11 ส.ค. 2559 เวลา 11.00 น. ที่ห้องประชุมโครงการปริญญาเอก คณะสังคมวิทยาและมานุษยวิทยา เครือข่าย 96 องค์กรใส่ใจประชามติรัฐธรรมนูญกำหนดอนาคตประชาชน นำโดยเครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง จัดแถลงข่าวต่อผลประชามติเมื่อวันที่ 7 ส.ค. ที่ผ่าน รายละเอียดแถลงการณ์มี ดังนี้
แถลงการณ์เครือข่าย 96 องค์กรใส่ใจประชามติรัฐธรรมนูญกำหนดอนาคตประชาชน ภายหลังการลงประชามติร่างรัฐธรรมนูญ 7 สิงหาคม 2559 ผลการออกเสียงประชามติเบื้องต้นมีผู้เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญร้อยละ 61.40 และคำถามพ่วงร้อยละ 58.11 แต่ก็มีผู้ไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญถึงร้อยละ 38.60 และไม่เห็นชอบคำถามพ่วงร้อยละ 41.89 อีกทั้งยังมีผู้มีสิทธิที่ไม่ประสงค์ออกเสียงอีกถึงร้อยละ 45.39 ซึ่งแม้ผลดังกล่าวจะส่งผลให้ร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้ผ่านตามความประสงค์ของคณะรักษาความสงบแห่งชาติ (คสช.) และคณะกรรมาธิการร่างรัฐธรรมนูญ (กรธ.) ทว่านอกจากหลักการประชาธิปไตยซึ่งต้องฟังเสียงจากทุกฝ่าย ผลประชามติดังกล่าวไม่อาจนับเป็นฉันทานุมัติหรือ “ใบอนุญาต” ให้ คสช. ดำเนินการตามอำเภอใจโดยไม่ฟังเสียงฝ่ายใดได้ ด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้ 1. การออกเสียงประชามติไม่ได้เกิดขึ้นอย่างเป็นอิสระและเป็นธรรม คณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) เผยแพร่ร่างรัฐธรรมนูญไม่ทั่วถึง ประชาชนจำนวนมากไม่มีโอกาสรับรู้ร่างรัฐธรรมนูญทั้งฉบับ การรณรงค์เผยแพร่ข้อมูลข่าวสารที่ดำเนินการผ่านกลไกและเจ้าหน้าที่รัฐเป็นหลักเลือกประชาสัมพันธ์เฉพาะด้านดี อีกทั้งด้านดีบางข้อในเอกสารสรุปยังประชาสัมพันธ์เกินไปกว่าที่เขียนไว้จริงในร่างรัฐธรรมนูญ ขณะที่ฝ่ายเห็นต่างกลับถูกปิดกั้น ข่มขู่คุกคาม จับกุมคุมขัง และดำเนินคดี เป็นเหตุให้ประชาชนไม่มีโอกาสได้รับรู้ข้อมูลและความเห็นเกี่ยวกับร่างรัฐธรรมนูญที่รอบด้านเพียงพอในการตัดสินใจออกเสียง 2. เหตุผลของการเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญมีความหลากหลาย การที่ คสช. และ กรธ. แจ้งขั้นตอนข้างหน้าแต่เฉพาะกรณีร่างรัฐธรรมนูญผ่าน ส่งผลให้ประชาชนจำนวนมากเกิดความวิตกกังวลว่าหากร่างรัฐธรรมนูญไม่ผ่านจะเป็นอย่างไร จึงอาจตัดสินใจเห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญไปก่อน และการที่ คสช. และ กรธ. ปิดกั้นฝ่ายเห็นต่างที่พยายามชี้ให้เห็นสิ่งที่ซ่อนเร้นอยู่ในร่างรัฐธรรมนูญก็ยิ่งส่งผลให้ประชาชนตัดสินใจรับร่างรัฐธรรมนูญได้โดยง่ายโดยเฉพาะในกลุ่มที่ต้องการไปให้พ้นจากสภาวการณ์ปัจจุบันหรือการบริหารประเทศโดยรัฐบาลทหารหรือ คสช. นอกจากนี้ หากพิจารณาในเชิงภาพรวมของผู้มีสิทธิออกเสียงทั้งหมด ผู้เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญมีสัดส่วนเพียงร้อยละ 30 คสช. จึงไม่สามารถอาศัยผลนี้เป็นข้ออ้างในการตัดสินใจดำเนินการใดโดยไม่ฟังเสียงประชาชนส่วนที่เหลือเหล่านี้ได้ 3. การที่มีผู้ออกเสียงไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญร้อยละ 38.60 แสดงให้เห็นว่ายังคงมีประชาชนที่เห็นต่างต่ออนาคตสังคมไทยผ่านร่างรัฐธรรมนูญอยู่เป็นจำนวนมาก ซึ่ง คสช. และ กรธ. ไม่สามารถเพิกเฉยหรือละเลยเสียงเหล่านี้ได้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งข้อโต้แย้งและวิพากษ์วิจารณ์ที่ฝ่ายเห็นต่างหยิบยกขึ้นมายังไม่ได้รับการชี้แจงจาก คสช. กรธ. รวมถึงหน่วยงานที่เกี่ยวข้องอย่างหนักแน่นชัดเจนพอ คสช. จึงไม่สามารถอาศัยผลการออกเสียงประชามติเป็นข้ออ้างในการปฏิเสธที่จะตอบคำถามและข้อวิพากษ์วิจารณ์เหล่านี้ รวมถึงสั่งห้ามการเคลื่อนไหวของฝ่ายเห็นต่างแม้ร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านความเห็นชอบแล้วก็ตาม เพราะเหตุนี้ เครือข่าย 96 องค์กรใส่ใจประชามติรัฐธรรมนูญกำหนดอนาคตประชาชน ที่ติดตามการออกเสียงประชามติร่างรัฐธรรมนูญมาอย่างต่อเนื่องจึงมีข้อเรียกร้องไปยัง คสช. ดังนี้ 1. คืนชีวิตการเมืองปกติให้กับสังคมไทยด้วยการยุติการปิดกั้นสิทธิเสรีภาพของประชาชนในการแสดงความคิดเห็นเกี่ยวกับรัฐธรรมนูญและการเมืองหยุดการใช้อำนาจพิเศษกฎหมายพิเศษและศาลทหารกับประชาชน 2. เปิดพื้นที่ให้ประชาชนทุกฝ่ายทั้งที่เห็นชอบและไม่เห็นชอบร่างรัฐธรรมนูญตลอดจนประชาชนและชุมชนซึ่งได้รับผลกระทบหรือจะได้รับผลกระทบจากการดำเนินนโยบายยุทธศาสตร์และโครงการของรัฐต่างๆได้แสดงความคิดเห็นและข้อเสนอในการแก้ไขปัญหาร่วมกันบนพื้นฐานสิทธิมนุษยชนที่ได้รับการรับรองและคุ้มครองโดยรัฐธรรมนูญและข้อตกลงระหว่างประเทศที่ไทยเป็นภาคี 3. ยุติการจับกุมคุมขังและดำเนินคดีประชาชนที่รณรงค์ประชามติและแสดงความเห็นแย้งร่างรัฐธรรมนูญและปล่อยตัวผู้ที่ถูกคุมขังก่อนหน้านี้โดยทันทีอย่างไม่มีเงื่อนไขการแสดงออกดังกล่าวเป็นสิทธิของพลเมืองในระบอบประชาธิปไตยไม่ผิดกฎหมาย 4. ให้มีการเลือกตั้งโดยเร็วที่สุด ประกาศกำหนดระยะเวลาในแต่ละขั้นตอนเพื่อเปลี่ยนผ่านไปสู่กระบวนการประชาธิปไตย ให้ประชาชนได้รับทราบโดยทั่วกัน 5. ยกเลิกการใช้อำนาจพิเศษตามมาตรา 44 กลับมาใช้กลไกตามกฎหมายปกติ และให้มีการตั้งคณะกรรมการพิจารณาทบทวนยกเลิกประกาศและคำสั่งของคสช.ที่ละเมิดสิทธิประชาชนโดยเร็ว เครือข่าย 96 องค์กรใส่ใจประชามติรัฐธรรมนูญกำหนดอนาคตประชาชน เห็นว่ารัฐธรรมนูญฉบับนี้มีปัญหาตั้งแต่ต้น โดยมีการนำเสนอข้อกังวลต่อร่างรัฐธรรมนูญฉบับนี้สู่สาธารณะไว้เมื่อวันที่ 24 กรกฎาคม 2559 และแม้ว่าร่างรัฐธรรมนูญจะผ่านการออกเสียงประชามติ แต่เครือข่ายฯ จะเฝ้าติดตามการแก้ไขรัฐธรรมนูญ ยุทธศาสตร์ชาติ กฎหมายประกอบรัฐธรรมนูญ รวมถึงการปฏิรูปตามที่รัฐธรรมนูญฉบับนี้ได้กำหนดไว้อย่างใกล้ชิด และยืนยันว่าสิทธิ เสรีภาพ และการมีส่วนร่วมของประชาชนต้องเป็นองค์ประกอบหลักของรัฐธรรมนูญ
ด้วยความเคารพต่อสิทธิ เสรีภาพ และความเสมอภาคของประชาชน 1. เครือข่ายนักวิชาการเพื่อสิทธิพลเมือง |