แถลง ‘มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร’ ทำอาจารย์โดนหมายเรียกผิดคำสั่ง คสช.

แถลง ‘มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร’ ทำอาจารย์โดนหมายเรียกผิดคำสั่ง คสช.

20 พ.ย.2558 กรณีเพจเฟซบุ๊กมหาวิทยาลัยเที่ยงคืนโพสต์ภาพหมายเรียกผู้ต้องหา ศ.ดร.อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ กับพวก ลงวันที่ 11 พ.ย.2558 ตั้งข้อหาร่วมกันมั่วสุมหรือชุมนุมทางการเมือง ณ ที่ใดๆ ที่มีจำนวนตั้งแต่ห้าคนขึ้นไป อันเป็นการฝ่าฝืนประกาศหรือคำสั่งหัวหน้าคณะรักษาความสงบเรียบร้อยแห่งชาติ โดยนัดให้เข้ารายงานตัวที่ สภ.ช้างเผือก จ.เชียงใหม่ ในวันที่ 24 พ.ย.นี้ เวลา 9.00 น.

20152011160226.png

วันนี้ (20 พ.ย. 2558) กลุ่มนักกิจกรรมรุ่นใหม่ได้แสดงความไม่เห็นด้วยและวิพากษ์วิจารณ์ต่อสิ่งที่เกิดขึ้นในเชียลมีเดีย โดยติดแฮชแท็ก #ทีมอาจารย์อรรถจักร์ และ #มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร ด้านกลุ่มเสรีนนทรี ม.เกษตร เผยแพร่จดหมายในเพจเฟซบุ๊ก ให้ความเห็นคัดค้านต่อการแจ้งข้อกล่าวหาดังกล่าว

 

ด้านประชาไท รายงานบทสัมภาษณ์ อรรถจักร์ สัตยานุรักษ์ อาจารย์ประจำคณะมนุษยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ (มช.) ระบุว่า หมายดังกล่าวถูกส่งไปยังนายคงกฤช ไตรยวงค์ อาจารย์ประจำภาควิชาปรัชญา คณะอักษรศาสตร์ มหาวิทยาลัยศิลปากร แต่ตนเองยังไม่ได้รับหมายเรียกแต่อย่างใด 

อรรถจักร์ กล่าวด้วยว่า หมายดังกล่าวสืบเนื่องมาจากการจัดแถลงข่าวเรื่องมหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร (อ่านแถลงการณ์ด้านล่าง) ร่วมกันจัดโดยคณาจารย์จากสถาบันต่างๆ หลังจากนั้นนายทหารพระธรรมนูญได้เข้าแจ้งความต่อผู้ร่วมกิจกรรม อย่างไรก็ตาม คงกฤช อาจารย์ผู้ได้รับหมายเรียกฉบับนี้ไม่ได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมนี้แต่อย่างใด ตนเองจึงได้โทรไปแจ้งตำรวจเจ้าของเรื่องแล้วเพื่อให้ถอนชื่อของคงกฤชออก และจากการสอบถามเจ้าหน้าที่ตำรวจ ยังมีการระบุด้วยว่า หมายเรียกผู้ต้องหาครั้งนี้จะส่งถึงอาจารย์ทั้งหมด 8 ราย เบื้องต้นทราบเพียงว่ามีตนเอง และสมชาย ปรีชาศิลปกุล อาจารย์ประจำคณะนิติศาสตร์ มช. อีกคนหนึ่ง ส่วนที่เหลือยังไม่ทราบว่ามีใครบ้าง

“คงจะรออีกสักพัก หากได้หมายเรียกก็คงไปตามหมายเรียก และอาจมีการแถลงข่าวหน้าสถานีตำรวจอีกครั้งหนึ่ง” อรรถจักร์กล่าว

เมื่อถามอรรถจักร์ว่ามีความกังวลใจหรือหนักใจต่อเรื่องที่เกิดขึ้นหรือไม่ เขาตอบว่า “ไม่หนักใจอะไร เรามีหน้าที่ที่จะต้องพูด ต้องแสดงความคิดเห็นต่อสังคมก็ต้องทำกันต่อไป จริงๆ ก็เคลียร์บทบาทนี้กับนายทหารชั้นผู้ใหญ่ของเชียงใหม่แล้วว่าจะไม่ให้ทำอะไรเลยเป็นไปไม่ได้ เราเป็นนักวิชาการก็มีหน้าที่ที่จะต้องพูดสิ่งที่เราคิดว่าควรต้องพูด”

“จริงๆ ผมก็ดีเฟนด์แทนมหาวิทยาลัยทั้งหมดทุกแห่งว่าไม่ใช่ค่ายทหาร ไม่ใช่ว่าจะสั่งซ้ายหันขวาหันได้ ไม่เช่นนั้นก็อาจต้องเปลี่ยนชื่อเป็น ค่ายมหาวิทยาลัยเชียงใหม่” อรรถจักร์กล่าว

ทั้งนี้ เมื่อวันที่ 31 ต.ค.2558 นักวิชาการจากหลายสถาบันนำโดย ศ.ดร.อรรถจักร สัตยานุรักษ์ รศ.สมชายปรีชาศิลปกุล นักวิชาการ ม.เชียงใหม่ รศ.ดร.ณฐพงศ์ จิตรนิรัตน์นักวิชาการ ม.ทักษิณ ดร.มานะ นาคำ นักวิชาการ ม.ขอนแก่น และคณาจารย์มหาวิทยาลัยได้ร่วมแถลงข่าวและอ่านแถลงการณ์เรื่อง “มหาวิทยาลัยไม่ใช่ค่ายทหาร” ที่ โรงแรมไอบิสถ ถนนคันคลองชลประทาน ต.ช้างเผือก อ.เมือง จ.เชียงใหม่

แถลงการณ์ดังกล่าวมีเนื้อหา ดังนี้

แถลงการณ์เครือข่ายคณาจารย์มหาวิทยาลัย
เรื่อง เสรีภาพทางปัญญาของระบบการศึกษา

จากการที่ได้มีการวิพากษ์วิจารณ์เกี่ยวกับการจัดการเรียนการสอนในสถาบันอุดมศึกษาว่าเป็นกระบวนการที่ทำให้เกิดการต่อต้านรัฐบาลซึ่งไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อสังคมไทยโดยรวมนั้น ในฐานะคณาจารย์ในมหาวิทยาลัย ขอแสดงปฏิกิริยาต่อคำวิจารณ์ดังกล่าว ดังต่อไปนี้

ประการแรก “เสรีภาพ” เป็นปัจจัยพื้นฐานที่มีความสำคัญอย่างยิ่งต่อความงอกงามในทางความรู้ การแสดงความเห็นจากมุมมองหรือวิธีคิดที่แตกต่างบนพื้นฐานของการใช้เหตุผลและข้อเท็จจริง จะนำไปสู่ความเข้าใจใหม่ในเรื่องต่างๆ ซึ่งทำให้มนุษย์และสังคมมีความรู้และสติปัญญามากขึ้น สามารถจัดการปัญหาและเผชิญหน้ากับโลกที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วและซับซ้อนได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น การจัดการเรียนการสอนของคณาจารย์จำนวนมากในมหาวิทยาลัยจึงไม่ได้เป็นการสอนให้ท่องจำและยึดมั่นในวิธีคิดและอุดมการณ์แบบใดแบบหนึ่งโดยปราศจากการโต้แย้ง เพราะบทเรียนจากประวัติศาสตร์ทั้งในสังคมไทยและสังคมอื่นๆ ได้แสดงให้เห็นอย่างชัดเจนแล้วว่าการปลูกฝังอุดมการณ์หรือ “ความเชื่อ” หนึ่งๆ เพื่อครอบงำสังคมหมายถึงการทำให้คนในสังคมยอมรับโครงสร้างอำนาจแบบใดแบบหนึ่งที่คนบางกลุ่มได้ประโยชน์ และอาจส่งผลให้มีการใช้ความรุนแรงหรือแม้กระทั่งการเข่นฆ่าผู้คนร่วมสังคมที่ปฏิเสธโครงสร้างอำนาจดังกล่าว ดังนั้น คณาจารย์จำนวนมากจึงเห็นว่าการทำให้เกิดทัศนะวิพากษ์หรือมุมมองที่แตกต่างเป็นเรื่องสำคัญยิ่งในสังคม เพื่อให้ผู้คนในสังคมสามารถคิดได้เอง และมีความเคารพตลอดจนความเมตตาและความเห็นอกเห็นใจในผู้คนที่มีมุมมองแตกต่างจากตนเองอย่างแท้จริง

ประการที่สอง ในสังคมไทยยุคโลกาภิวัตน์ที่ชีวิตและความคิดของผู้คนมีความแตกต่างหลากหลาย การใช้อำนาจบังคับให้บุคคลต้องปฏิบัติไปในรูปแบบเดียวกันไม่ว่าจะโดยอำนาจจากปากกระบอกปืนหรืออำนาจกฎหมายที่ไม่เป็นธรรม อาจจะทำให้เกิดความสงบราบคาบขึ้นได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น แต่ไม่สามารถนำพาสังคมไทยไปสู่ภาวะแห่งสันติสุขได้อย่างแท้จริง การสร้างความเห็นพ้องต้องกันในเรื่องต่างๆ รวมทั้งความชอบธรรมในการใช้อำนาจจำเป็นต้องมีรากฐานอยู่บนการถกเถียงกันด้วยความรู้ เหตุผล และข้อเท็จจริง ในบรรยากาศของความเสมอภาคและเสรีภาพในระบอบประชาธิปไตย

พวกเราในฐานะคณาจารย์จากสถาบันการศึกษาหลายสถาบัน มีความเห็นร่วมกันว่าการที่จะนำพาสังคมไทยให้พ้นจากความขัดแย้งเพื่อไปสู่สังคมที่มีสันติภาพ ความเสมอภาคและความเป็นธรรมในระยะยาวได้นั้น หลักการพื้นฐานคือต้องสร้างสังคมที่สามารถยอมรับฟังความคิดเห็นที่แตกต่าง มีกระบวนการในการจัดการกับปัญหาข้อขัดแย้งต่างๆ ที่เป็นธรรมและโปร่งใส มีระบบกฎหมายและกระบวนการยุติธรรมที่เป็นกลางและตรวจสอบได้ ซึ่งสังคมในลักษณะดังกล่าวก็คือสังคมที่ปกครองในรูปแบบเสรีประชาธิปไตย โดยมีรัฐธรรมนูญที่เอื้อต่อการสร้างความเป็นธรรมและค้ำประกันสิทธิเสรีภาพของประชาชน ทั้งนี้ สถาบันการศึกษาทุกระดับย่อมมีหน้าที่โดยตรงในการสร้างสังคมแบบประชาธิปไตยดังกล่าวนี้ มิใช่ทำให้ยอมรับการข่มขู่ด้วยอำนาจซึ่งมีแต่จะนำพาสังคมไทยให้จมดิ่งลงไปสู่ความมืดมนทางปัญญาและไม่อาจปรับตัวได้ในโลกปัจจุบันและอนาคต

ด้วยความรักและปรารถนาดีต่อสังคมไทย
เครือข่ายคณาจารย์มหาวิทยาลัย

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

Prev

April 2025

Next

Mon

Tue

Wed

Thu

Fri

Sat

Sun

31
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
1
2
3
4

20 April 2025

Nothing to show.

เข้าสู่ระบบ