสนอ
2. ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการผันน้ำโขง ชี มูล สงคราม แม่น้ำลำพะยัง และลำน้ำปาว เพื่อแก้ปัญหาภัยแล้ง ซึ่งนายชูวิทย์ พิทักษ์พรพัลลภ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.อุบลราชธานี กับคณะ เป็นผู้เสนอ
3. ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการบริหารจัดการน้ำบริเวณลุ่มน้ำชีและลำน้ำสาขาแบบบูรณาการ ซึ่งนายฉลาด ขามช่วง ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.ร้อยเอ็ด กับคณะ เป็นผู้เสนอ
4. ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการพัฒนาและบูรณาการลุ่มแม่น้ำสงครามอย่างเป็นระบบ ซึ่งนายเกษม อุประ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.สกลนคร เป็นผู้เสนอ
5. ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญเพื่อศึกษาและหาแนวทางในการจัดทำโครงการก่อสร้างฝายกักเก็บน้ำในแม่น้ำลำพะยัง ตั้งแต่บริเวณ ต.คุ้มเก่า อ.เขาวง จ.กาฬสินธุ์ จนถึงบริเวณ อ.โพนทอง จ.ร้อยเอ็ด ซึ่งนายประเสริฐ บุญเรือง ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.กาฬสินธุ์ เป็นผู้เสนอ
6. ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาการสร้างฝายกักเก็บน้ำลำเซบายและลำห้วยโพง ซึ่งนายธนกร ไชยกุล ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.ยโสธร เป็นผู้เสนอ
7. ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล สงคราม ป่าสัก กก อิง น่าน เจ้าพระยา ท่าจีน แม่กลอง ซึ่งนายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ และนายกิตติศักดิ์ คณาสวัสดิ์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.ศรีสะเกษ และ จ.มหาสารคาม ตามลำดับ เป็นผู้เสนอ
8. ญัตติด่วน เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญแก้ไขปัญหาการบริหารจัดการน้ำในแม่น้ำโขง ซึ่งนายจาตุรงค์ เพ็งนรพัฒน์ และนายอุบลศักดิ์ บัวหลวงงาม ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.ศรีสะเกษ และ จ.ลพบุรี ตามลำดับ เป็นผู้เสนอ
9. ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรพิจารณาศึกษาแนวทางการผันน้ำจากเขื่อนป่าสักชลสิทธิ์มายังอ่างเก็บน้ำลำตะคอง จ.นครราชสีมา เพื่อแก้ปัญหาการขาดแคลนน้ำอุปโภคบริโภคและการเกษตรกรรม ซึ่งนายประเสริฐ จันทรรวงทอง ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.นครราชสีมา เป็นผู้เสนอ
10. ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาการพัฒนาและการบริหารจัดการน้ำอย่างเป็นระบบของลุ่มน้ำโขง เลย ลำพะเนียง ห้วยหลวง ชี และมูล ซึ่งนายขจิตร ชัยนิคม และนางเทียบจุฑา ขาวขำ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.อุดรธานี เป็นผู้เสนอ
11. ญัตติ เรื่อง ขอให้สภาผู้แทนราษฎรตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการน้ำในบริเวณแม่น้ำโขง แม่น้ำชี แม่น้ำมูล และลำน้ำเสียว ทั้งระบบ ซึ่งนางผ่องศรี แซ่จึง และนางสาวสกุณา สาระนันท์ ส.ส.พรรคเพื่อไทย จ.ศรีสะเกษ และ จ.สกลนคร ตามลำดับ เป็นผู้เสนอ
นี่คือทั้งหมดทั้งมวลของญัตติพรรคเพื่อไทยที่นำมาซึ่งกรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ จนนำมาซึ่งการผลักดัน ‘โครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล’ (รวมแม่น้ำสงครามด้วย) อยู่ในขณะนี้ ซึ่ง ‘อนุกรรมาธิการพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการกลุ่มลุ่มน้ำโขง เลย ชี มูล สงคราม’
ภายใต้กรรมาธิการวิสามัญชุดนี้ได้ลงมาศึกษาดูงานที่บ้านท่าก้อน หมู่ 8 หมู่บ้านที่ตั้งอยู่ริมแม่น้ำสงครามในเขต ต.ท่าก้อน อ.อากาศอำนวย จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 20 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมา โดยมีวัตถุประสงค์ที่จะผลักดันให้เกิดการสร้างเขื่อนปิดกั้นแม่น้ำสงครามที่ปากแม่น้ำ และที่บริเวณบ้านท่าก้อน และบริเวณอื่น ๆ ของแม่น้ำสงครามและลำน้ำสาขาด้วย
ขณะเดียวกัน อีกด้านหนึ่ง สำนักงานทรัพยากรน้ำแห่งชาติ (สทนช.) ซึ่งเป็นหน่วยงานในระบบราชการภายใต้การกำกับดูแลของอำนาจฝ่ายบริหารโดยรัฐบาลหรือคณะรัฐมนตรี ก็ได้ดำเนินการว่าจ้างบริษัทที่ปรึกษาดำเนิน ‘โครงการศึกษาความเหมาะสมการบรรเทาอุทกภัยและภัยแล้งลุ่มน้ำสงคราม’ โดยจัดเวทีรับฟังความคิดเห็นกับชุมชนในลุ่มน้ำสงครามไปแล้วหลายเวทีในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา เพื่อที่จะผลักดันให้เกิดการสร้างเขื่อนปิดกั้นแม่น้ำสงครามเช่นเดียวกันกับอนุกรรมาธิการฯ ภายใต้กรรมาธิการวิสามัญชุดนี้
เป็นการทำงานที่หนุนเสริมกันระหว่างอำนาจฝ่ายบริหารและอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติ ซึ่งเป็นการใช้อำนาจรัฐที่ซ้อนทับเพื่อหนุนเสริมและสร้างความชอบธรรมให้แก่กันและกันมากเกินไปในการผลักดันนโยบายและโครงการพัฒนา
ทั้ง ๆ ที่การทำงานของอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติในชั้นกรรมาธิการชุดต่าง ๆ ควรเป็นเครื่องมือและกลไกสำคัญที่ควรตระหนักถึงหลักการแบ่งแยกอำนาจให้เด็ดขาดชัดเจน เพื่อถ่วงดุลและตรวจสอบนโยบายและโครงการพัฒนาต่าง ๆ ทั้งของรัฐและเอกชนที่สร้างความเดือดร้อนแก่ประชาชน เพื่อที่จะให้รัฐและเอกชนเกิดธรรมาภิบาลในการพัฒนามากยิ่ง ๆ ขึ้น
ไม่ควรที่กรรมาธิการชุดต่าง ๆ ของอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติจะเป็นผู้เล่นที่ผลักดันนโยบายและโครงการพัฒนาต่าง ๆ เสียเอง
จึงไม่แปลกที่มีผู้สังเกตการณ์ทางสังคมและการเมืองมักกล่าวว่า ความขัดแย้งระหว่างพรรคฝ่ายรัฐบาลและพรรคฝ่ายค้านที่เราเห็นกันในสื่อต่าง ๆ ว่ามีอุดมการณ์ทางสังคมและการเมืองคนละขั้ว เป็นความขัดแย้งระหว่างนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยที่สังกัดพรรคฝ่ายค้าน กับนักการเมืองฝ่ายเผด็จการอำนาจนิยมที่สังกัดพรรคฝ่ายรัฐบาล ไม่มีอยู่จริง
เมื่อมองผ่านการทำงานของ ‘กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ’ ยิ่งเห็นได้ชัดว่า ส.ส.พรรคเพื่อไทย ที่อ้างตัวว่าเป็นนักการเมืองฝ่ายประชาธิปไตยสังกัดพรรคฝ่ายค้าน แท้จริงแล้ว ทำตัวเหมือน ส.ส.ฝ่ายรัฐบาลที่หนุนเผด็จการอำนาจนิยม เพราะแทนที่จะทำหน้าที่ตรวจสอบและถ่วงดุลนโยบายและโครงการพัฒนาของรัฐและเอกชน เช่น โครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล (รวมแม่น้ำสงครามด้วย) กลับทำหน้าที่หนุนเสริมอำนาจฝ่ายบริหาร หันเหตนเองออกจากประชาชน เพื่อผลักดันให้เกิดการสร้างเขื่อนปิดกั้นแม่น้ำสงครามเสียเอง
และนี่คือการเปิด 12 ญัตติ พรรคเพื่อไทย ที่นำมาซึ่งการแต่งตั้ง ‘กรรมาธิการวิสามัญพิจารณาศึกษาแนวทางการบริหารจัดการลุ่มน้ำทั้งระบบ’ ซึ่งเป็นเครื่องมือและกลไกของอำนาจฝ่ายนิติบัญญัติที่หนุนเสริมและสร้างความชอบธรรมให้กับอำนาจฝ่ายบริหารเพื่อร่วมกันผลักดันโครงการผันน้ำโขง เลย ชี มูล (รวมแม่น้ำสงครามด้วย) อยู่ในขณะนี้