พอช.หนุนแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยชุมชนในที่ดิน รฟท. 346 ชุมชนทั่วประเทศ

พอช.หนุนแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยชุมชนในที่ดิน รฟท. 346 ชุมชนทั่วประเทศ

พอช.หนุนแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยชุมชนในที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศ รวม 346 ชุมชน 27,096 หลัง รออนุมัติงบ 9,478 ล้านบาท ด้านเครือข่ายริมรางทั่วประเทศเร่งรัฐสนับสนุนงบประมาณ

ผู้เข้าร่วมงานวันที่อยู่อาศัยโลกที่ มทร.อีสาน  จ.นครราชสีมา  แสดงสัญลักษณ์ที่อยู่อาศัย โดยมีรอง ผวจ.นครราชสีมา (แถวหน้าที่ 4 จากซ้ายไปขวา) เป็นประธานในพิธี

นครราชสีมา / พอช.หนุนแก้ปัญหาที่อยู่อาศัยชุมชนผู้มีรายได้น้อยในที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศ   รวม 35 จังหวัด 346 ชุมชน  จำนวน 27,096 หลังคาเรือน  รอสำนักงบประมาณอนุมัติงบ 9,478 ล้านบาทก่อนเดินหน้า   ขณะที่ชาวชุมชนริมรางเมืองย่าโมที่รื้อย้ายออกจากแนวก่อสร้างทางรถไฟความเร็วสูงกรุงเทพฯ-หนองคาย  166 ครอบครัว  เช่าที่ดิน รฟท. 30 ปี  เตรียมสร้างหมู่บ้านสีเขียว  สร้างบ้านมั่นคง  ด้านเครือข่ายชุมชนริมรางรถไฟ 5 ภาคประกาศเจตนารมณ์ร่วมกันแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย  ยืนยันให้รัฐบาลใช้มติบอร์ดรถไฟปี 2543  เพื่อขอเช่าที่ดินที่ รฟท.ไม่ได้ใช้ประโยชน์สร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่  โดยให้รัฐเร่งสนับสนุนงบประมาณ

โครงการพัฒนาระบบรางรถไฟทั่วประเทศของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.) เช่น  รถไฟรางคู่  รถไฟความเร็วสูง  ฯลฯ  ทำให้เกิดผลกระทบต่อชุมชนชนผู้มีรายได้น้อยที่อาศัยอยู่ในที่ดิน รฟท. ทั่วประเทศ  จำนวน 35 จังหวัด 346 ชุมชน  รวม 27,096 หลังคาเรือน  โดยคณะรัฐมนตรีได้มีมติเห็นชอบตามข้อเสนอของ P-Move  ในการประชุม ครม.เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา   ให้ใช้แนวทางการแก้ไขปัญหาตามมติบอร์ด รฟท. 13 กันยายน 2543  และมอบหมายหมายให้สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช.  กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.)  จัดทำแผนงานรองรับที่อยู่อาศัยประชาชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบราง   โดยให้พิจารณาช่วยเหลืองบประมาณการพัฒนาที่อยู่อาศัยเทียบเท่ากับการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวและเปรมประชากรนั้น

2

ขณะเดียวกันเนื่องในวันที่อยู่อาศัยโลก (World  Habitat Day) ปี 2565  ในเดือนตุลาคมที่ผ่านมา  เครือข่ายจนคนทั่วประเทศในนามของสลัม 4 ภาค, สหพันธ์พัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ (สอช.) เครือข่ายชุมชนคนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ (ชมฟ.) เครือข่ายบ้านมั่นคง  ขบวนองค์กรชุมชน  ฯลฯ ได้จัดกิจกรรมเพื่อรณรงค์แก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในภูมิภาคต่างๆ มาอย่างต่อเนื่อง  เช่น  กรุงเทพฯ  สงขลา  ชัยนาท  และล่าสุด  ระหว่างวันที่ 19-20 ธันวาคม  จัดงานที่จังหวัดนครราชสีมา

โดยในวันนี้ (20 ธันวาคม) ที่มหาวิทยาลัยเทคโนโลยีราชมงคลภาคอีสาน (มทร.อีสาน) อ.เมือง  จ.นครราชสีมา  มีการจัดงาน วันที่อยู่อาศัยโลกประเทศไทย ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ  การพัฒนาที่อยู่อาศัย ใส่ใจช่องว่าง ไม่ทิ้งใคร และที่ใดไว้ข้างหลัง  สานพลังการพัฒนาที่อยู่อาศัยและการพัฒนาคุณภาพชีวิต เครือข่ายชุมชนริมรางรถไฟ  เป็นวันสุดท้าย  โดยมีนายสมเกียรติ  วิริยะกุลนันท์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา  เป็นประธานในงาน  มีผู้บริหารสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)  ผู้แทนสำนักงานพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พมจ)  ผู้แทน มทร.อีสาน  ผู้แทนชาวชุมชนริมรางรถไฟ 5  ภาค  และพี่น้องขบวนองค์กรชุมชนเครือข่ายต่างๆ เข้าร่วมงานประมาณ  400 คน

พอช. หนุนแก้ปัญหาชุมชนริมรางทั่วประเทศ 35 จังหวัด 27,096 หลัง 

นายสยาม  นนท์คำจันทร์  ผู้ช่วยผู้อำนวยการสถาบันพัฒนาองค์กรชุมชนฯ หรือ พอช. กล่าวว่า  จากแผนการพัฒนาระบบรางของการรถไฟแห่งประเทศไทย (รฟท.)  เช่น   โครงการรถไฟฟ้าความเร็วสูง  โครงการรถไฟฟ้ารางคู่  การพัฒนาเมืองรอบสถานี (TOD)  ฯลฯ พอช. ได้ดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรีร่วมกับชุมชนและเครือข่ายที่เกี่ยวข้อง ได้แก่ เครือข่ายสลัม 4 ภาค เครือข่ายสหพันธ์องค์กรพัฒนาองค์กรชุมชนคนจนเมืองแห่งชาติ (สอช.) เครือข่ายชุมชนคนเมืองผู้ได้รับผลกระทบรถไฟ (ชมฟ.) และเครือข่ายริมรางรถไฟ 5 ภาค สำรวจข้อมูลผู้เดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยในที่ดิน รฟท. ทั่วประเทศ  เพื่อจัดทำโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางตามโครงการ ‘บ้านมั่นคง’ ของ พอช.

โดย พอช. มีแผนดำเนินงานระยะเวลา 5 ปี (พ.ศ. 2566 – 2570) มีเป้าหมายดำเนินการครอบคลุมครัวเรือนผู้ได้รับผลกระทบ จำนวน 27,096 ครัวเรือน 346 ชุมชน 35 จังหวัดทั่วประเทศ  วงเงินรวม 9,478  ล้านบาทเศษ   ซึ่งที่ผ่านมา พอช. ได้เสนอ รมว.พม.ลงนามเห็นชอบแผนงาน  และเสนอสภาพัฒน์ซึ่งได้เห็นชอบแล้วเช่นกัน  และอยู่ในระหว่างการเสนอความเห็นชอบจากสำนักงบประมาณ  รวมทั้งการเสนอของบประมาณเพิ่มเติมจากเดิมที่กำหนดวงเงินช่วยเหลือที่อยู่อาศัยตามโครงการบ้านมั่นคง  ครัวเรือนละ 89,000  บาท  เพิ่มอีกครัวเรือนละ 80,000 บาท  เพื่อให้เท่ากับการพัฒนาที่อยู่อาศัยชุมชนริมคลองลาดพร้าวตามมติ ครม.

3
สภาพชุมชนริมทางรถไฟในเขตอำเภอเมือง  จ.นครราชสีมา

ทั้งนี้โครงการพัฒนาระบบรถไฟความเร็วสูง  เส้นทางกรุงเทพฯ – หนองคาย (กรุงเทพฯ-สระบุรี-นครราชสีมา-ขอนแก่น-อุดรธานี-หนองคาย) ระยะทาง 609 กิโลเมตร  ขณะนี้กำลังก่อสร้างในช่วงนครราชสีมา  โดยมีผู้ได้รับผลกระทบจำนวน 8 ชุมชน  คือ ชุมชนเลียบนคร  กลุ่มประสพสุข  ชุมชนข้างทางรถไฟ  ชุมชนหลังจวน  ชุมชนราชนิกูล 1  ชุมชนราชนิกูล 3  ชุมชนเบญจรงค์   และชุมชนทุ่งสว่าง  รวม 342 หลังคาเรือน  ทั้งหมดเป็นชุมชนที่ตั้งอยู่ในเขตอำเภอเมือง  จ.นครราชสีมา

ขณะเดียวกันชาวชุมชนที่เดือดร้อนได้รวมตัวกันจำนวน 166  ครอบครัว  เพื่อแก้ไขปัญหาตั้งแต่ปี 2564   เช่น  จัดตั้งคณะกรรมการขึ้นมาเป็นตัวแทน  จัดตั้งกลุ่มออมทรัพย์เพื่อเป็นการรวมคน  รวมทุนแก้ไขปัญหา  ในนามของ เครือข่ายชุมชนริมรางเมืองย่าโม’  และขอเช่าที่ดินที่ รฟท.ไม่ได้ใช้ประโยชน์   โดย รฟท. อนุมัติให้เช่าที่ดินเมื่อเดือนสิงหาคม 2565  เนื้อที่ 7 ไร่เศษ  ระยะเวลา 30 ปี  ค่าเช่าตารางเมตรละ 23 บาท/ปี  บริเวณชุมชนบ้านพะไล  ห่างจากที่อยู่อาศัยเดิมประมาณ  7-14  กิโลเมตร  เพื่อก่อสร้างบ้าน  สร้างชุมชนใหม่  เพื่อความสะดวกในการประกอบอาชีพ  เพราะชาวบ้านส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป  เก็บของเก่าขาย  จำเป็นต้องหากินอยู่ในเมือง

โดยชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบได้เข้าร่วมโครงการบ้านมั่นคงที่ พอช.ให้การสนับสนุน  จำนวน 166 ครอบครัว  ผู้อยู่อาศัยประมาณ  300 คน  ขณะนี้ผู้ที่มีความจำเป็นได้รื้อย้ายจากที่อยู่อาศัยเดิมมาอยู่บ้านพักชั่วคราว  จำนวน 27 ครอบครัว  โดย พอช.สนับสนุนงบประมาณก่อสร้าง 486,000 บาท

ส่วนการก่อสร้างบ้านใหม่จะเริ่มในเดือนมกราคม  2566  ในที่ดินที่แบ่งปันครอบครัวละ  5×9 ตารางวา  (ขนาดบ้าน 5×7 ตารางวา  ชั้นเดียว)  ราคาก่อสร้างประมาณหลังละ 100,000 บาท  ตามแผนงานจะแล้วเสร็จในปี 2567    โดย พอช.สนับสนุนงบประมาณ  รวม  12,823,500 บาท ( อุดหนุนสร้างบ้านหลังละ 30,000 บาท  ส่วนที่เหลือเป็นงบด้านสาธารณูปโภคส่วนกลางและการบริหารจัดการ)

4
ที่ดิน รฟท. บริเวณบ้านพะไลเนื้อที่ 7 ไร่เศษ  ขณะนี้มีชาวบ้านเข้าอยู่อาศัยชั่วคราว 27 ครอบครัว  เตรียมสร้างบ้านใหม่ต้นปี 2566 นี้

ชาวชุมชนริมรางเมืองย่าโมเตรียมสร้าง ‘หมู่บ้านสีเขียว’

นายสมเกียรติ  วิริยะกุลนันท์  รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา  กล่าวว่า  รัฐบาลให้ความสำคัญในการแก้ไขปัญหาความยากจน  ลดความเหลื่อมล้ำ  สร้างความเป็นธรรมในสังคม และการสร้างโอกาสในการเข้าถึงสวัสดิการและบริการของรัฐ  โดยเฉพาะการสร้างโอกาสทางเศรษฐกิจ   การประกอบอาชีพ  และการมีรายได้ที่มั่นคงแก่ประชาชน  โดยเน้นกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ผู้ด้อยโอกาส เพื่อยกระดับคุณภาพชีวิตของประชาชน

รวมถึงการมีความมั่นคงในที่อยู่อาศัย  ภายใต้ยุทธศาสตร์การพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะ 20 ปี (พ.ศ.2560 – 2579) ซึ่งเป็นกรอบในการพัฒนาที่อยู่อาศัยระยะยาว  และเสริมสร้างความมั่นคงด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนทุกกลุ่มเป้าหมาย  ครอบคลุมในทุกมิติ โดยบูรณาการความร่วมมือในการดำเนินงานกับภาคีทุกภาคส่วนที่เกี่ยวข้อง   มีเป้าหมายตามวิสัยทัศน์ “คนไทยทุกคนมีที่อยู่อาศัยถ้วนทั่วและมีคุณภาพชีวิตที่ดีในปี 2579

“จังหวัดนครราชสีมาได้จัดทำแผนที่อยู่อาศัยจังหวัดตามนโยบายของรัฐบาลในการแก้ไขปัญหาความเดือดร้อนด้านที่อยู่อาศัยของประชาชนผู้มีรายได้น้อย  และประชาชนกลุ่มอื่นที่มีความเดือดร้อนและต้องการความช่วยเหลือด้านที่อยู่อาศัยในทุกด้าน  เช่น  ปรับปรุง-ซ่อมแซมสำหรับบ้านที่มีอยู่แล้ว  สร้างใหม่สำหรับผู้ที่ไม่มีที่อยู่อาศัย   หรือต่อเติมสำหรับที่อยู่อาศัยที่ไม่เพียงพอต่อขนาดครอบครัว”  รอง ผวจ.นครราชสีมากล่าว

การจัดงานวันนี้   รองผู้ว่าราชการจังหวัดนครราชสีมา  ได้เป็นประธานในการมอบสัญญาเช่าที่ดินการรถไฟฯ เนื้อที่  7 ไร่เศษ  ระยะเวลาเช่า 30 ปี  ให้แก่ผู้แทนชาวชุมชนที่ได้รับผลกระทบ,  มอบงบประมาณโครงการบ้านมั่นคงเครือข่ายชุมชนริมรางเมืองย่าโม  จำนวน 166 ครัวเรือน  งบประมาณ 12,823,500 บาท,  มอบงบประมาณโครงการพัฒนาที่อยู่อาศัยชั่วคราว  จำนวน 27 ครัวเรือน  จำนวน  486,000 บาท   มอบงบประมาณโครงการบ้านพอเพียงปี 2566 จังหวัดนครราชสีมา  จำนวน 43 ตำบล 374 ครัวเรือน งบประมาณ 7,667,000 บาท    และมอบใบประกาศเกียรติบัตรให้แก่หน่วยงาน  กลุ่ม  องค์กรที่สนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยในจังหวัดนครราชสีมา จำนวน 9 หน่วยงาน  และระดับภาคตะวันออกเฉียงเหนือ

นอกจากนี้รอง ผวจ.นครราชสีมาได้เดินทางไปเยี่ยมประชาชนที่เข้าอยู่อาศัยในบ้านพักชั่วคราวที่บริเวณชุมชนบึงพะไล  จำนวน 27 ครอบครัว  พร้อมทั้งให้คำแนะนำประชาชนเรื่องการทำเกษตรอินทรีย์  การทำปุ๋ยอินทรีย์  โดยใช้เศษอาหาร  พืชผักที่เหลือนำมาหมักทำปุ๋ยอินทรีย์ด้วย

5
นายสมเกียรติ รอง ผวจ.นครราชสีมา (ที่ 5 จากซ้าย) มอบสัญญาเช่าที่ดินให้ผู้แทนชุมชน

นายสุรวุฒิ  พิมโพธิ์กลาง  ตัวแทนชาวชุมชนบึงพะไล  บอกว่า  เดิมตนกับครอบครัวเคยอยู่ชุมชนประสพสุข  อเมือง จ.นครราชสีมา  เป็นชุมชนริมรางรถไฟ  ส่วนใหญ่มีอาชีพรับจ้างทั่วไป  และค้าขายเล็กๆ น้อยๆ  เมื่อ รฟท. จะสร้างเส้นทางรถไฟความเร็วสูงผ่านโคราช  และจะมีการรื้อย้ายชาวชุมชนริมรางรถไฟ  8 ชุมชนจึงรวมตัวกันในปี 2564  ใช้ชื่อว่า เครือข่ายริมรางเมืองย่าโม’ เพื่อแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัย  โดยยมีเครือข่ายสลัม 4 ภาคเป็นพี่เลี้ยง  รวมตัวกันเจรจากับ รฟท. จนได้เช่าที่ดิน รฟท. บริเวณชุมชนบึงพะไล  เนื้อที่ 7 ไร่เศษ  รองรับชาวบ้านริมรางที่เข้าร่วม 8 ชุมชน  รวม 166 ครอบครัว  แบ่งที่ดินได้ครอบครัวละ 5×9 ตารางวา  โดยเช่าที่ดินจาก รฟท.ตารางเมตรละ 23 บาทต่อปี  ระยะเวลา 30 ปี

“ตอนนี้ผมกับครอบครัวอื่นๆ รวม 27 ครอบครัวเข้ามาอยู่ในบ้านพักชั่วคราวแล้ว  เพราะการรถไฟฯ จะใช้พื้นที่ก่อสร้างเส้นทาง  ส่วนการสร้างบ้านใหม่จะเริ่มต้นปี 2566  ตอนนี้เราได้ช่วยกันขุดบ่อปลา  ทำแปลงเกษตร  ปลูกผักสวนครัวต่างๆ ในพื้นที่ส่วนกลาง  และเตรียมขอเช่าพื้นที่ริมทางรถไฟเพิ่มเติมเพื่อทำเกษตร  โดยเราจะปลูกผักสวนครัว  และผักต่างๆ ที่ใช้พื้นที่น้อย  เช่น  เพาะต้นอ่อนทานตะวัน  เพาะถั่วงอก  เพื่อเป็นอาหาร  และขายเป็นรายได้   เราจะทำให้เป็นหมู่บ้านสีเขียว  เน้นเกษตรอินทรีย์  และสร้างพื้นที่พักผ่อน  ทำร้านกาแฟในบ่อปลา  คนจากในเมืองก็มานั่งพักผ่อน  ดื่มกาแฟชมวิวได้  เพราะแถวนี้เป็นทุ่งโล่ง  อากาศเย็นสบาย”  ตัวแทนชาวชุมชนริมรางบอกถึงแผนงานสร้างหมู่บ้านสีเขียว

6
ที่ดิน รฟท.บ้านพะไลที่ชาวชุมชนริมรางเตรียมพัฒนาเป็นหมู่บ้านสีเขียว

‘คนริมราง’ ประกาศเจตนารมณ์แก้ปัญหาที่ดินที่อยู่อาศัย

          ในตอนท้ายของการจัดงานวันที่อยู่อาศัยโลกภาคอีสานเพื่อผลักดันการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยชุมชนในดิน รฟท.ทั่วประเทศครั้งนี้  ผู้เข้าร่วมงานจาก 5  ภูมิภาคได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์  มีใจความสำคัญว่า

“เครือข่ายเครือข่ายองค์กรชุมชน  เครือข่ายประชาสังคม  เครือข่ายชุมชนที่ได้รับกระทบจากนโยบายการพัฒนาระบบราง 5 ภูมิภาค ได้สำรวจข้อมูลผู้เดือนร้อนที่อยู่อาศัยในพื้นที่การรถไฟฯ ร่วมกับการรถไฟแห่งประเทศไทย  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน และเครือข่ายชุมชน จำนวน 27,096  หลังคาเรือน ใน 346 ชุมชน 35 จังหวัด  โดยเราจะร่วมกันทำงานเพื่อแก้ไขปัญหาที่ดิน ที่อยู่อาศัย และพัฒนาคุณภาพชีวิตในทุกมิติของชุมชน  จึงขอร่วมกันประกาศเจตนารมณ์ เพื่อให้ชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาระบบรางมีที่อยู่อาศัยที่มั่นคงและมีคุณภาพชีวิตที่ดี  โดยเราจะดำเนินการร่วมกัน  ดังนี้

7
ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์

1.เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องเร่งรัดดำเนินการตามมติคณะรัฐมนตรี เมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 โดยให้การรถไฟแห่งประเทศไทย เสนอข้อมูลชุมชนที่เดือดร้อนต่อคณะกรรมการรถไฟฯ เพื่อขยายพื้นที่จากเดิมที่มีมติรองรับไว้  61 ชุมชน เป็น 346 ชุมชน  ครอบคลุม  27,096 หลังคาเรือน  โดยใช้แนวทางการดำเนินงานตามมติคณะกรรมการรถไฟฯ เมื่อวันที่ 13 กันยายน  2543

2.ผลักดันให้คณะรัฐมนตรี มีมติสนับสนุนงบประมาณตามแผนงานโครงการแก้ไขปัญหาที่อยู่อาศัยผู้มีรายได้น้อยในชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางโดยเร็ว

3.เสนอให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องจัดทำแผน แนวทาง และมาตรการสนับสนุนช่วยเหลือที่ชัดเจน  เป็นรูปธรรม สำหรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาระบบราง

4.การแก้ไขปัญหาชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากนโยบายการพัฒนาระบบราง ให้มีที่อยู่อาศัยในรูปแบบที่หลากหลาย มีความยืดหยุ่น เหมาะสมตามศักยภาพของชุมชน  โดยชุมชนมีส่วนร่วมดำเนินการร่วมกับหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง

ด้วยพลังและการมีส่วนร่วมของชุมชน และภาคีพัฒนาทุกภาคส่วน ที่ขับเคลื่อนการแก้ไขปัญหาด้านที่อยู่อาศัยและการพัฒนาคุณภาพชีวิตในครั้งนี้  ส่งต่อให้ลูกหลานมีความมั่นคงในชีวิต มีศักดิ์ศรีของความเป็นมนุษย์ เป็นที่ยอมรับของสังคมอย่างเท่าเทียม”

8

สลัม 4 ภาคย้ำแก้ไขปัญหาตามมติบอร์ด รฟท.

นายอัภยุทย์  จันทรพา  ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาค  กล่าวว่า  การแก้ไขปัญหาที่ดินและที่อยู่อาศัยของชาวชุมชนริมรางรถไฟทั่วประเทศที่จะเดินหน้าต่อไป  เครือข่ายชุมชนริมรางรถไฟทั่วประเทศยืนยันจะใช้แนวทางตามมติบอร์ด รฟท. เมื่อวันที่ 13 กันยายน 2543 ซึ่ง ครม.มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2565 ที่ผ่านมา

“ขณะนี้เครือข่ายฯ อยู่ในระหว่างการเจรจากับ รฟท.เพื่อให้รองรับชุมชนที่ได้รับผลกระทบจากการพัฒนาระบบรางในปัจจุบัน  จากเดิมที่มีมติรองรับไว้  61 ชุมชน ให้เพิ่มเป็น 346 ชุมชนทั่วประเทศ  รวม  27,096 หลังคาเรือน  รวมทั้งรอผลการอนุมัติงบประมาณสนับสนุนการพัฒนาที่อยู่อาศัยที่ พอช.กำลังดำเนินการอยู่  ซึ่งหากได้รับอนุมัติตามขั้นตอนดังกล่าวแล้ว  ชุมชนริมทางรถไฟที่มีความพร้อมก็จะสามารถเดินหน้าพัฒนาที่อยู่อาศัยตามที่พวกเราได้ร่วมกันประกาศเจตนารมณ์เอาไว้ได้  และตั้งเป้าว่าภายในปี 2566 นี้จะเริ่มได้”  ที่ปรึกษาเครือข่ายสลัม 4 ภาคกล่าว

ทั้งนี้มติคณะกรรมการรถไฟฯ  วันที่ 13 กันยายน  2543  มีที่มาจากนโยบาย รฟท. ในปี 2541 จะนำที่ดิน รฟท.ทั่วประเทศมาให้เอกชนเช่าทำธุรกิจ  ชาวชุมชนในที่ดินรถไฟทั่วประเทศได้เข้าร่วมเคลื่อนไหวกับเครือข่ายสลัม 4 ภาค  เพื่อขอเช่าที่ดินอยู่อาศัยอย่างถูกต้องจาก รฟท.  เนื่องจากกลัวถูกไล่รื้อชุมชน

การเรียกร้องของชุมชนในที่ดิน รฟท.ยังดำเนินต่อเนื่องนับจากปี 2541  จนถึงเดือนกันยายน 2543   มีการชุมนุมที่หน้ากระทรวงคมนาคม  กรุงเทพฯ  มีชาวชุมชนทั่วประเทศมาแสดงพลังกว่า 2,000 คน  ใช้เวลา 3 วัน   ในที่สุดคณะกรรมการบริหารการรถไฟแห่งประเทศไทย  หรือ ‘บอร์ด รฟท.’ ได้มีมติเห็นชอบเมื่อวันที่ 13 กันยายน  2543  โดยเห็นชอบข้อตกลงตามที่กระทรวงคมนาคมเจรจากับผู้แทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค  คือ

1.ชุมชนที่อยู่นอกเขตทางรถไฟ 40 เมตร  หรือที่ดิน รฟท.ที่เลิกใช้  หรือยังไม่มีแผนใช้ประโยชน์  ให้ชุมชนเช่าอยู่อาศัยระยะยาว 30 ปี   2.ที่ดินที่อยู่ในเขตทางรถไฟรัศมี 40 เมตรจากกึ่งกลางรางรถไฟ  ชุมชนสามารถเช่าได้ครั้งละ 3 ปี  และต่อสัญญาเช่าได้ครั้งละ 3 ปี  หาก รฟท.จะใช้ประโยชน์จะต้องหาที่ดินรองรับในรัศมี 5 กิโลเมตร  ระหว่างการเช่า  รฟท.ต้องอนุญาตให้หน่วยงานต่างๆ  เช่น  ประปา  ไฟฟ้า  เข้ามาบริการชุมชนได้  ส่วนชุมชนจะต้องร่วมมือกับ รฟท.ในการจัดการสภาพพื้นที่ให้เรียบร้อย

3.กรณีชุมชนอยู่ในที่ดิน รฟท.รัศมี 20 เมตร  หาก รฟท.เห็นว่าไม่เหมาะสมในการให้เช่าเป็นที่อยู่อาศัยระยะยาว     ให้ รฟท.จัดหาที่ดินรองรับในรัศมีไม่เกิน 5 กิโลเมตรจากชุมชนเดิม  4.ให้ตัวแทนเครือข่ายสลัม 4 ภาค  มีส่วนร่างสัญญาและกำหนดอัตราค่าเช่าที่ดินร่วมกับ รฟท. ในอัตราที่เหมาะสมและเป็นธรรม

หลังจากนั้นชุมชนในที่ดินการรถไฟฯ ทั่วประเทศ  เช่น  กรุงเทพฯ  เชียงใหม่  ประจวบคีรีขันธ์  สงขลา  ฯลฯ  รวม 61 ชุมชนได้ทยอยทำสัญญาเช่าที่ดินกับการรถไฟฯ  และพัฒนาที่อยู่อาศัยตั้งแต่ปี 2547  (อัตราค่าเช่าตารางเมตรละ 20 บาทต่อปี)  จน รฟท.มีโครงการพัฒนาระบบรางทั่วประเทศในปัจจุบัน  ทำให้มีชุมชนที่จะได้รับผลกระทบเพิ่มมากขึ้น   เครือข่ายริมรางรถไฟและสลัม 4 ภาคจึงเคลื่อนไหวผลักดันให้มีการแก้ไขปัญหาในขณะนี้

9

เรื่องและภาพ : สำนักพัฒนานวัตกรรมชุมชนจัดการความรู้และสื่อสาร  สถาบันพัฒนาองค์กรชุมชน (องค์การมหาชน)

author

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

เข้าสู่ระบบ