ติดตามความเคลื่อนไหวเฟสบุ๊ก: Khon-Kool-Klong
เมื่อวันที่ 31 สิงหาคมที่ผ่านมา กรุงเทพมหานคร (กทม.) เร่งเดินหน้ารื้อชุมชนสายคลองลาดพร้าว โดยให้เหตุผลว่า จะมีการก่อสร้างเขื่อนคอนกรีตเสริมเหล็ก (ค.ส.ล.) และประตูระบายน้ำ คลองลาดพร้าว คลองบางบัว คลองถนน คลองสอง และคลองบางซื่อ จากบริเวณเขื่อนเดิมอุโมงค์ยักษ์พระรามเก้า-รามคำแหงไปทางประตูระบายน้ำคลอง สองสายใต้ วงเงินงบประมาณ 2,426 ล้านบาท งบประมาณ 4 ปี คือปี 2558-2561 คาดว่าจะลงนามสัญญาจ้างในวันที่ 30 กันยายน 2558 ระยะเวลาก่อสร้าง 42 เดือน
นโยบายดังกล่าว มีจุดเริ่มต้นมาจากแผนการจัดการน้ำระดับชาติเพื่อแก้ปัญหาน้ำท่วม ผลพวงจากเหตุการณ์น้ำท่วมใหญ่ปี 2554 นายกรัฐมนตรี พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา เป็นผู้สั่งดำเนินการโดยตั้งเป็นคณะกรรมการอำนวยการในการแก้ปัญหาชุมชนริมคูคลองนี้ขึ้นมา มีรองนายกรัฐมนตรีคนที่ 1 เป็นประธาน และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงมหาดไทย กระทรวงกลาโหม และกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ เป็นรองประธานทั้ง 3 คน
มีเลขาการ คสช. มาเป็นเลขานุการกรรมการ โดยแบ่งย่อยการทำงานออกมาเป็น 3 อนุกรรมการ คือ คณะอนุกรรมการการโยกย้ายประชาชน คณะอนุกรรมการการพัฒนาและจัดที่อยู่อาศัย และคณะอนุกรรมการด้านประชาสัมพันธ์
อย่างไรก็ตาม นโยบายดังกล่าวตั้งอยู่บนข้อมสมมติฐานที่ว่าหนึ่งในสาเหตุของน้ำท่วม กทม.คือ ขนาดคลองยังกว้างไม่พอต่อการระบายน้ำ อีกทั้งยังมีบ้านเรือนจำนวนราว 23,500 หลังคาเรือน สร้างรุกล้ำพื้นที่คลอง ทางแก้ปัญหาคือ ขยายขนาดคลองให้กว้างขึ้นจากเดิม เป็น 38 เมตร เป็นระยะทาง 128.37 กิโลเมตร ซึ่งปัจจุบันมีประชาชนอาศัยอยู่แนวริมคลองทั้ง 9 สาย ราว 12,037 ครัวเรือน เป็นจำนวนประชากรทั้งสิ้น 68,087 คน จำเป็นต้องย้ายออกจากพื้นที่อยู่อาศัยเดิม
ผศ.ดร.วิจิตรบุษบา มารมย์ อาจารย์จากภาควิชาการผังเมือง คณะสถาปัตยกรรมศาสตร์และการผังเมือง มหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ กล่าวถึง การจัดการปัญหาน้ำท่วมอง กทม. ที่ไล่รื้อชุมชนริมคลองว่า ยังไม่ใช่การแก้ปัญหาที่ครบทุกมิติ เนื่องจากปัญหาน้ำท่วม กทม.ครั้งที่ผ่านมานั้น เกิดจากน้ำที่ไหลมาจากทางเหนือบวกกับปัจจัยจากน้ำทะเลหนุน ส่งผลต่อประสิทธิภาพการระบายน้ำ ซึ่งที่ผ่านมาไม่เคยถูกรวมเข้าไปในปัญหาเรื่องน้ำท่วม ขณะที่ปัญหาการรุกล้ำริมคลองเป็นเพียงปัจจัยเสี้ยวเดียว
“ปัญหาการรุกล้ำทำให้การระบายน้ำมีปัญหาเป็นแค่ความจริงเสี้ยวเดียว ต้องมองปัญหาน้ำท่วมกรุงเทพให้ครบทุกมิติ น้ำที่่กรุงเทพฯ เสี่ยงอยู่มี 3 น้ำ คือน้ำที่ไหลมาจากทางเหนือตอนน้ำท่วมปี 2554 เป็นน้ำท่ากับน้ำทุ่ง สองคือน้ำฝน น้ำท่วม 2554 ฝนไม่ได้ตกในกรุงเทพฯ เลย และสามที่สำคัญและหายไปจากแนวคิดเรื่องน้ำท่วมคือน้ำทะเลหนุน สมมติว่ามีน้ำทะเลหนุนในช่วงฝนตกหนักประสิทธิภาพการระบายน้ำลงทะเลจะลดลงไปครึ่งหนึ่ง” ผศ.ดร.วิจิตรบุษบา กล่าว