ก่อนถึงวันอิสรภาพกลับคืน : ย้อนรอย 7 ผู้บุกเบิกที่กลายเป็นผู้บุกรุก

ก่อนถึงวันอิสรภาพกลับคืน : ย้อนรอย 7 ผู้บุกเบิกที่กลายเป็นผู้บุกรุก

‘7 นักสู้ผู้ถูกจองจำ’ ชะตากรรมของผู้บุกเบิก กลายเป็นผู้บุกรุก จากคดีที่ดินบ้านแพะใต้ ต.หนองล่อง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน ก่อนถึงวันที่พวกเขาจะได้อิสระภาพกลับคืน… หลังต้องถูกตัดสินให้ต้องถูกคุมขังมาตั้งแต่ 25 พ.ค. 2559

  • 10 พ.ค. 2560 นายสุแก้ว  ฟุงฟู  อายุ 57 ปี นายพิภพ หารุคำจา อายุ 60 ปี และ นางคำ ซางเลง อายุ 56 ปี 3 ใน 7 นักสู้คดีที่ดินบ้านแพะใต้ จะได้รับอิสรภาพเสียที
  • 13 พ.ค. 2560 จะเป็นวันแห่งอิสรภาพของ นายสองเมือง โปยาพันธ์ อายุ 70 ปี
  • 30 มิ.ย. 2560 จะเป็นวันของนายวัลลภ ยาวิระ อายุ 54 ปี นายวัลลภ ไววา อายุ 54 ปี และนางบัวไลย์ ซางเลง อายุ 66 ปี

เกิดอะไรขึ้นกับนักต่อสู้ทั้ง 7 คน 1 ปี เป็นวันคืนที่ยาวนานสำหรับการถูกตัดขาดจากอิสรภาพ จำเป็นต้องย้อนรอยรำลึกให้เข้าใจถึงความหลัง

00000

ความเป็นมาและประวัติการตั้งถิ่นฐานของชุมชน

‘บ้านแพะใต้’ เคยเป็นส่วนหนึ่งของบ้านต้นผึ้ง (หมู่ที่ 2 ปัจจุบัน) แต่ตอนหลังได้แยกออกมาเป็นบ้านแพะใต้ ตั้งอยู่ในหมู่ที่ 7 ต.หนองล่อง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน

การก่อตั้งของบ้านแพะใต้ เริ่มจากคนกลุ่มแรกอพยพมาจากบ้านดอนตอง ต.แม่แรง อ.ปากบ่อง (อ.ป่าซางปัจจุบัน) ซึ่งก่อนหน้านั้นได้มีคนอพยพมาจากดอนตองใต้ บ้านหนองเงือก ต.แม่แรง อ.ปากบ่อง (อ.ป่าซางปัจจุบัน) แต่ไม่สามารถระบุข้อมูลได้อย่างแน่นอน

ครั้งแรก ครอบครัวที่อพยพมาทั้งหมด 7 ครัวเรือน ได้เข้ามาตั้งถิ่นฐานบริเวณใต้ต้นงิ้วใหญ่ คนกลุ่มแรกเข้ามาก็เริ่มทำการเพาะปลูกพืชผลต่างๆ ใกล้แม่น้ำลี้ และมีผลผลิตที่ดี ทำให้เกิดการชักชวนทยอยเข้ามาอยู่อาศัยในบริเวณดังกล่าวมากกว่า 30 ครัวเรือน ปัจจุบันมีจำนวนประชากรทั้งหมด 416 คน หรือ 150 ครัวเรือน

สภาพความเป็นมาของปัญหาและผลกระทบที่เกิดขึ้น

เมื่อประมาณ 30 ปีที่แล้ว นับตั้งแต่ปี พ.ศ. 2527 – 2528 ยุคที่เศรษฐกิจการค้าที่ดินกำลังเป็นที่นิยม จากนโยบายการพัฒนาและกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลในขณะนั้น จนมีสโลแกนว่า “เปลี่ยนสนามรบ ให้กลายเป็นสนามการค้า ธุรกิจการซื้อขายที่ดินในระบบตลาดก็เติบโตอย่างรวดเร็ว จนทำให้เกิดการกว้านซื้อที่ดินในพื้นที่ จ.เชียงใหม่ – จ.ลำพูน และจังหวัดอื่นๆ ในภาคเหนืออย่างเป็นขบวนการ เช่นเดียวกันกับกรณีบ้านแพะใต้ ต.หนองล่อง อ.เวียงหนองล่อง จ.ลำพูน 

บ้านแพะใต้ นับเป็นหมู่บ้านแรกๆ ที่ริเริ่มปฏิรูปที่ดินโดยชุมชนภายใต้แนวคิดที่ว่า “ที่ดินรกร้างว่างเปล่า  เป็นที่สาธารณะ ชาวบ้านสามารถใช้ประโยชน์ร่วมกันในการทำการเกษตรได้” แต่ในช่วงลงมือปฏิรูปที่ดิน นายทุนได้เข้ามาแสดงความเป็นเจ้าของที่ดินนั้น ชาวชุมชนบ้านแพะใต้จึงร่วมกันตรวจสอบการถือครองที่ดินดังกล่าวของนายทุน และพบว่ากระบวนการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินเหล่านั้นเป็นไปโดยมิชอบด้วยกฎหมาย ซึ่งสามารถลำดับปัญหาพอสังเขป ดังนี้

เมื่อ 18 ม.ค. 2509 รัฐบาลอนุมัติโครงการจัดที่ดินผืนใหญ่บ้านโฮ่ง หนองปลาสวาย ให้กับราษฎรจำนวนประมาณ 1,600 ครอบครัว ในช่วงเวลาหลังจากนั้นตั้งแต่ปี 2509 – 2527 ปรากฏว่าได้มีการออกใบจองให้ราษฎรจำนวน 1,391 ราย แต่พบว่าเกิดความผิดพลาดในการจัดสรรแปลงที่ดินและไม่สามารถตรวจสอบตำแหน่งที่ดินตามใบจองที่ถูกต้องได้ เนื่องจากก่อนการดำเนินการจัดที่ดินไม่มีการตรวจสอบสิทธิ ทำให้ผู้ที่ได้รับใบจองที่ได้ครอบครองทำประโยชน์อยู่ก่อนแล้วไม่ตรงกับแปลงที่ได้รับใบจอง ในที่สุดก็นำมาซึ่งการเพิกถอนและจำหน่ายใบจอง ตลอดจนสัญญาว่าจะมีการจัดสรรที่ดินใหม่

– จนกระทั่ง วันที่ 11 เม.ย. 2533 ได้มีราษฎรร้องเรียนต่อทางจังหวัดลำพูน จนกระทั่งมีการจัดประชุม และมีมติที่ประชุมว่า “พื้นที่ส่วนราษฎรครอบครองทำประโยชน์อยู่ให้แจ้งจังหวัดดำเนินการออกใบจองตามประมวลกฎหมายที่ดินต่อไป”

หลังจากปี 2533 ทำให้มีกลุ่มนายทุนจากจังหวัดเชียงใหม่ โดยเฉพาะบริษัทอินทนนท์การเกษตร จำกัด ได้เข้ามากว้านซื้อที่ดินพื้นที่ดังกล่าว ตามโครงการเร่งรัดออกโฉนดที่ดิน และอ้างสิทธิเข้าครอบครองพื้นที่สาธารณะประโยชน์ของบ้านแพะใต้ จำนวนกว่า 600 ไร่ หลังจากมีการไถปรับพื้นที่แล้ว ก็มีการใช้ประโยชน์เพียงบางส่วน ขณะที่พื้นที่ส่วนใหญ่ถูกปล่อยให้เป็นที่ดินรกร้างว่างเปล่า

ต่อมาในช่วงปี 2540 เกิดภาวะเศรษฐกิจตกต่ำทั้วประเทศ ทำให้ทางเลือกในการออกไปประกอบอาชีพของชาวบ้านนอกชุมชนมีน้อยลง ชาวบ้านหันมาแสวงหาหนทางการทำมาหากินในชุมชนมากขึ้น แต่ทว่าที่ดินที่มีอยู่กลับไม่เพียงพอต่อการทำเกษตร หลายครอบครัวยากจนและไม่มีที่ดินกิน ชาวบ้านจึงเริ่มปรึกษาหารือการแก้ไขปัญหาดังกล่าว ด้วยการปฏิรูปที่ดินที่ปล่อยทิ้งรกร้างว่างเปล่า และมีการจัดสรรที่ดินให้กับชาวบ้านที่ร่วมบุกเบิกจำนวน 99 ครอบครัว ซึ่งเป็นการจัดการร่วมกันของคนในชุมชนในรูปแบบของกรรมสิทธิ์ร่วม หรือกรรมสิทธิ์หน้าหมู่ ต่อมาได้พัฒนาเป็น “การจัดการที่ดินโดยชุมชน หรือ โฉนดชุมชน” หลังจากที่ชาวบ้านที่ได้รับการจัดสรรที่ดินทำกินต่างก็เข้าไปทำประโยชน์ ด้วยการประกอบอาชีพจากที่ดินดังกล่าวและสามารถสร้างรายได้ให้กับครอบครัว

ต่อมาในปี 2545 เกิดขบวนการปฏิรูปที่ดินโดยชุมชนอย่างกว้างขวางในพื้นที่จังหวัดลำพูน ชาวบ้านเข้าบุกเบิกพื้นที่ทำกินในเขตที่ดินรกร้างเพิ่มมากขึ้น ต่อมาเมื่อชาวบ้านใช้ประโยชน์และกินในที่ดินดังกล่าวได้สักระยะหนึ่ง ก็มีคนมาแสดงความเป็นเจ้าของที่ดิน พร้อมแสดงเอกสารสิทธิมีการปักป้ายยึดพื้นที่ นำเจ้าหน้าที่ตำรวจ พร้อมสุนัขตำรวจ เข้าล้อมชาวบ้านและแกนนำ ซึ่งตอนหลังตรวจสอบผู้อ้างแสดงความเป็นเจ้าของที่ดินดังกล่าว พบว่ามีกระบวนการออกเอกสารสิทธิ์ในที่ดินโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงทำให้เกิดข้อพิพาทระหว่างชาวบ้านและผู้อ้างแสดงความเป็นเจ้าของที่ดิน กระทั่งชาวบ้านถูกฟ้องร้องดำเนินคดีในข้อหาบุกรุกรวม จำนวน 109 คน จนนำมาซึ่งการถูกพิพากษาจำคุก 10 คน (3 คนเสียชีวิตแล้ว) เป็นเวลา 1 ปี โดยไม่รอลงอาญา

การแก้ปัญหา

– ปี พ.ศ. 2540 รัฐมนตรีกระทรวงมหาดไทยขณะนั้น มีการตรวจสอบพบว่า มีที่ดินอย่างน้อย 13 แปลงที่ได้มีการออกเอกสารสิทธิ์อย่างผิดกฎหมายจากโครงการเร่งรัดออกโฉนดที่ดินหนองปลาสวาย

– ปี พ.ศ. 2547 คณะอนุกรรมการแก้ไขปัญหาการถือครองที่ดินและการเพิกถอนเอกสารสิทธิที่ออกไปโดยมิชอบ  มีมติให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการเพิกถอนเอกสารสิทธิโดยมิชอบในพื้นที่ชุมชนสมาชิกสหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ จังหวัดลำพูน     วันที่ 8 มีนาคม 2554 คณะรัฐมนตรีได้พิจารณากรณีโครงการนำร่องธนาคารที่ดินภาคเหนือ 5หมู่บ้านให้ดำเนินโครงการดังกล่าวในกรอบวงเงิน 167 ล้านบาท

– ปี พ.ศ. 2554 ประกาศพระราชกฤษฎีกา จัดตั้งสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) พ.ศ. 2554 (ให้ไว้ ณ วันที่ 3พฤษภาคม พ.ศ.2554)

– พ.ศ. 2558 รัฐบาลพลเอกประยุทธ์  จันทร์โอชา แต่งตั้งคณะกรรมการบริหาร, ผู้อำนวยการสถาบันและบรรจุพนักงานของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดิน (องค์การมหาชน) (บจธ.) เริ่มดำเนินงานเมื่อวันที่ 1ตุลาคม 2558

– วันที่ 21 มิ.ย. 2559 คณะรัฐมนตรีมีมติเห็นชอบให้นำเงินงบประมาณ 260 ล้านบาท มอบให้สถาบันบริหารจัดการที่ดิน (องค์กรมหาชน) นำเงินไปช่วยเหลือเกษตรกรตามภารกิจ ซึ่งมีพื้นที่บ้านแพะใต้ จังหวัดลำพูน เป็นหนึ่งในพื้นที่โครงการนำร่องธนาคารที่ดิน

– วันที่ 31 ส.ค. 2559 คณะกรรมการนโยบายที่ดินแห่งชาติ (คทช.) เห็นชอบให้สถาบันบริหารจัดการที่ดิน (องค์กรมหาชน) ใช้งบประมาณดำเนินงานโครงการนำร่องธนาคารที่ดิน พื้นที่จังหวัดลำพูนและจังหวัดเชียงใหม่

00000

การรับโทษจำคุก

คดีที่1  เมื่อวันที่ 25 พ.ค.2559 ที่ศาลจังหวัดลำพูน ศาลฎีกาได้อ่านคำพิพากษา โดยยืนตามศาลอุทธรณ์ จำคุก 7 จำเลยเป็นเวลา 1 ปี ไม่รอลงอาญา ในข้อหาร่วมกันบุกรุกยึดถือครอบครองอสังหาริมทรัพย์ของของผู้อื่น ได้แก่

  1. นายสุแก้ว ฟุงฟู อายุ 57 ปี
  2. นายพิภพ หารุคำจา อายุ 60 ปี
  3. นายสองเมือง โปยาพันธ์ อายุ 70 ปี
  4. นายวัลลภ ยาวิระ อายุ 54 ปี
  5. นายวัลลภ ไววา อายุ 54 ปี
  6. นางคำ ซางเลง อายุ 56 ปี
  7. นางบัวไลย์ ซางเลง อายุ 66 ปี

(จำเลยที่ 8,9,10 เสียชีวิตไปแล้ว)

สรุปข้อมูลคดีที่ 1คดีหมายเลขดำที่ 1354/2540 คดีหมายเลขแดงที่ 2219/2541 ศาลจังหวัดลำพูน คดีอาญา ข้อหา บุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นในเวลากลางคืน

โจทก์ : นายศราวุธ แซ่เตี๋ยว โดย นายเทิดศักดิ์ แซ่เตี๋ยว ผู้รับมอบอำนาจ

จำเลย : นายสุแก้ว ฟุงฟู และพวกรวม 10 คน

ศาลชั้นต้น : ยกฟ้องโจทก์

โจทก์อุทธรณ์ : ศาลอุทธรณ์พิพากษากลับให้จำเลยที่ 1 ถึง จำเลยที่ 7 กับ จำเลยที่ 9-10 มี ความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365 (2) ประกอบมาตรา 362 จำคุกคนละ 1 ปี

ศาลฏีกา : พิพากษายืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ 1 ปี วันที่ 25 พ.ค. 2559

 

คดีที่ 2 วันที่ 11 ก.ค. 2559 ที่ศาลจังหวัดลำพูน ศาลฎีกาอ่านคำตัดสินพิพากษายืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ จำคุก 1 ปี ข้อหาบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นในเวลากลางคืน

สรุปข้อมูลคดีที่ 2 คดีหมายเลขดำที่ 1357/2540คดีหมายเลขแดงที่ 1415/2543 ศาลจังหวัดลำพูน คดีอาญา ข้อหาบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นในเวลากลางคืน

โจทก์ : นางสาว นพรัตน์ แซ่เตี๋ยว

จำเลย : นายสุแก้ว ฟุงฟู

ศาลชั้นต้น : มีคำพิพากษาว่าจำเลยทั้งสิบมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 365(2) ประกอบมาตรา 83 จำคุกคนละ 1 ปี

จำเลยอุทธรณ์ : วันที่ 11 ก.ค. 2559 ศาลฎีกาพิพากษายืนตามศาลชั้นอุทธรณ์ จำคุก 1 ปี

 

คดีที่ 3 คดีหมายเลขดำที่ 1353/2540 คดีหมายเลขแดงที่ 1816/2541 ศาลจังหวัดลำพูน คดีอาญา ข้อหาบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นในเวลากลางคืน

โจทก์ : บริษัทอินทนทท์การเกษตรจำกัด

จำเลย : นายสุแก้ว ฟุงฟู

ศาลชั้นต้น : พิพากษาให้จำเลยทั้งสิบมีความผิดตามประมวลกฎหมายอาญามาตรา 326 และ 365(2)

ศาลอุทธรณ์ : ยกฟ้อง

โจทย์ขอฎีกา : มีการเจรจาให้ไกล่เกลี่ย เนื่องจากการดำเนินงานของสถาบันบริหารจัดการธนาคารที่ดินในการจีดซ้อที่ดินข้อพิพาทเริ่มมีความชัดเจนและโจทก์ยินยอม ศาลจึงอนุญาตให้ถอนฎีกาดังกล่าวและจำหน่ายคดี

 00000

ความพยายามช่วยเหลือด้านคดีความและการถูกคุมขัง

1) การช่วยเหลือด้านการลดโทษ พักโทษ ฯลฯ ในกรณีสองคดีที่พิพากษาสิ้นสุดไปแล้ว ซึ่งไม่สามารถดำเนินการได้ทัน เนื่องจากระเบียบทางราชการมีการปรับเปลี่ยน ซับซ้อน เพิ่มขั้นตอนและใช้ระยะเวลาดำเนินการมากกว่าปกติ

2) การช่วยเหลือในกระบวนการเจรจาขอไกล่เกลี่ยในชั้นการพิจารณาฎีกาในคดีหมายเลขดำที่ 1353/540, คดีหมายเลขแดงที่ 1816/2541  ที่โจทก์ บริษัทอินทนทท์การเกษตรจำกัด ฟ้องจำเลยนายสุแก้ว ฟุงฟู ในข้อหาบุกรุกอสังหาริมทรัพย์ของผู้อื่นในเวลากลางคืน

3) การทบทวนและแก้ไขกฎระเบียบการเข้าเยี่ยมผู้ถูกคุมขังเนื่องจากมีการจำกัดการเข้าเยี่ยมได้เพียง 5รายต่อผู้ถูกคุมขัง 1 คน ถือเป็นการจำกัดสิทธิ์ของผู้ที่ต้องการเข้าเยี่ยม โดยควรเปิดโอกาสให้ญาติ เพื่อนฝูงและเครือข่ายองค์กรภาคประชาสังคมได้มีโอกาสได้เข้าเยี่ยมให้กำลังใจ มากกว่าที่จะกำหนดบุคคลที่เป็นญาติสนิทเพียง 5คนเท่านั้นที่จะมีสิทธิ์ อย่างน้อยในกรณีของหน่วยงานหรืองค์กรต่างๆ ควรมีกระบวนการหรือช่องทางการติดต่อเพื่อขอเข้าเยี่ยมอย่างเป็นทางการได้

4) การให้ความสำคัญเป็นกรณีเร่งด่วนกับการดูแล รักษาสุขภาพ โรคประจำตัวของผู้ต้องขัง โดยเฉพาะผู้ต้องขังหญิงและผู้ต้องขังสูงอายุ

การช่วยเหลือค่าใช้จ่ายเร่งด่วน ได้แก่

1.ค่าใช้จ่ายประจำในการเยี่ยมผู้ต้องขังทั้ง 7 คน อย่างน้อยสัปดาห์ละครั้ง มีค่าใช้จ่ายอย่างต่ำจำนวน 14,000 บาท ต่อ เดือน (เฉลี่ยครอบครัวละ 2,000 บาท ต่อเดือน) โดยแบ่งเป็นค่าใช้จ่าย 3 หมวด ได้แก่

  • ค่าเดินทางจากชุมชนไปยังเรือนจำของครอบครัว (ใช้รถ 1 คันเดินทางไปพร้อมกัน)
  • ค่าเงินฝากให้กับ 7ผู้ต้องขังนำไปเบิกใช้จ่ายภายในเรือนจำ (คูปองเงินสด)
  • ค่าซื้อของใช้ส่วนตัว อาหารแห้ง ยารักษาโรคของ 7 ผู้ต้องขัง (ญาติซื้อฝากเข้าไป)

2.ค่าเล่าเรียน ทุนการศึกษาลูกหลานที่ทั้ง 7 ผู้ต้องขังมีภาระเลี้ยงดู จำนวน 7 คน (ชั้นประถมศึกษา 5คน, มัธยมศึกษาตอนปลาย 1 คน, อุดมศึกษา 1 คน (ปริญญาตรี)

สหพันธ์เกษตรกรภาคเหนือ ได้ขอให้ 7 ครอบครัวเปิดบัญชีธนาคารเพื่อใช้ในการระดมทุนช่วยเหลือได้แก่ บัญชีธนาคารกรุงไทย สาขาจอมทอง เลขบัญชี 526-0-57703-5 (ชื่อบัญชี นายศราวุฒิ ปินกันทา, นางสายทอง เรือนมี, นางจันฟอง ไววาง และได้ขอรับการช่วยเหลือจากเครือข่ายภาคประชาชนต่างๆ เครือข่ายนักวิชาการ ฯลฯ

และได้ร่วมจัดงานผ้าป่าระดมทุนช่วยเหลือ ในวันที่ 30 พ.ย.2559 ณ บ้านแพะใต้ โดยมียอดเงินสนับสนุน ณ วันที่ 1 ธ.ค. 2559 เป็นจำนวนเงิน 177,343 บาท

 

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ