นครวัด “นครของประชาชน”
“อารยะธรรมที่ยิ่งใหญ่ไม่อาจล่มสลายจากการรุกรานภายนอกแต่เกิดจากการล่มสลายภายใน”
อารยะธรรมขอมเป็นอารยะธรรมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดอารยะธรรมหนึ่งในเอเชียตะวันออกเฉียงใต้เปรียบเทียบได้กับอารยะธรรมกรีซ อารยะธรรมอียิปต์ ซึ่งมีอิทธิพลต่ออาณาจักรอื่นๆ บริเวณแถบอุษาคเนย์ ไม่ว่าจะเป็นด้านแนวคิดทางการเมือง การปกครอง ความเชื่อ วัฒนธรรม และขนบธรรมเนียมประเพณีต่างๆนักประวัติศาสตร์หลายคนได้เสนอข้อคิดเห็นไว้ว่า ลายสือไทยของพ่อขุนรามคำแหง ดัดแปลงมาจากตัวอักษรขอมและพ่อขุนรามคำแหงเองก็อาจจะพูดภาษาขอมมาก่อนที่จะสลัดแอกออกจากอาณาจักรขอมนอกจากนี้ภาษาขอมยังปรากฏในคำราชาศัพท์และใช้ผสมปนเปกับคำไทยจนคนไทยคิดว่าเป็นคำไทยแท้ หรือแม้แต่การเมืองการปกครองก็รับเอาการปกครองแบบรวมศูนย์ไว้ที่กษัตริย์ หรือ “ราชาธิราช” หรือ “สมมติเทพ” หมายความว่าผู้ปกครองคือ “โอรสสวรรค์”
การสร้างปราสาทหินอันใหญ่โตมโหฬารต่างๆก็เพื่อรับใช้แนวคิดอุดมการณ์ของผู้ปกครองทั้งหลายที่เชื่อว่าตัวเองคือเทพลงมาจุติ เช่นเดียวกับนครวัดของพระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ สร้างขึ้นในช่วงพุทธศตวรรตที่ ๑๗ ซึ่งหากมองจากมุมสูงแล้วเปรียบเทียบกับแผนภูมิจักรวาลจะเห็นว่า ปราสาทปรางค์ประธานตรงกลางสูงเด่นเป็นสง่าเปรียบประหนึ่งเขาพระสุเมรุอันเป็นแกนกลางของจักรวาล แล้วรายล้อมด้วยปราสาทบริวารอีก ๔ ปรางค์ เปรียบเหมือนทวีปทั้ง ๔ และล้อมรอบด้วยกำแพงแก้วหมายถึง “มหานทีสีทันดร” ซึ่งเป็นแนวคิดแบบแนวคิด “จักรวาลวิทยา” ที่เชื่อว่าทุกสิ่งทุกอย่างมีศูนย์กลาง ดังนั้น การปกครองต้องมีศูนย์กลางซึ่งก็คือ กษัตริย์ เมื่อเริ่มก่อสร้างนั้น นครวัดเป็นเทวสถานตามแนวคิดศาสนาแบบฮินดูสร้างเพื่อถวายแด่พระวิษณุหรือพระนารายณ์ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็นศาสนาแบบพุทธในสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗
ปราสาทหินนครวัดเป็นสิ่งก่อสร้างทางศาสนาที่มีขนาดใหญ่ที่สุดของโลก ตัวเทวสถานถือเป็นที่สุดของสถาปัตยกรรมเขมรสมัยคลาสสิกรุ่งเรือง ใช้ระยะเวลาในการก่อสร้างร่วม ๑๐๐ ปี ใช้หินรวม ๖๐๐,๐๐๐ลูกบาศก์เมตร ใช้แรงงานช้างกว่า ๔๐,๐๐๐เชือก และใช้แรงงานเกณฑ์หลายแสนคนในการขนหินและชักลากหินมาจากเขาพนมกุเลน ซึ่งอยู่ห่างออกไปกว่า ๕๐กิโลเมตร มาสร้าง มีเสาทั้งหมด ๑,๐๐๐ต้น หนักต้นละกว่า ๑๐ ตัน ใช้ช่างแกะสลักอีกกว่า ๕,๐๐๐ คน ใช้เวลาในการแกะสลักถึง ๔๐ ปี เรียกได้ว่าเป็นการระดมสรรพกำลังทั้งหมดของสังคมลงไป ไม่ว่าจะเป็นช่างฝีมือดี งบประมาณการก่อสร้าง ผลิตผลการเกษตรต่างๆที่หล่อเลี้ยงแรงงาน และไพร่ ทาส บริวารอีกมากมาย ซึ่งหมายถึง การทุ่มเทเลือดเนื้อ หยาดเหงื่อ และชีวิตของพวกเขาด้วย อาจกล่าวได้ว่า ความสามารถของสังคมขอมถูกเกณฑ์มาใช้อย่างเต็มกำลังและสุดฝีมือ
ทั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อให้คนยุคปัจจุบันชื่นชมความวิจิตรงดงามและถ่ายรูปเก็บไว้ตระการตาเป็นที่ประทับใจ อย่างโก้ๆ หากแต่สร้างขึ้นเพื่อรับใช้พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒ เพื่อบรรจุพระศพของพระองค์หลังจากสิ้นพระชนม์ เพื่อประกาศศักดาความยิ่งใหญ่ให้สมกับเป็นสมมติเทพ ทำนองเดียวกันกับพิรามิดในอียิปต์ ที่สร้างขึ้นเพื่อเป็นบรรจุศพของฟาโรห์ และทรัพย์สินเงิน ข้าวของเครื่องใช้มากมายมหาศาล ตามความเชื่อเรื่องโลกหลังความตาย หรือ ในไทยโบราณที่สร้างเจดีย์เพื่อบรรจุกระดูกบรรพบุรุษ หรือเครือญาติวงศ์ตระกูล กษัตริย์ไทยหลายพระองค์ก็ชอบสร้างวัดประจำรัชกาลเช่นเดียวกัน บนพื้นฐานความเชื่อว่าเป็นการอุทิศให้แก่บรรพบุรุษ และเก็บข้าวของเครื่องใช้ ทรัพย์สมบัติ แต่ประวัติศาสตร์มักเป็นเรื่องราวของผู้เขียนประวัติศาสตร์ นครวัดสร้างขึ้นเพื่อเป็นที่เชิดหน้าชูตาแกผู้สร้างและผู้ตาย เป็นของประดับบ้านเมืองให้ดูงาม และหากเป็นความเชื่อทางศาสนาก็เป็นการแสวงบุญส่วนตัวของผู้สร้างเอง ไม่ได้เป็นบุญคุณอะไรแก่ประชาชนในสังคมเลย แต่เป็นการสร้างภาระอันหนักอึ้งให้แก่ประชาชนมากกว่าแทนที่จะได้ทำการผลิตของตนเองเลี้ยงชีวิตและครอบครัว แต่แรงงานทาสหลายแสนคนถูกเกณฑ์มาสร้างนครวัดอย่างไม่เคยขาดสายเลยตลอดรอบ๑๐๐ ปีเป็นผลงานของคนจำนวนมากมายที่ถูกบังคับให้ทำแต่ผู้คนยุคปัจจุบันที่ได้ไปเที่ยวชมกลับหลงลืมคุณค่าหยาดเหงื่อนั้นไป
ดังนั้น ในการท่องเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ไม่ว่าที่ใดก็ตาม ควรจะมีความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆด้วย เพื่อเป็นการให้เกียรติและระลึกถึงบรรพบุรุษที่ตรากตรำทำงานหนักก่อสร้างสถาปัตยกรรม ประติมากรรม และศิลปกรรม จนกลายมาเป็นสถานที่ทางประวัติศาสตร์ที่ทรงคุณค่า และเป็นสถานที่ท่องเที่ยวให้คนยุคปัจจุบันชื่นชม และเพื่อเป็นการเพิ่มอรรถรสในการเที่ยวชมมากขึ้นแต่ทั้งนี้ ไม่ใช่เพื่อเพื่อความเพลิดเพลินจำเริญใจอย่างเดียว เราจะต้องเรียนรู้แง่คิดและมุมมองทางประวัติศาสตร์ไปพร้อมกันด้วย
ความขัดแย้งภายใน “อาณาจักรของขอม”
ดังที่ได้กล่าวไปในตอนต้นว่า “อารยะธรรมที่ยิ่งใหญ่ไม่อาจล่มสลายจากการรุกรานภายนอก แต่เกิดจากการล่มสลายภายใน ” อาณาจักรขอมก็เช่นเดียวกัน แต่สาเหตุการล่มสลายไม่ได้เกิดจากการทำศึกสงครามกับอาณาจักรต่างๆ เช่นที่นักประวัติศาสตร์หลายคนได้เสนอข้อคิดไว้ว่า “ความหายนะของอาณาจักรขอมสมัยนครหลวงเป็นผลจากการุกรานเผาผลาญและทำลายล้างของไทย ซึ่งยกทัพมารังควานโจมตีอยู่ไม่หยุดหย่อน” เป็นความจริงที่ว่ากองทัพไทยยกทัพมาตีและเผาทำลายนครหลวง แต่ไม่ใช่เป็นเงื่อนไขสำคัญของการล่มสลาย เพราะการรุกรานของกองทัพไทยเป็นเพียงเงื่อนไขหนึ่งเท่านั้น ซึ่งจิตร ภูมิศักดิ์ นักคิด นักเขียน คนสำคัญมองการเขียนประวัติศาสตร์แบบนี้ว่า“เพื่อหวังผลทางการเมืองระหว่างประเทศ คือมุ่งชุมย้อมจิตใจชาวกัมพูชาปัจจุบันให้เกลียดชังคนไทยในฐานะที่ไปเผาผลาญนครหลวงศรียโศธรปุระของบรรพบุรุษเขา ในตำราเรียนประวัติศาสตร์เขมร ซึ่งใช้บังคับอยู่ตามโรงเรียนสมัยเมื่อเขมรยังไม่ได้รับเอกราชก็มีลักษณะหวังผลทางการเมืองเช่นนี้” ซึ่งเป็นการเขียนประวัติศาสตร์ในลักษณะชาตินิยม (Nation State)
จิตร มองว่า “ เป็นการขายวิญาณและความรู้ให้แก่นักการเมืองประเภทแสวงหาผลประโยชน์จากความแตกแยกระหว่างชาติ”ซึ่งชาติตะวันตกไม่ต้องการให้เกิดความสามัคคีระหว่างประเทศเอเชียอาคเนย์ด้วยกัน และได้เสนอวิธีคิดใหม่ว่า “การเขียนประวัติศาสตร์จะต้องมองด้วยสายตาอันเที่ยงธรรม และยึดมั่นอยู่กับความจริง”ดังนั้น สาเหตุการล่มสลายของอาณาจักรขอมจึงต้องมองจากปัจจัยภายในและปัจจัยทางนอก ประกอบกัน เพราะการศึกษาและเขียนประวัติศาสตร์จะหลับตาข้างหนึ่งเพื่อมองเฉพาะข้อดีและทำเป็นไม่เห็นข้อเสียไม่ได้
การศึกษาประวัติศาสตร์จะต้องศึกษาเหมือนกับเหรียญที่มี ๒ ด้าน ซึ่งประเด็นนี้ในหนังสือตำนานแห่งนครวัด จิตร มองว่า “ ความหายนะของอาณาจักรขอมยุคนครหลวงมีสาเหตุขั้นพื้นฐานมาจากความขัดแย้งที่เกิดขึ้นในสังคมเอง ไม่ว่าจะเป็นการปฏิวัติของประชาชน การทำรัฐประหารภายในหมู่ชนชั้นปกครอง และที่สำคัญคือ ความขัดแย้งทางศาสนาระหว่างพุทธศาสนาฝ่ายหินยานกับศาสนาพราหมณ์ที่ต่อสู้กันอย่างดุเดือด ส่วนการรุกรานของไทยนั้นเป็นเพียงพลังจากภายนอก ที่เข้ามาช่วยเปิดโอกาสให้ความขัดแย้งภายในปรากฏผลชัดเจนและรวดเร็วยิ่งขึ้น”เหมือนเมื่อครั้งเราเสียอาณาจักรอยุธยาไม่ใช่เพราะพม่ามีกองทัพยิ่งใหญ่และรบเก่งกว่า แต่เป็นเพราะความเสื่อมโทรมภายในสังคมอยุธยาเอง คือชนชั้นปกครองลุ่มหลงอยู่กับการเสพความสุขส่วนตัว ไม่เอาใจใส่การเกษตรที่เป็นเสบียงและไม่บำรุงกองทัพให้เข้มแข็งขุนนางเล่นพรรคเล่นพวกขาดความสามัคคีกัน ระหว่างฝ่ายพระเจ้าเอกทัศกับฝ่ายเจ้าฟ้าอุทุมพรซึ่งเป็นความขัดแย้งที่ไม่อาจปรองดองกันได้ จนนำไปสู่ความพ่ายแพ้และบ้านเมืองถูกเผาทำลายสิ้นซาก
เช่นเดียวกับการล่มสลายของอาณาจักรขอม ซึ่งมีสาเหตุจากหลายอย่างประกอบกัน คือ
สาเหตุประการแรก คือ ความขัดแย้งภายในราชสำนักขอม หลังสมัยที่พระเจ้าสุริยวรมันที่ ๒สร้างนครวัดขึ้นตามคติความเชื่อแบบพราหมณ์ พอล่วงถึงสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ กษัตริย์ผู้นับถือศาสนาพุทธแบบมหายานได้เปลี่ยนแปลงนครวัดเป็นพุทธสถานโดยการรื้อสิ่งก่อสร้างของศาสนาพราหมณ์ทิ้งไป เช่น ทุบศิวลึงค์ สร้างเทวสถานขึ้นกลางเมืองให้เป็นพุทธสถาน มีพักตร์พระโพธิสัตว์อโลกิเตศวรตามพุทธสถานการแปลงบ้านเมืองจากศาสนาพราหมณ์เป็นศาสนาพุทธสร้างความไม่พอใจให้แก่พวกพราหมณ์เป็นอย่างมาก ทั้งนี้ต้องเข้าใจพื้นฐานสังคมว่าพราหมณ์มีอิทธิพลมากทั้งในชีวิตราชสำนักและชีวิตของประชาชนทั่วไป ในราชสำนัก พราหมณ์คือที่ปรึกษาราชการคนสำคัญ เป็นราชครูหรือครูของกษัตริย์ อบรมสั่งสอนศิลปะวิทยาการต่างๆให้กษัตริย์และพระบรมวงศานุวงศ์ หรือพิธีกรรมต่างๆพราหมณ์เป็นผู้จัดทำทั้งหมด
นอกจากนี้ พราหมณ์ในที่ไม่ได้หมายถึงนักบวชตามที่เราเข้าใจ แต่หมายถึงวรรณะหนึ่งหรือชนชั้นปัญญาชน มีครอบครัว(แต่คนในครอบครัวไม่ใช่พราหมณ์ด้วย) ทำมาหากิน มีอาชีพใช้สมอง มีที่ดิน มีทาสทำการผลิตให้ เมื่อกษัตริย์สร้างมฤตกเทวาลัยขึ้นแห่งหนึ่ง ก็ตั้งให้พราหมณ์ครอบครอบครัวหนึ่งเป็นผู้ดูแล ทำพิธีบูชาพระเทวราชที่สถาปนาไว้ ส่วนผู้คนที่อยู่รอบๆต้องส่งส่วย ต้องทำไร่ไถนาต้องทำนม เนย หาเครื่องเทศ เครื่องบูชา ทอผ้า ตักน้ำ ตำข้าว ให้แก่ครอบครัวพราหมณ์ผู้ทำพิธี จริงๆแล้วผู้คนเหล่านั้นก็คือ สมบัติของพราหมณ์ที่กษัตริย์ยกให้นั่นเอง ซึ่งพวกทาสหรือข้าพระเหล่านั้นจะหนีไปไหนไม่ได้เพราะสลักชื่อไว้ที่ประตูมฤตกเทวาลัย พวกพราหมณ์จะทำหน้าที่สืบตระกูลกันลงมาเรื่อยๆ และจะแสวงหาผลประโยชน์จากทาสหรือข้าพระเหล่านั้น
เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ เปลี่ยนแปลงบ้านเมืองให้เป็นเมืองพุทธจึงสร้างความโกรธแค้นให้กับพวกพราหมณ์อย่างยิ่ง เพราะอำนาจ อิทธิพล และผลประโยชน์ที่เคยเป็นของพวกตนนั้นถูกทำลายลงและเปลี่ยนมือมาเป็นของพวกพระภิกษุ พวกนักบวช ในศาสนาพุทธ อาจจะกล่าวได้ว่าความขัดแย้งนี้ไม่ใช่เพียงด้านศาสนาเท่านั้นหากแต่เป็นด้านผลประโยชน์ด้วย แต่ศาสนาพุทธแบบมหายานยังถือมีความปรองดองกับพราหมณ์อยู่บ้างในด้านความเชื่อเรื่องเทวะ การปรึกษาราชการ การประกอบพิธีกรรมไสยศาสตร์ ซึ่งบทบาทก็ถือว่ายังมีอยู่บ้างสูญเสียแค่ผลประโยชน์ไปเท่านั้น แต่พอล่วงถึงสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ ราชสำนักขอมก็เปลี่ยนมานับถือพราหมณ์อีกครั้ง และยุคนี้เองที่บ้านเมืองเข้าสู่กลียุค ภายในราชสำนักเกิดการรัฐประหารแย่งชิงอำนาจกันของชนชั้นนำ
กล่าวคือฝ่ายพราหมณ์ก็พยายามแย่งชิงอำนาจของชนชั้นตนกลับคืนมาอย่างดุเดือดหลังจากถูกลิดรอนไปสมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ เมื่อพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ ผู้นับถือถือพราหมณ์ขึ้นครองราชย์ ข้างกายพระองค์ห้อมล้อมไปด้วยพราหมณ์( ชายาเป็นลูกสาวของพราหมณ์หฤษเกศ เป็นพราหมณ์ที่มีอิทธิพลในราชสำนักมาก) ดังนั้น บทบาทของพราหมณ์จึงมีมากขึ้นและได้สถาปนาอำนาจขึ้นใหม่โดยมีพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ เป็นตัวแทนรักษาผลประโยชน์ให้ ด้วยเงื่อนไขนี้เอง พวกมฤตกาลัยทั้งหลายของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ ที่สร้างไว้แต่เดิมถูกแปลงให้กลับเป็นเทวาลัยทางศาสนาพราหมณ์ทั้งหมด ( พระพุทธรูปจำหลักด้วยหินถูกต่อยออกแปลงเป็นศิวลึงค์ )เช่นเดียวกับพระภิกษุมหายานทำกับพวกพราหมณ์สมัยพระเจ้าชัยวรมันที่ ๒ ปรากฎการณ์ที่เกิดขึ้นนี้เป็นเรื่องปกติธรรมดาของสังคมมนุษย์สมัยโบราณ
ซึ่งจิตร ภูมิศักดิ์ ได้อธิบายไว้ว่า “…พวกพระ พวกนักบวช พวกพราหมณ์ มีอิทธิพลทางการเมืองสูงมาก มีอิทธิพลเหนือกษัตริย์เสียด้วยซ้ำในยุคๆหนึ่ง คือ ยุคทาส ผู้ปกครองรัฐมักจะเป็นพวกนักบวชหรือมีกษัตริย์ปกครอง แต่ทว่าอำนาจที่แท้จริงตกอยู่ในมือของนักบวช อย่างอินเดียสมัยโบราณ พวกพราหมณ์ก็มีอำนาจมาก กษัตริย์ต้องกลัวพราหมณ์เพราะเป็นทำพิธีราชาภิเษกให้ และสาปสรรกษัตริย์ คว่ำบาตรกษัตริย์ให้คนทั้งเมืองขับไล่ อะไรเหล่านี้ได้ทั้งสิ้น ครั้นพอถึงปลายยุคทาส พวกกษัตริย์ ซึ่งเคยเป็นผู้ดูแลรักษารัฐและที่ดินไร่นา ปราถนาจะรวบอำนาจและผลประโยชน์ในที่ดินไว้แก่ชนชั้นของตนได้พยายามต่อสู้กับพราหมณ์เป็นการใหญ่ การต่อสู้นี้ก็ได้อาศัยพวกทาสเข้ามาเป็นกำลังด้วย พวกทาสในยุคทาสนั้นเป็นทาสของนาย ไร้กรรมสิทธิ์ในทรัพย์สินทุกอย่างโดยสิ้นเชิง แม้ตัวเองก็ไม่ใช่เจ้าของตัวเอง เป็นเหมือนวัวควายที่ทำงานรับใช้นายทาสและพวกพราหมณ์ โดยได้แต่เพียงกินไปวันๆ ไม่มีสิทธิ์ครอบครองผลิตผลจากน้ำพักน้ำแรงของตนเลย พวกทาสจึงปรารถนาอย่างยิ่งที่จะเป็น เสรีชน จึงได้ทำการต่อสู้ และก็ถูกพวกกษัตริย์นำเอาการต่อสู้นั้นไปเป็นประโยชน์ต่อพวกตน ระบบครอบครองที่ดินของกษัตริย์เป็นระบบที่ให้ทุกคนเป็นเสรีชนมีที่ทางผลิตผลของตัวเอง เมื่อผลิตได้แล้ว ผู้ผลิตก็ครอบครองผลผลิตนั้นเป็นกรรมสิทธิ์ส่วนตัวได้ เพียงแต่แบ่งบางส่วนมาถวายเจ้านายเป็นส่วยอากรเท่านั้น ผิดกับระบบทาสที่ทาสทุกคนทำหน้าที่ผลิตแต่นายทาสครอบครองผลิตผลไว้ทั้งหมด ระบบครอบครองที่ดินของกษัตริย์นี้เรียกว่า ระบบศักดินา พวกทาสที่ทนทุกข์ทรมานมานับร้อยนับพันปี ย่อมเห็นว่าระบบศักดินาดีกว่าระบบทาส เพราะตนจะได้มีที่ทางทำมาหากินเป็นส่วนตัว เป็นเสรีชน มีทรัพย์สินเป็นกรรมสิทธิ์ไว้ครอบครอง…”จากคำอธิบายดังกล่าว จะเห็นได้ว่าพราหมณ์กับกษัตริย์ต่อสู้กันอย่างหนักหน่วงโดยมีพวกทาสเป็นตัวแปรสำคัญในการต่อสู้เป็นการต่อสู้เพื่อเปลี่ยนผ่านยุคสมัยจากสังคมทาสเป็นสังคมศักดินา เปลี่ยนผู้กดขี่คนใหม่จากพระ นักบวช พราหมณ์ เป็นกษัตริย์ ซึ่งรวบอำนาจและที่ดินทั้งหมดไว้ที่ตัวเองเปลี่ยนผู้ถูกกดขี่คนใหม่จากทาสที่ตัวเองไม่ใช่เจ้าของตัวเอง เป็นเสรีชนที่มีกรรมสิทธิ์ในที่ดินและผลิตผลแต่ต้องจ่ายส่วยให้แก่เจ้าที่ดินใหญ่หรือกษัตริย์
สาเหตุประการที่สอง คือ การลุกฮือของประชาชนเพื่อปรับปรุงสภาพชีวิตให้ดีขึ้นภายใต้การนำของกษัตริย์ ซึ่งเป็นประเด็นที่เชื่อมโยงกับสาเหตุแรก เนื่องจากสังคมภายในและภายนอกมีความสัมพันธ์กัน ดังนั้น จึงต้องพิจารณาเหตุปัจจัยทั้งสองด้านประกอบกันเพื่อจะได้เห็นการเปลี่ยนแปลงของสังคมในภาพรวมทั้งหมด
หลังจากพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ เปลี่ยนแปลงราชสำนักและบ้านเมืองให้กลับคืนสู่ลิทธิเทวราชของพราหมณ์อีกครั้ง ฝ่ายประชาชนก็ต้องสร้างมฤตกเทวาลัยต่อไป พวกข้าพระก็ต้องก้มหน้าก้มตาทำไร่ไถนาเพื่อส่งผลผลิตให้แก่ครอบครัวพราหมณ์ในการทำพิธีกรรม แต่ในสังคมทั่วไปขณะนั้นศาสนาพุทธแบบหินยาน ได้เริ่มแพร่หลายแล้วในหมู่ประชาชนอย่างกว้างขวางเพราะ เป็นปรัชญาที่คัดค้านและปฏิเสธแนวคิดแบบพราหมณ์อย่างจริงจัง เช่น การแบ่งคนออกเป็น ๔ วรรณะ ต่างจากพุทธแบบมหายานซึ่งมีความปรองดองกันอยู่ (เช่น ในสมัยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๗ กษัตริย์ผู้นับถือศาสนาพุทธแบบมหายาน ก็ไม่ได้กำจัดอิทธิพลของพวกพราหมณ์ให้สิ้นซาก หากยังหลงเหลืออยู่ในราชสำนัก พระราชพิธีต่างๆหรือราชการบ้านเมือง ก็มีพวกพราหมณ์เป็นที่ปรึกษา)
การเข้ามาของศาสนาพุทธนั้นนักประวัติศาสตร์ สันนิฐานว่า มาพร้อมกับการค้าขายทางเรือสำเภาระหว่างไทยกับเขมร และในการศึกสงครามระหว่างไทยกับเขมรที่รบกันอยู่เนืองๆปรัชญาของลิทธิแบบหินยานนี้ขัดแย้งกับการสร้างมฤตกเทวาลัยอันทารุณของพวกพราหมณ์ เป็นศาสนาที่ไม่มีพิธีรีตอง มีลักษณะเป็นประชาธิปไตย เป็นปรัชญาที่มีศรัทธาในความมักน้อย ซึ่งเข้าถึงจิตใจของสามัญชนผู้ยากไร้ทั่วไป หินยานคัดค้านระบบชีวิตอันฟุ้งเฟ้อโอ่อ่าของชนชั้นสูง ประชาชนจึงมีความหวังว่าปรัชญาใหม่นี้จะช่วยให้พวกเขาหลุดพ้นจากคติการสถาปนาตนเป็นเทวะของกษัตริย์ในลิทธิพราหมณ์ พวกเขาเอือมระอาต่อการเกณฑ์แรงงานสร้างมฤตกเทวาลัยเต็มทีแล้ว ประชาชนทั่วไปจึงหันมาต้อนรับพุทธแบบหินยานกัน และเป็นที่ชื่นชมกันมากเพราะไม่โหดร้ายและทารุณ ไม่มีการสร้างเทวสถานสมมติคนขึ้นเป็นเทพ ไม่มีการทำงานเพื่อยกผลผลิตตนให้แก่ครอบครัวพราหมณ์ ประกอบกับภายในราชสำนักเองพระเจ้าอินทรวรมันที่ ๒ ( ลูกเขยของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ ) ก่อการรัฐประหารยึดอำนาจของพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ การรัฐประหารครั้งนี้
ตามความเห็นของอาเดมาร์ เลอแกลร์ นักประวัติศาสตร์ชาวฝรั่งเศส ได้เสนอข้อคิดไว้ว่า “…อาจมีต้นกำเนิดมาจากความขัดแย้งทางศาสนา คือเป็นความขัดแย้งระหว่างพระเจ้าชัยวรมันที่ ๘ ผู้นับถือศาสนาพราหมณ์ฝ่ายหนึ่ง กับพระเจ้าอิทรวรมันที่ ๒ ผู้นับถือศาสนาพุทธแบบหินยานฝ่ายหนึ่ง…”เห็นได้จากหลักฐานที่ปรากฏในศิลาจารึก พระเจ้าอิทรวรมันที่ ๒ เขียนจารึกด้วยภาษาบาลี ซึ่งเป็นภาษาประจำลิทธิหินยานไม่ได้ใช้ภาษาสันสกฤตซึ่งเป็นภาษาประจำลิทธิมหายานและลิทธิพราหมณ์ที่เคยใช้กันมาก่อนและเป็นการต่อสู้ทางวัฒนธรรมอีกประการหนึ่งเพื่อถอนรากถอนโคนอิทธิพลของพวกพราหมณ์ออกไป เรียกได้ว่าเป็นการปฏิวัติทั้งทางการเมืองและศาสนาควบคู่กัน การยึดอำนาจของกษัตริย์จากพวกพราหมณ์สาเหตุพื้นฐานเลย คือ เรื่องผลประโยชน์เป็นสำคัญ
กล่าวคือ กษัตริย์และพราหมณ์ต่างก็มีผลประโยชน์ที่ร่วมกันและขัดแย้งกันเอง ในด้านการปกครองรัฐหรือผู้นำรัฐกษัตริย์จะต้องได้รับความยินยอมจากพวกพราหมณ์ ตามคติความเชื่อแบบพราหมณ์ว่า ”กษัตริย์คือสมมติเทพ” เหล่ากษัตริย์ที่ขึ้นครองราชย์ก็จะต้องมฤตกเทวาลัยเพื่อบูชาคติความเชื่อและเพื่อยืนยันสถานะเทพของตน และมอบให้ครอบครัวพราหมณ์เป็นผู้ดูแล ขณะที่อีกด้านหนึ่งพราหมณ์ก็แลกเปลี่ยนผลประโยชน์โดยการได้เป็นผู้ดูแลมฤตกเทวาลัยที่กษัตริย์สร้างขึ้นถวาย ซึ่งกษัตริย์สมัยนครหลวงได้ยกที่ดิน เมืองทั้งเมือง ให้เป็นสมบัติของพราหมณ์ตระกูลใหญ่ๆ พวกพราหมณ์จึงมีผลประโยชน์มากมาย มีส่วยกินเป็นหลายๆเมือง มีเมืองใหญ่เมืองน้อย มีที่ดิน มีทาส ผู้อยู่ในสังกัดบังคับบัญชาสำหรับทำการผลิตเป็นเรือนพันเรือนหมื่น เห็นได้ชัดว่าเป็นการแสวงหาผลประโยชน์ร่วมกันของชนชั้นนำบนกระดูกสันหลังของไพร่ ทาส และประชาชนดังนั้น การรัฐประหารของกษัตริย์จึงไม่ใช่เพียงการรวบอำนาจการเมือง การปกครอง หากแต่ได้รวบผลประโยชน์ในแผ่นดินไว้ด้วย ภายใต้ระบอบศักดินาที่กษัตริย์สถาปนาขึ้นนี้ ได้รวมทุกอย่างเข้าสู่ศูนย์กลางที่กษัตริย์ กษัตริย์มีสถานะเป็นเจ้าที่ดินใหญ่ที่ดินทั้งหมดเป็นของกษัตริย์ สามารถเก็บเกี่ยวผลประโยชน์(ภาษีส่วยอากร)จากเจ้าที่ดินอื่นๆและข้าทาสบริวารทั้งหลาย
ความสัมพันธ์ระหว่างกษัตริย์กับศาสนานี้ปรากฏในหลายๆสังคม เช่นเดียวกับไทยเองก็เหมือนกัน การปกครองของกษัตริย์เดิมมีคติความเชื่อแบบสมมติเทพ(ได้รับอิทธิพลจากเขมร) แต่หลังจากที่เกิดการรัฐประหารแย่งชิงอำนาจกันเองในหมู่ชนชั้นปกครอง(พี่น้องแย่งชิงราชสมบัติกัน ขุนนางที่มีอำนาจและคุมกำลังทหารก็อยากตั้งตัวขึ้นเป็นกษัตริย์บ้าง ในสมัยอยุธยาจะเกิดการรัฐประหารอยู่บ่อยครั้ง)ทำให้สายเลือดไม่บริสุทธิ์ ชนชั้นนำไทยจึงต้องหันเหจากคติเดิมสู่คติใหม่เพื่อความชอบธรรมในอำนาจการปกครอง จาก “เทวราชา” จึงกลายมาเป็น “ธรรมราชา” หมายถึงกษัตริย์ผู้ทรงธรรม ปกครองบ้านเมืองโดยหลักทศพิศราชธรรมหรือธรรมสิบข้อสำหรับผู้ปกครอง มีพระภิกษุมีสถานะไม่ต่างจากพราหมณ์ และกษัตริย์ไทยก็นิยมสร้างวัดวาอารามเหมือนกษัตริย์เขมรที่นิยมสร้างมฤตกเทวาลัย
ประเด็นนี้จิตร ภูมิศักดิ์ ได้อธิบายไว้ว่า “…ในเมืองไทยสมัยก่อนรัชกาลที่ ๕ ขึ้นไป วัดของเราที่เป็นวัดหลวง ล้วนมีที่ดินครอบครอง เป็นที่สำหรับให้เช่าทำนา เก็บค่าเช่าเป็นข้าวบ้าง เป็นเงินบ้าง เรียกว่าวัดเก็บอากรค่านาโดยตรง แล้วคนเช่าทำยังต้องส่งข้าวเป็นส่วยอีกไร่ละ ๒ ถังให้แก่ฉางของหลวง แต่ภายหลังหลวงก็เปลี่ยนมาเก็บเป็นเงินอากรค่านารวด เรียกว่าต้องเสียอากรและส่วยให้ทั้งแก่วัดและวัง นอกจากมีที่ดินแล้ว วัดหลวงทุกวัดยังมีพวกข้าพระหรือเลกวัด ก็ต้องเป็นกันตลอดทุกชั่วคน เด็กหนุ่มพออายุ ๑๘ ก็ขึ้นทะเบียนเป็นเลกวัด ต้องมาทำนาทำไร่ ถางหญ้า หาฝืน เลื่อยไม้ ต้มกรักย้อมผ้า ตักน้ำ ทำทุกอย่างให้แก่พระภิกษุและวัด ผลัดกันเข้าทำเป็นเวร เวลาที่เหลือจึงทำงานของตนเอง…เวลาออกศึกสงคราม พวกนี้ยังถูกเกณฑ์เอาเลกวัดที่ฉกรรจ์ๆ ไปเป็นทหารสมทบทัพหลวงด้วยครั้งละเกือบพันๆคน…”
จากคำอธิบายนี้กล่าวได้ว่า ผลประโยชน์ระหว่างกษัตริย์กับพระภิกษุ ซึ่งถือคติความเชื่อแบบพุทธ ไม่ต่างจากผลประโยชน์ระหว่างกษัตริย์เขมรกับพราหมณ์ ซึ่งถือคติความเชื่อแบบพราหมณ์ชนชั้นนำทั้งทางการเมืองและศาสนาได้ประสานผลประโยชน์ระหว่างกันอย่างแนบแน่น แต่เมื่อมาถึงจุดแตกหักที่อำนาจและผลประโยชน์ไม่สามารถตกลงกันได้ จนนำไปสู่การต่อสู้กันอย่างดุเดือด โดยมีประชาชนเป็นกำลังสนับสนุน ซึ่งไม่ว่าฝ่ายไหนแพ้หรือชนะ ชีวิตของประชาชนก็ไม่ได้สุขสบายขึ้นเท่าไรนัก เพียงแต่เปลี่ยนผู้กดขี่คนใหม่ เปลี่ยนรูปแบบการกดขี่แบบใหม่เท่านั้น
สาเหตุประการที่สาม คือ การทำศึกสงครามกับไทยอย่างต่อเนื่อง เป็นสงครามที่เกิดขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยา ร่วมสมัยกับปลายยุคพระนครของอาณาจักรขอม หลังจากการสถาปนาอาณาจักรอยุธยาช่วงต้นของราชวงศ์ อู่ทองมีกษัตริย์ ๓ พระองค์ คือพระรามาธิบดีที่ ๑ พระราเมศวร และสมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ มีความพยายามที่จะยึดอาณาจักรขอมที่เมืองพระนครหลวงหรือกรุงศรียโสธรปุระ มีการทำศึกสงครามกันหลายครั้งเป็นผลทำให้อาณาจักรขอมเสื่อมอำนาจลง จนต้องย้ายเมืองหลวงไปอยู่ที่พนมเปญ ขณะที่อีกด้านหนึ่งอาณาจักรจามปาซึ่งเป็นเมืองขึ้นของอาณาจักรขอมเช่นกัน ก็พยายามสลัดแอกเช่นกันและทำสงครามสู้รบกับอาณาจักรขอมอย่างต่อเนื่องจนได้รับเอกราช เท่ากับว่าอาณาจักรขอมต้องเปิดศึก ๒ ด้าน เพื่อปกป้องเอกราชและนครหลวง ต้องแบ่งกำลังทหารและประชากรเพื่อทำการสู้รบ และทำการผลิตเพื่อเป็นเสบียงเลี้ยงกองทัพ ขณะที่ภายในราชสำนักเองฝ่ายพราหมณ์กับฝ่ายพุทธหินยานก็ต่อสู้ทางความคิดกันอย่างหนักหน่วง สงครามที่เกิดขึ้นจึงไม่ใช่เพียงสงครามจากภายนอก แต่เป็นสงครามภายในด้วย
สงครามที่สำคัญๆมีดังนี้ คือ สงครามพระเจ้าอู่ทอง (พ.ศ. ๑๘๙๕) ยกกองทัพไปโจมตีอาณาจักรขอม ได้เชิญพระราเมศวรมาจากลพบุรีและขุนหลวงพะงั่ว ไปช่วยกัน จนสามารถตีสำเร็จได้แล้วกวาดไพร่พล ข้าทาส บริวาร (มีพวกพราหมณ์และขุนนางในราชสำนักรวมอยู่ด้วย) เป็นจำนวน ๙๐,๐๐๐ คน มายังกรุงศรีอยุธยา
สงคราม สมเด็จพระบรมราชาธิราชที่ ๒ (พ.ศ. ๑๙๗๔) สงครามครั้งนี้เป็นเหตุการณ์สำคัญเนื่องจากเป็นสงครามที่นำไปสู่การล่มสลายของเมืองพระนครศรียโศธรปุระ ที่มีความเจริญรุ่งเรืองและเป็นศูนย์กลางทางวัฒนธรรมเป็นเวลานานหลายศตวรรษลง พร้อมกับหวาดต้อนเชลยศึกกลับกรุงศรีอยุธยาได้ราว ๔๐,๐๐๐ คน
สงครามระหว่างไทยกับเขมรยังมีต่อมาเรื่อยๆจนถึงสมัยต้นรัตนโกสินทร์ เป็นบันทึกประวัติศาสตร์จากพงศาวดารกรุงศรีอยุธยา ฉบับพระจักรพรรดิพงศ์ (จาด) แต่ไม่ปรากฏศักราช และพงศาวดารเมืองละแวก สงครามระหว่างกรุงศรีอยุธยา-อาณาจักรขอม นับตั้งแต่สถาปนากรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๑๘๙๓ เป็นต้นมา จนถึงการเสียกรุงศรีอยุธยาในปี พ.ศ. ๒๓๑๐ นั้นมีประมาณ ๒๑ ครั้ง สงครามแต่ละครั้งมีสาเหตุและปัจจัยในการทำสงครามที่แตกต่างกัน ตามวัตถุประสงค์ในการทำสงคราม ซึ่งมีสาเหตุ ๔ ประการ คือ
๑.) สงครามขยายอำนาจ เป็นสงครามเกิดขึ้นเพื่อขยายอำนาจหรือขยายพระราชอาณาเขตโดยตรง เช่น สงครามคราวตีเมืองพระนคร สงครามคราวสมเด็จพระนเรศวรมหาราชตีเมืองละแวก เป็นต้น
๒.) สงครามรักษาพระราชอำนาจ เป็นสงครามที่มุ่งพยายามรักษาพระราชอำนาจในการควบคุมปกครอง เพื่อรักษาสภาพการเป็นเมืองประเทศราช เช่น สงครามคราวสมเด็จพระชัยราชาธิราช หรือสงครามในรัชกาลสมเด็จพระเจ้าทรงธรรม เป็นต้น
๓.) สงครามกวาดต้อนผู้คนและทรัพยากร เป็นสงครามที่เน้นการกวาดต้อนเชลยสงครามและทรัพย์สมบัติมากกว่าจะต้องการขยายอำนาจทางการเมืองอย่างแท้จริง เช่น สงครามคราวพระยาละแวกตีกรุงศรีอยุธยา สงครามคราวพระราชสมภารตีเมืองนครราชสีมา
๔.) สงครามแทรกแซงทางการเมือง เป็นสงครามที่เกิดขึ้นเพื่อหวังผลการแทรกแซงทางการเมือง เพื่อรักษาฐานอำนาจไว้ เช่น สงครามคราวสมเด็จพระเจ้าท้ายสระส่งกองทัพไปช่วยพระศรีธรรมราชา เป็นต้น
สรุป แม้ว่าอาณาจักรขอมทำสงครามกับกรุงศรีอยุธยาอย่างต่อเนื่องรวมระยะเวลาหลายร้อยปี แต่ไม่ใช่สาเหตุหลักที่ทำให้อาณาจักรที่มีอารยะธรรมอันยิ่งใหญ่ล่มสลายเพียงชั่วพริบตา เห็นได้จากการรบกันเป็นเวลานานซึ่งแสดงให้เห็นว่า การทำสงครามกันไม่ได้ทำให้ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่งพ่ายแพ้เสียที จนไม่สามารถตั้งตัวกลับคืนได้และไม่อาจล่มสลายไปในทันที ต้องอาศัยเหตุปัจจัยหลายอย่างประกอบกัน ทั้งภายในและภายนอกสอดคล้องกัน ดังที่ได้อธิบายให้เห็นถึงความขัดแย้งของราชสำนักขอม และการลุกฮือขึ้นปฏิวัติของประชาชน
ดังที่ได้กล่าวไปในตอนต้นว่า “…การท่องเที่ยวสถานที่ทางประวัติศาสตร์ไม่ว่าที่ใดก็ตาม ควรจะมีความรู้ ความเข้าใจพื้นฐานทางประวัติศาสตร์ของสถานที่ท่องเที่ยวนั้นๆด้วย… ” จากเหตุผลและคำอธิบายที่ได้ยกมาทั้งหมด เพียงพอหรือไม่ที่จะตอบคำถามว่า “ นครวัด เป็นของใคร? หากมิใช่เป็นของประชาชน ” เพราะยุคสมัยนี้การต่อสู้ทางคติ ความเชื่อ และศาสนา ได้จบสิ้นลงแล้ว นครวัดไม่ใช่สิ่งก่อสร้างที่สร้างขึ้นเพื่อบูชาเทพเจ้าอีกต่อไป ไม่มีการทำพิธีกรรมบูชาเทพเจ้า ไม่มีการเกณฑ์แรงงานทาสมาสร้างมฤตกเทวาลัยอันโหดร้ายและทารุณ ไม่มีข้าพระที่ทำงานรับใช้ครอบครัวตระกูลพราหมณ์ จนตัวเองไม่ใช่เจ้าของตัวเองอีกต่อไป บัดนี้ นครวัดไม่ใช่ของใครคนใดคนนึ่ง หรือกลุ่มบุคคลใดบุคคลหนึ่ง นครวัดได้กลายเป็นสมบัติของมวลมนุษยชาติทุกคน มนุษย์ในยุคปัจจุบันเป็นเจ้าของมรดกที่บรรพบุรุษทิ้งไว้ให้ร่วมกัน เป็นจารึกทางประวัติศาสตร์ที่บ่งบอกว่ามนุษย์ผู้ใช้แรงงานได้ลงมือ ลงแรง สร้างศิลปะสถาปัตยกรรมอันยิ่งใหญ่ขนาดไหน
อ้างอิง
จิตร ภูมิศักดิ์.ตำนานแห่งนครวัด. พิมพ์ครั้งที่๖. กรุงเทพฯ : สำนักพิมพ์อัมรินทร์, ๒๕๕๔.
บรรณาธิการสำนักพิมพ์มติชน.หนังสือศิลปวัฒนธรรม ปีที่ ๓๒ ฉบับที่ ๙ กรกฎาคม ๒๕๕๔.กรุงเทพฯ
:สำนักพิมพ์มติชน,๒๕๕๔
angkor2go. (๒๕๕๗). Angkor watนครวัด ที่สุดแห่งปราสาทขอม (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อ
วันที่ ๑๐ ธันวาคม ๒๕๕๗, จากเว็บไซต์ : http://www.angkor2go.com/
รูปภาพนครวัด . (๒๕๕๗). (ออนไลน์). สืบค้นเมื่อวันที่ ๒๑ ธันวาคม ๒๕๕๗,
จากเว็บไซต์ : https://www.google.co.th/search .