คณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติจับตาสถานการณ์สุขภาพคนไทยปี 2560 หวังแก้ปัญหาตามเป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDGs) พบยังมีทุกขภาวะที่ต้องเร่งจัดการ ทั้งมารดาเสียชีวิตหลังคลอด โรคไม่ติดต่อรุมเร้าตั้งแต่วัยเด็กเยาวชน และสภาพสิ่งแวดล้อมแย่ลง พร้อมลงพื้นที่เรียนรู้ ‘เชียงรายโมเดล’ ใช้ธรรมนูญสุขภาพพื้นที่ หนุนชุมชนรักษา-ฟื้นฟู-พัฒนาภูมิปัญญาหมอเมืองล้านนาและเมืองสมุนไพร พร้อมขยายเครือข่ายโรงเรียนผู้สูงอายุ 8 จังหวัดภาคเหนือ
20 ก.ค. 2560 การประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ครั้งที่ 4/2560 โดยมี พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เป็นประธาน พร้อมด้วย นพ.พลเดช ปิ่นประทีป เลขาธิการคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ และกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ณ ห้องประชุมวนาสรรค์ วนาศรมรีสอร์ท มหาวิทยาลัยแม่ฟ้าหลวง จังหวัดเชียงราย
พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ รับทราบรายงานสถานการณ์ระบบสุขภาพคนไทยในปี 2560 โดยเชื่อมโยงตัวชี้วัดสุขภาพคนไทยกับ “เป้าหมายการพัฒนาที่ยั่งยืน” หรือ Sustainable Development Goals (SDGs) ซึ่งเป็นกรอบการพัฒนาสากลภายใต้การนำขององค์การสหประชาชาติ การรายงานในที่ประชุมวันนี้ เป็นการหยิบยกตัวชี้วัดสุขภาพที่ส่วนใหญ่ปรากฎในเป้าหมายย่อยที่ 3 (SDG3) ที่กำหนดว่า “ชีวิตที่มีสุขภาพดีและสุขภาวะของทุกคนในทุกช่วงวัย”
“แนวโน้มสุขภาพของคนไทยปัจจุบันมีทั้งดีขึ้นและยังน่าห่วง จึงจำเป็นต้องอาศัยความร่วมมือของทุกภาคส่วน เพราะหลายเรื่องไม่สามารถใช้กฎหมายมาบังคับได้ 100% อาทิ การสวมหมวกน็อกเพื่อป้องกันอุบัติเหตุทางถนน หลายพื้นที่สามารถดูแลด้านความปลอดภัยกันเองได้อย่างดี ซึ่งพื้นที่อื่นสามารถนำไปเป็นตัวอย่างได้ สิ่งสำคัญคือ หน่วยงานและองค์กรที่เกี่ยวข้องควรนำข้อมูลดังกล่าวไปใช้ประโยชน์ เพื่อวางแนวทางในการแก้ปัญหาที่กระทบกับสุขภาพคนไทยต่อไป” พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าว
รายงานสุขภาพคนไทยมีการจัดทำขึ้นทุกปี ฉบับล่าสุด “รายงานสุขภาพคนไทย 2560: เสริมพลังกลุ่มเปราะบาง สร้างสังคมที่ไม่ทอดทิ้งกัน” โดยมีสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล เป็นหน่วยงานหลัก สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.) และสำนักงานกองทุนสนับสนุนการสร้างเสริมสุขภาพ (สสส.) ร่วมสนับสนุน สะท้อนให้เห็นภาพรวมสถานการณ์ทางสุขภาพนับตั้งแต่เกิดจนตาย และสาเหตุสำคัญที่ทำให้คนไทยเสียชีวิตก่อนวัยอันควร
ศ.ดร.ชื่นฤทัย กาญจนะจิตรา กรรมการสุขภาพแห่งชาติ อาจารย์ประจำสถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล ในฐานะผู้อำนวยการโครงการรายงานสุขภาพคนไทย กล่าวว่า วัตถุประสงค์ของการจัดทำรายงานก็เพื่อนำข้อมูลรายงานต่อสาธารณะ และให้ผู้กำหนดนโยบายนำข้อมูลไปใช้ประโยชน์ประกอบการตัดสินใจ
พบสถานการณ์ที่น่าสนใจเป็นข้อมูลการเสียชีวิตของมารดาไทย เฉลี่ยที่ 24.6 รายต่อการเกิดแสนคน ซึ่งมีสาเหตุจากการตายที่ป้องกันได้ คิดเป็นร้อยละ 56 ของการตายของมารดาไทยในปี 2556 เช่น สาเหตุจากการตกเลือด ความดันโลหิตสูง ฯลฯ โดยอัตราการตายสูงสุดอยู่ในพื้นที่ภาคใต้ ภาคเหนือ และภาคอีสานตามลำดับ
ขณะที่อัตราการเสียชีวิตของเด็กแรกเกิดและอายุต่ำกว่า 5 ปีของไทยลดลงต่อเนื่องและดีกว่าเป้าหมายของ SDGs อยู่มาก อย่างไรก็ตาม เมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้านในอาเซียน พบว่า อัตราทารกที่กินนมแม่อย่างเดียวในช่วง 6 เดือนแรก ประเทศไทยอยู่ที่ร้อยละ 15.1% ต่ำกว่าเวียดนาม ลาว เมียนมา อินโดนีเซีย และกัมพูชา
ปัญหาของโรคติดต่อในเขตร้อนที่เพิ่มขึ้นและยังต้องการระบบจัดการดูแลรักษา คือ วัณโรค ซึ่งในปี 2558 มีผู้ป่วยวัณโรคมาขึ้นทะเบียนรักษาเพียง 62,154 คน ขณะที่ยังมีอีกกว่า 50,000 คนที่ยังไม่ได้รับการรักษา ซึ่งอาจกลายเป็นปัญหาสุขภาพได้ในอนาคตหากไม่มีการเตรียมการที่ดีพอ ส่วนผู้ติดเชื้อเอชไอวีรายใหม่อายุ 15 ปีขึ้นไปมีแนวโน้มลดลง ขณะที่ไข้เลือดออกยังมีแนวโน้มอัตราป่วยขึ้น-ลงสลับเป็นรายปีและยังสูงกว่าเป้าหมาย SDGs
ปัญหาจากพฤติกรรมที่สำคัญ ได้แก่ โรคไม่ติดต่อ เช่น ความดันโลหิต เบาหวาน โรคอ้วน ในคนอายุ 15 ปีขึ้นไป โดยมีสาเหตุสำคัญ คือ การบริโภคผัก ผลไม้ และมีกิจกรรมทางกายที่ไม่เพียงพอ
นอกจากนี้ยังพบว่า ในปี 2557 มีอัตราผู้เสียชีวิตจากอุบัติเหตุทางถนนโดยใช้จักรยานยนต์เป็นพาหนะถึงร้อยละ 66 โดยมีการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์หรือมึนเมาก่อนขี่จักรยานยนต์ ร้อยละ 14.4 ปัญหาอุบัติเหตุเชิงระบบคือ ในช่วงเทศกาล คนไทยเดินทางด้วยระบบขนส่งทางรางและเครื่องบิน ซึ่งเป็นพาหนะที่มีความปลอดภัยสูงกว่าการเดินทางทางถนน เพียงร้อยละ 3.6 เท่านั้น
ข้อมูลในช่วงปี 2531-2536 ที่น่าสนใจ คือ อัตราร้อยละของครัวเรือนที่ตกอยู่ในภาวะยากจน/ล้มละลาย จากค่าใช้จ่ายทางสุขภาพมีแนวโน้มลดลง และแนวโน้มชัดเจนมากหลังจากเริ่มดำเนินการระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้าในปี 2544 และมีข้อมูลค่าใช้จ่ายต่อหัวของ 3 ระบบประกันสุขภาพในปี 2558 ว่า ระบบสวัสดิการรักษาพยาบาลราชการมีค่าใช้จ่ายต่อหัวถึง 12,000 บาท ขณะที่ระบบประกันสังคมมีค่าใช้จ่าย 3,145 บาท ส่วนระบบหลักประกันสุขภาพมีค่าใช้จ่ายต่ำสุดที่ 2,895 บาท
รายงานฉบับนี้ ยังระบุถึงสถานการณ์ด้านสิ่งแวดล้อมที่กระทบต่อสุขภาวะ พบว่ายังน่าเป็นห่วง เพราะหลายจังหวัดมีค่าเฉลี่ยฝุ่นละอองเกินกว่ามาตรฐานขององค์การอนามัยโลก เช่น สระบุรี กทม. ราชบุรี และระยอง เป็นต้น ขณะที่ปริมาณขยะที่ไม่ถูกนำไปกำจัดอย่างถูกต้องมีแนวโน้มสูงขึ้นโดยตลอด เช่นเดียวกับปริมาณของเสียอันตรายจากอุตสาหกรรมมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น แม้จะลดลงในปี 2557 แต่ก็กลับเพิ่มสูงขึ้นอีกในปีถัดมา
บ่ายวันเดียวกัน พล.ร.อ.ณรงค์ พิพัฒนาศัย รองนายกรัฐมนตรี และคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ ได้เดินทางไปศึกษาดูงานกระบวนการพัฒนานโยบายสาธารณะด้านสุขภาพแบบมีส่วนร่วมที่วัดหัวฝาย ต.สันกลาง อ.พาน จ.เชียงราย ซึ่งมีความโดดเด่นในการหนุนเสริมสุขภาวะของผู้สูงอายุทั้งกายและจิต โดยเป็นพื้นที่ที่มีธรรมนูญสุขภาพผู้สูงอายุแห่งแรกของประเทศ มีโรงเรียนผู้สูงอายุตั้งอยู่ที่วัดหัวฝาย ทำงานร่วมกับองค์กรปกครองส่วนท้องถิ่นและหน่วยงานรัฐ เช่น พัฒนาสังคมและโรงพยาบาลพาน เพื่อส่งเสริมให้ผู้สูงอายุได้เรียนรู้ สร้างอาชีพ สร้างรายได้ และป้องกันโรคซึมเศร้า มีชีวิตอย่างมีคุณค่า ปัจจุบันสามารถขยายเครือข่ายผู้สูงอายุในเชียงรายได้ถึง 87 กลุ่ม และจะขยายไปยังกลุ่มจังหวัดล้านนาอื่นๆ
อีกประเด็นหนึ่งที่นำมาเรียนรู้คือ การพัฒนาภูมิปัญญาหมอเมืองล้านนา ที่พัฒนาจากการจัดทำธรรมนูญสุขภาพ ต.ป่าหุ่ง อ.พาน จ.เชียงราย มุ่งสืบสานภูมิปัญญา พัฒนาตำรับยาสมุนไพร และให้บริการสุขภาพด้วยระบบการแพทย์พื้นบ้านล้านนาในระบบบริการของโรงพยาบาลส่งเสริมสุขภาพตำบล (รพ.สต.) และโรงพยาบาลพาน จนได้รับเลือกให้เป็นพื้นที่นำร่องศึกษารูปแบบการจัดการระบบภูมิปัญญาโดยพื้นที่เองของคณะกรรมการภูมิปัญญาท้องถิ่นด้านสุขภาพระดับชาติ และเป็นรูปแบบ “เชียงรายโมเดล” ที่ปัจจุบันมีสภาหมอเมืองล้านนาและเครือข่ายหมอเมืองใน 18 อำเภอ
“เชียงรายนับเป็นพื้นที่ตัวอย่างที่ดีในการดูแลผู้สูงอายุและภูมิปัญญาท้องถิ่น เพราะคนในชุมชนทั้งหมดมีความร่วมมือร่วมใจกัน ซึ่งจะเป็นต้นแบบให้พื้นที่อื่นๆ ได้ อย่างไรก็ตาม ชุมชนต่าง ๆ จะทำได้หรือไม่ อยู่ที่ความเข้มแข็งของชุมชนและผู้นำชุมชน ตลอดจนต้องใช้ใจร่วมกันพัฒนามากกว่าใช้เงินนำ” พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าว
พล.ร.อ.ณรงค์ กล่าวด้วยว่า สำหรับรัฐบาลมีนโยบายหลายประการรองรับการเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยในปี 2564 ที่ประเทศไทยจะมีสัดส่วนผู้สูงอายุเพิ่มเป็นร้อยละ 20 โดยงานหลักจะอยู่ที่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ที่มีกรมกิจการผู้สูงอายุที่มีภารกิจโดยตรง แต่ทุกชุมชนทุกพื้นที่ต้องช่วยกันเช่นนี้
อย่างไรก็ตาม แต่ละคนต้องเตรียมการเป็นผู้สูงอายุตั้งแต่เป็นวัยหนุ่มสาว เพราะนอกจากต้องมีความแข็งแรงทางกายและใจแล้ว ยังต้องมีทุนสะสมไว้ใช้ด้วย การมาทำอะไรเมื่อสูงวัยแล้วอาจสายเกินไป
ที่มา: กลุ่มงานสื่อสารสังคม สำนักงานคณะกรรมการสุขภาพแห่งชาติ (สช.)