“ชนเผ่ากุลาอพยพฝูงควายไล่ต้อนเพื่อนำไปขาย สมัยนั้นโจรเยอะมาก พ่อค้าชนเผ่ากุลาจำเป็นต้องมีอาวุธคุ้มกัน แต่ถึงกระนั้นก็ยังป้องกันไม่อยู่ จึงถูกปล้นควายไปทีละตัวสองตัว เมื่อเป็นเช่นนี้พ่อค้ากุลาจึงแจ้งไปยังเจ้าเมืองแต่เจ้าเมืองไม่ช่วยจนทำให้เสียใจร้องไห้ นั่นหละจึงเป็นที่มาของทุ่งกุลาร้องไห้ที่รัฐใช้เรียกเอ่ยถึงพื้นที่แห่งนี้ทั้งหมดแบบเหมารวม” ประโยคบอกเล่าจาก ผศ.ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ อาจารย์ประจำภาควิชาสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา (สาขาวิชาการพัฒนาชุมชน) คณะมนุษยศาสตร์และสังคมศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหาสารคาม ที่ถือเป็นผู้เชี่ยวชาญในพื้นที่ทุ่งกุลาโดยการการันตีจากชาวบ้านหลายชุมชน ประโยคดังกล่าวอาจสะท้อนความหมายได้หลายแง่มุม แน่นอนว่าหลายคนอาจมองว่าทุ่งกุลาคือดินแดนที่แห้งแล้ง แดดร้อน แผ่นดินแทบไหม้ แต่หลังจากที่พวกเราลงพื้นที่หลายรอบ ทั้งการไปเช้าเย็นกลับ การนอนข้ามคืนและนอนหลายๆคืน เพื่อร่วมวงสนทนาและลงลึกไปในพื้นที่ทั้งในเชิงภูมิศาสตร์และประวัติศาสตร์ เราก็ย่อมช่วยการันตีให้ด้วยเช่นกันว่าทุ่งกุลาไม่แห้งแล้ง และชาวบ้านที่นั่นก็ไม่ได้ร้องไห้เหมือนอย่างที่ใครกล่าวอ้าง
ผศ.ดร.ไชยณรงค์ เศรษฐเชื้อ
วาทกรรมหรือชุดความคิดที่คนนอกโดยเฉพาะจากมุมมองของผู้กำหนดนโยบายอย่างฝ่ายรัฐมักมองว่า ทุ่งกุลาคือเขตพื้นที่ซึ่งมีความจำเป็นต้องได้รับการแก้ไขปัญหา ทั้งการสร้างโรงงานอุตสาหกรรม การทำเป็นแหล่งบันเทิงท่องเที่ยว การใช้เป็นพื้นที่ปลูกไม้เศรษฐกิจอย่างยูคาลิปตัส หรือแม้กระทั่งการมองว่าที่นี่ต้องเป็นที่ทิ้งขยะเพราะขยะในกรุงเทพมหานครล้นเมือง จำเป็นต้องนำขยะขยะจากที่นั่นขนใส่รถไฟมาทิ้งที่นี่ ประโยคเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า คนคิดนโยบายไม่ได้เข้าใจพื้นที่ หรืออาจเรียกได้ว่าเป็นการคิดแบบไม่มีข้อมูล ที่อาจเป็นการจิตนาการแบบลอยๆว่าดินแดนทุ่งกลาคือที่ซึ่งไม่มีคนอยู่ ไม่มีต้นไม้ ไม่มีภูมิปัญญาและวัฒนธรรม ที่จะว่าไปก็ดูจะเป็นการยัดเยียดความเศร้าหมองของคนและสรรพสิ่งในพื้นที่ยิ่งนัก
“ป่านี้สมุนไพรมากหลายๆ จะมาบรรยายให้ฟัง มีทั้งต้นพังคีต้นสมานส่องฟ้า เฮาเก็บมาเป็นยามารักษาได้ทุกวัย ยามเก็บยามป่วยยามไข้เฮาขุดมันเอามาเป็นยา สรรพคุณมันดีเด้อท่านๆ เฮาพากันอนุรักษ์ไว้แหน่ ยามเป็นลงเฮาสิได้แก้ ยามเฮาแย่มันสิรักษา ต้นบีคนกะมีเด้อจ้า มีต้นเจียงปืนมีต้นขี้ตุ่น ขาวจุ่นผุ่นคือดอกคัดเค้ายามมื้อเช้าจั่งแม่นหอม ดอกกะยอมกะมีเด้อจ้า มีดอกมันปลาเป็นสีบานแบ่ง ดอกสะแบงแมงแคงหมู่นั่นล้วนแล้วแต่เป็นยา เหลียวขึ้นฟ้าเป็นสีจ่วนห่วน หมากผีผ่วนสีแดงจ่ายหว่าย พวกเฮาอย่าทำลายรักษาไว้ รักษาไว้” นี่คือกลอนลำของแม่หมุน ลุนสอน ชาวบ้านขัวโคก ต.สระบัว อ.ปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด ผู้เป็นปราชญ์ในพื้นที่และมีความเป็นศิลปินจนสามารถแต่งกลอนลำเพื่อสะท้อนให้เห็นความอุดมสมบูรณ์ โดยเฉพาะเรื่องป่าที่มีความเชื่อมโยงกับยาสมุนไพร กลอนลำที่แม่หมุนบรรยายให้ฟังข้างบนดูเหมือนจะมีความขัดแย้งกับชุดความคิดที่คนทั่วไปมองทุ่งกุลา เพราะคนที่อยู่ในพื้นที่ซึ่งเกิดขึ้นพร้อมภูมิปัญญา ประเพณี ความเชื่อและวัฒนธรรมย่อมรู้ดีว่าที่นี่ไม่ได้แล้ง และไม่ใช่พื้นที่ซึ่งผู้คนที่อาศัยต้องร้องไห้ ตรงกันข้ามพวกเขากลับมีรอยยิ้ม มีความสุขอย่างมากล้นที่ได้อยู่ที่นี่ และก็ดูเหมือนจะเป็นเช่นนั้นจริงๆเพราะพิสูจน์ได้จากปลาตัวใหญ่หลายชนิดที่ชาวบ้านนำมาต้อนรับในทุกครั้งที่พวกเราไปเยี่ยมเยียน
“นักการเมืองหรือรัฐบาลแต่ละยุคก็ช่วยกันผลิตซ้ำวาทกรรมทุ่งกุลาแล้ง ซึ่งการมองแบบนี้แปลว่าเป็นการมองว่าที่ทุ่งกุลาไม่มีคนหรือชุมชนอยู่ หรือสื่อเองก็เป็นภาคส่วนที่มีความสำคัญมากๆในการประโคมข่าวว่าหมู่บ้านนั้นหมู่บ้านนี้เพื่อช่วยกันสะท้อนให้เห็นความแล้ง พยายามไปเจาะภาพแม่ใหญ่ไปขุดปูที่เห็นดินแตกระแหง และจุดที่เป็นทุ่งกุลาจริงๆมันจะเป็นจุดเล็กๆอยู่ที่สุวรรณภูมิ ซึ่งเป็นหนึ่งในทุ่งที่อยู่ในพื้นที่ 2.1 ล้านไร่ที่รัฐไทยมองว่านี่คือทุ่งกุลา แต่จริงๆจะมีทุ่งอื่นๆอยู่เชื่อมกันเต็มไปหมดเลย และชาวบ้านก็มีชื่อเรียกของเขาในแต่ละจุดที่ต่างกันไป” อ.ไชยณรงค์ เล่าให้ฟังถึงที่มาของคำว่าทุ่งกุลา ซึ่งเดิมทีที่นี่ไม่ได้ชื่อทุ่งกุลาร้องไห้ หากแต่ทุ่งกุลาเป็นแค่จุดเล็กๆแห่งหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกภายใต้ทุ่งกว้างที่ครอบคลุม 5 จังหวัดในพื้นที่ภาคอีสาน
ที่สำคัญการมาของโครงการอีสานเขียวในปี 2530 ที่มีจุดมุ่งหมายให้ภาคอีสานมีการพัฒนาให้เกิดความชุ่มชื้น เพราะความเชื่อที่ว่าอีสานแล้งได้ฝังแน่นในความคิดของนักการเมือง ดังนั้นการออกแบบนโยบายจึงต้องพยายามทำให้อีสานเป็นพื้นที่หายแล้ง จึงเป็นที่มาของการสร้างโครงการต่างๆมากมากมายทั้งการสร้างเขื่อน การปลูกต้นไม้ และช่วงหนึ่งรัฐพยายามส่งเสริมให้มีการปลูกต้นยูคาลิปตัส แต่พอมาดูพื้นที่จริงกลับพบว่าในพื้นที่มีต้นไม้เต็มไปหมด จึงเป็นที่มาของการตัดต้นไม้ใหญ่แล้วส่งเสริมปลูกต้นยูคาลิปตัสจนเกิดการประท้วงในหลายพื้นที่ของภาคอีสานรวมถึงทุ้งกุลาแห่งนี้ก็ได้รับผลกระทบเช่นเดียวกัน ทั้งที่ในความเป็นจริงจะพบว่าในพื้นที่มีแหล่งน้ำตามธรรมชาติกระจายเต็มไปหมด และบางจุดก็จะมีพื้นที่ทามและดินเอียด พอถึงช่วงน้ำลดก็จะเกิดการระเหยและเกิดเกลืออยู่ตามผิวดิน ชาวบ้านในพื้นที่ก็จะขูดเอาผิวดินที่เป็นเกลือมาต้มเกลือซึ่งเป็นอารยธรรมที่มีมานาน ซึ่งลักษณะการต้มเกลือจะพบเห็นในหลายพื้นที่ เช่น อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ อ.ราษีไศล จ.ศรีสะเกษ เป็นต้น
เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า พอมาถึงวันนี้ข้าวหอมมะลิทุ่งกุลานั้นเป็นข้าวที่ขึ้นชื่อของเมืองไทยและอาจเรียกว่าเป็นนครหลวงแห่งข้าวหอมมะลิโลกโดยเฉพาะสายพันธุ์ 105 และโดยความเป็นจริงสินค้าในทุ่งกุลาจะมีมากกว่านั้น ไม่ว่าจะเป็นผ้าไหมแถว อ.ปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด ส่วนเกลือเรายังพบเห็นในพื้นที่บ่อพันขัน อ.สุวรรณภูมิ จ.ร้อยเอ็ด ที่ว่ากันว่านี่คือทองคำขาวแห่งทุ่งกุลา
“ธรรมชาติมันมีวัฏจักร ความแห้งแล้งไม่ใช่ปัญหาของคนอีสาน แต่เป็นปัญหาของคนอยากแก้ปัญหาและรวมถึงสื่อเองก็เช่นกัน ซึ่งทุกส่วนล้วนเป็นคนนอกที่อยากจะทำนั่นทำนี่ และมองว่าทุ่งกุลาเป็นพื้นที่ที่มีความแห้งแล้ง เพราะที่นี่เป็นที่ราบสูง ซึ่งหน้าฝนจะมีน้ำฝนที่อุดมสมบูรณ์ และพอหน้าแล้งมันก็เป็นเรื่องปกติ แต่ในข่าวเราจะเห็นว่านักการเมืองพยายามให้ข่าวว่าหน้าแล้งวัวทุ่งกุลาขาดแคลนน้ำ ทำให้เกิดความน่าสงสาร แต่ในความเป็นจริงมันก็คือหน้าแล้ง และฤดูแล้งก็จะมีการผลิตอาหารอีกแบบหนึ่งที่เป็นเงื่อนไขทางธรรมชาติ ซึ่งทุกอย่างล้วนเป็นมุมมองของคนนอกทั้งหมด” อ.ไชยณรงค์ ให้ข้อมูลเพิ่มเติมที่พยายามอธิบายให้เห็นนิยามความแล้งแบบทุ่งกุลา ซึ่งก็คือความแล้งในฤดูกาลทั่วไปที่เป็นวัฏจักร
วัวทุ่งกุลา : ธนาคารเดินได้ไม่ต้องใช้รีโมทแต่ก็ควบคุมได้ดั่งใจ
จะมีที่ไหนบ้างในประเทศไทยที่ชาวบ้านจะต้องฝูงวัวเป็นร้อยๆตัว ถ้าใครก็ตามที่เข้าไปในพื้นที่ทุ่งกุลา เอาแค่ในเขตพื้นที่ อ.ปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด พอเราขับรถเข้าพื้นที่โดยเฉพาะในช่วงเช้าสายและช่วงบ่ายคล้อยที่เจ้าของรถจะต้องชะลอให้เจ้าที่ซึ่งครอบครองถนน ครั้นเราจะแสดงอาการหงุดหงิดแล้วบีบแตรไล่ก็ไม่ได้เพราะเขาคือเจ้าของพื้นที่ตัวจริง
“ปล่อยวัวจะอยู่ในช่วงสามโมงเช้าและวัวจะเข้าคอกตอนสี่โมงเย็น และในระหว่างวันช่วงที่วัวออกหากินหญ้า จะเป็นช่วงเวลาดีที่จะได้เก็บเห็ดและหาปลาตามหนอง เพราะวัวจะหาหญ้าและน้ำกินเอง เพราะหญ้าจะมีอยู่ทั่วไปและน้ำก็อยู่ในคลองซึ่งไม่ลำบาก เราแค่ปล่อยวัวออกไปมันก็หากินเอง เพราะพื้นที่แถบนี้เฉพาะในหมู่บ้านแม่ก็จะมีที่สาธารณะขนาดกว้างประมาณสามร้อยสี่ร้อยไร่ซึ่งจะเหมาะมากในการเลี้ยงวัว ดังนั้น การเลี้ยงวัวจึงเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่เป็นเหมือนธนาคารเก็บเงินนอกจากการทำนาที่เป็นอาชีพหลัก” แม่หนูเผียด เนื้อจันทรา ชาวบ้านนาดูน ต.โนนสวรรค์ อ.ปทุมรัตน์ จ.ร้อยเอ็ด ผู้เป็นเจ้าของวัวประมาณกว่า 80 ตัว เล่าให้ฟังถึงกิจวัตรประจำวันที่ทุกเช้าในช่วงปลายฝนจนเข้าสู่หน้าแล้ง ชาวบ้านแถบนี้จะต้องมีภารกิจหลักร่วมกันคือการเลี้ยงวัว
ลักษณะพิเศษของวัวหรือบางบ้านจะเลี้ยงควายด้วยก็คือการปล่อยให้วัวออกหากินเอง โดยในวัวหนึ่งฝูงอาจมีเจ้าของหลายคน และในทุกๆเช้าชาวบ้านจะต้อนวัวออกจากคอกเพื่อออกมาส่งวัว จากฝูงวัวคอกหนึ่งมารวมกับคอกอื่นๆกลายเป็นฝูงวัวขนาดใหญ่ที่อยู่เกาะกลุ่มกัน ที่สำคัญคือเจ้าของวัวหลายคนไม่ได้เดินตามวัวทั้งวัน แต่จะออกมาส่งเฉพาะช่วงสายๆแล้วก็กลับบ้านไปทำอย่างอื่น กระทั่งบ่ายแก่ๆเกือบเย็นย่ำจึงออกมารับวัวเข้าคอก ซึ่งวิธีการแบบนี้แหละที่ชาวบ้านเรียกว่าวัวที่นี่เหมือนมีรีโมทที่ไม่ต้องเดินตามทั้งวัน แค่ออกมาส่งในช่วงเช้าและรอดักในช่วงเย็นแค่นั้น
“มีวัวประมาณ 70 ตัว มีตัวผู้ 17 ตัว นอกนั้นจะเป็นตัวเมีย วิธีการคือเราจะขายตัวใหญ่ออก และตัวน้อยก็จะค่อยๆโตตามกันมา เฉลี่ยปีหนึ่งแม่จะมีวัวขายออกประมาณ 16 – 20 ตัว ส่วนราคาขายจะมีรายได้ประมาณปีละ 250,000 บาท เพราะถ้าไม่ขายเราจะเลี้ยงไม่ไหว” แม่หนูเผียดเปิดเผยตัวเลขรายได้แต่ละปีที่เกิดจากการขายวัว ซึ่งเงินส่วนนี้เป็นเฉพาะเงินขายวัวที่ยังไม่นับรวมกับรายได้ส่วนอื่นๆ ที่ทำให้แม่มีความอุ่นใจเกี่ยวกับความปลอดภัยทางการเงิน และไม่ต้องกังวลถึงการสแปมหรือเหล่าบรรดาแฮกเกอร์ในระบบธนาคารจะมาแอบเอาเงินในบัญชี เพราะดอกเบี้ยจากวัวคือการโตขึ้นทุกวันของวัวจากตัวเล็กสู่ตัวใหญ่ และนั่นคือผลกำไรที่เปรียบเสมือนธนาคารที่มีความมั่นคนคงอย่างมากกับอาชีพการเลี้ยงวัวในพื้นที่ทุ่งกุลา
สรุปความจากเรื่องที่กล่าวมาในเบื้องต้น ถือเป็นแค่น้ำจิ้มส่วนน้อยที่เราได้ประมวลภาพให้เห็นความเป็นมา และวาทกรรมทุ่งกุลาร้องไห้บัดนี้เราได้พิสูจน์ด้วยตัวเราแล้วว่ามันไม่ได้เป็นแบบนี้ทั้งหมดโดยสิ้นเชิง “แล้งก็คือแล้งมันเป็นหน้าแล้ง ส่วนหน้าฝนมันก็มีน้ำจากฟ้าเพราะมันคือหน้าฝน” ประโยคนี้เรามักได้ยินบ่อยมากทั้งจากคนที่เป็นชาวบ้านในพื้นที่และผู้ที่เข้ามาแวะเวียน รวมถึงนักพัฒนาหรือนักวิชาการและสื่อมวลชนที่เข้าถึงความเป็นชุมชนในพื้นที่แห่งนี้อย่างลึกซึ้ง และเราเองก็เป็นอีกหนึ่งเสียงที่สะท้อนออกมาจากใจจริงว่าทุ่งกุลาไม่ได้แห้งแล้ง จึงเป็นที่มาของคำว่าทุ่งกลาไม่เคยร้องไห้ หรือ “ทุ่งกุลา Never Cry” ส่วนคุณผู้อ่านท่านใดที่อยากเข้ามาสัมผัสเรื่องราวเหล่านี้อย่างลึกซึ้งซึ่งมีอีกมากมาย ชาวบ้านทุ่งกุลาก็ยินดีต้อนรับในทุกเมื่อ พวกเขารออยู่ ณ หมู่บ้านเพื่อยืนยันในสิทธิ์ของตนเองและอยากบอกด้วยตัวเองที่ไม่ใช่จะมีใครที่ไหนมาพูดแทน