เลขาฯ กป.อีสาน ชี้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ละเมิดสิทธิ-ทำการเมืองภาคประชาชนอ่อนแอ

เลขาฯ กป.อีสาน ชี้ พ.ร.บ.ชุมนุมฯ ละเมิดสิทธิ-ทำการเมืองภาคประชาชนอ่อนแอ

วันที่ 3 มี.ค. 2558 หลังจาก ที่ประชุมสภานิติบัญญัติแห่งชาติ (สนช.) รัฐสภาพิจารณาร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ในวาระแรก โดย พล.อ.ประวิตร วงษ์สุวรรณ รองนายกรัฐมนตรี และรมว.กลาโหม ได้ชี้แจงหลักการและเหตุผลของร่างกฏหมายดังกล่าวว่า เป็นการกำหนดหลักเกณฑ์การใช้สิทธิชุมนุมสาธารณะให้ชัดเจน สอดคล้องกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมืองที่ ประเทศไทยเป็นภาคี ทั้งนี้ เพื่อให้การชุมนุมสาธารณะเป็นไปด้วยความสงบเรียบร้อย ไม่กระทบกระเทือนต่อความมั่นคงของชาติ ความปลอดภัยสาธารณะ ความสงบเรียบร้อย หรือศีลธรรมอันดี ตลอดจนสุขอนามัยของประชาชน หรือความสะดวกของประชาชนที่จะใช้ที่สาธารณะ และไม่กระทบกระเทือนสิทธิและเสรีภาพและศักดิ์ศรีความเป็นมนุษย์ของผู้อื่น 

สมาชิก สนช. ส่วนใหญ่ได้อภิปรายสนับสนุนร่าง พ.ร.บ.ดังกล่าว ก่อนลงมติรับหลักการในวาระแรก เมื่อวันที่ 26 ก.พ. ที่ผ่านมา ด้วยคะแนน 182 งดออกเสียง 4 โดย ตั้งคณะกรรมาธิการวิสามัญพิจารณาจำนวน 22 คน ดำเนินการให้เสร็จภายใน 30 วัน 

นายสุวิทย์ กุหลาบวงษ์ เลขาธิการคณะกรรมการประสานงานองค์กรพัฒนาเอกชนพัฒนาชนบท (กป.อพช.อีสาน) นักเคลื่อนไหวด้านสิทธิมนุษยชน และทำงานเกาะติดประเด็นปัญหาด้านการจัดการทรัพยากรธรรมชาติและผลกระทบจากโครงการพัฒนาในพื้นที่ภาคอีสาน มีความเห็นต่อ ร่างกฏหมายดังกล่าวว่า พ.ร.บ.นี้เป็นการสร้างภาระให้กับประชาชนในการใช้สิทธิเรียกร้อง และในอนาคตการเรียกร้องของชุมชนที่เดือดร้อนเรื่องปากท้อง ปัญหาการแย่งชิงทรัพยากรในพื้นที่ จะไม่ได้รับการแก้ไข 

“ถ้ากฎหมายนี้บังคับใช้จะส่งผลให้การเมืองภาคประชาชนอ่อนแอลง ซึ่งต้องเข้าใจว่าประชาชนเดือดร้อนจากโครงสร้างที่เหลื่อมล้ำ ขณะที่รัฐจะบีบบังคับให้ประชาชนไปร้องเรียนผ่านช่องทางศูนย์ดำรงธรรมที่ไม่มีประโยชน์ต่อการแก้ไขปัญหา” สุวิทย์กล่าว

เลขาธิการ กป.อพช.อีสาน ยังกล่าวต่อว่า ร่างดังกล่าวที่ สนช.รับหลักการไปแล้วด้วยจำนวนเสียงมากมายนั้น ตนเองมองว่า สนช.ที่สนับสนุนแยกไม่ออกระหว่างม็อบมีเส้นกับม็อบชาวบ้านที่ไม่มีเส้น เราทราบกันว่าการชุมนุมที่ผ่านมาเจ้าหน้าที่รัฐพยายามที่จะห้ามไม่ให้ชุมนุมโดยมักจะอ้างความวุ่นวาย ความสงบบ้าง โดยมีการสกัดไม่ให้ชาวบ้านที่เดือดร้อนชุมนุม ไม่ยอมพบพูดคุย และถ้า พ.ร.บ.นี้ออกมาแล้วมีข้อบังคับเช่นต้องมีการแจ้งก่อนล่วงหน้า หรือขออนุญาตเจ้าหน้าที่ตำรวจ คาดว่าหน่วยงานที่ชาวบ้านจะต้องไปเจรจายื่นข้อเสนอปัญหาจะต้องหลบหนีแน่นอนไม่ยอมพบชาวบ้าน

“อยากถามต่อไปยัง สปช.ที่กำลังร่างรัฐธรรมนูญว่าถ้า พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ออกมาแล้ว จะทำให้ความเป็นพลเมืองเติบโตได้อย่างไร ถ้าสิทธิเสรีภาพขั้นพื้นฐานถูกจำกัด และผมมองว่า พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ ยังไม่ควรออกตอนนี้ ควรให้มีการถกเถียงจากคนในสังคมมากกว่านี้ ไม่ใช้เอาอารมณ์ของคนในสังคมที่เบื่อการชุมนุมฉวยโอกาสออกกฎหมายละเมิดสิทธิประชาชน และโดยเฉพาะตำรวจเป็นผู้ถือกฎหมายเราจะไว้ใจได้อย่างไร” นายสุวิทย์กล่าวทิ้งท้าย

ทั้งนี้ สาระสำคัญของร่าง พ.ร.บ.การชุมนุมสาธารณะ มีทั้งสิ้น 35 มาตรา อาทิ ห้ามชุมนุมในรัศมี 150 เมตร เขตพระบรมมหาราชวัง, ห้ามชุมนุมที่รัฐสภา ทำเนียบ และศาล ในระยะห่าง 50 เมตร ผู้บัญชาการตำรวจแห่งชาติหรือผู้ได้รับมอบหมายมีอำนาจประกาศห้ามชุมนุม, ห้ามขวางทางเข้า-ออก รบกวนการทำงานการใช้บริการหน่วยงานรัฐ ทั้งท่าอากาศยาน, ท่าเรือ, สถานนีรถไฟ, ขนส่งสาธารณะ, โรงพยาบาล, สถานศึกษา, ศาสนสถาน, สถานทูต, สถานกงสุล และสถานที่ทำการองค์การระหว่างประเทศ, ต้องแจ้งการชุมนุมก่อนเริ่มไม่น้อยกว่า 24 ชั่วโมง ห้ามปราศรัยในเวลาเที่ยงคืนถึง 06.00 น. ต้องไม่เคลื่อนการชุมนุมในเวลา 18.00 – 06.00 น. การสลายการชุมนุมต้องขออนุมัติจากศาล

รายงานโดย: เดชา คำเบ้าเมือง
ศูนย์สื่อชุมชนเพื่อสังคมที่เป็นธรรม (ศสธ.)

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ