หลังจากต้องหยุดมา 2 ปีจากสถานการณ์โควิดที่แพร่ระบาดในพื้นที่ เมื่อวันที่ 13-14 พฤษภาคมที่ผ่านมา เครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน ได้กลับมาร่วมจัดงานบุญบั้งไฟอีกครั้งที่ ต.ไชยบุรี อ.ท่าอุเทน จ.นครพนม ซึ่งจัดขึ้นในช่วงก่อนงานบุญวิสาขบูชาเป็นประจำทุกปี ครั้งนี้เป็นครั้งแรกที่ได้จัดงานแต่ดำเนินไปภายใต้มาตรการป้องกันโรคระบาด เช่น การจำกัดจำนวนผู้ร่วมงานไม่เกิน 500 คน จำกัดจำนวนผู้ร่วมขบวนแห่ซึ่งมีทั้งหมด 19 ขบวนจากทุกหมู่บ้านรวมทั้งหน่วยงานและโรงเรียนในพื้นที่
การจัดงานเริ่มต้นด้วยการอัญเชิญพระอุปคุตขึ้นจากแม่น้ำโขงซึ่งเป็นความเชื่อว่าท่านจะคุ้มครองและดูแลลูกหลานให้การจัดงานประเพณีครั้งนี้ให้สำเร็จปลอดภัยลุล่วงไปด้วยดี หลังจากอัญเชิญท่านร่วมขบวนแห่ก็จะนำไปวางที่แท่นประทับภายในบริเวณวัดไตรภูมิซึ่งเป็นวัดคู่บ้านคู่เมืองไชยบุรีโดยมีหลวงพ่อพระใหญ่เป็นสิ่งศักดิ์สิทธิที่อยู่คู่ชุมชนมานานราว 214 ปี ตามประวัติการสร้างวัด วัดแห่งนี้ถูกสร้างขึ้นในปี พ.ศ. 2351 คู่กับชุมชนที่มีกลุ่มชาติพันธ์ไทยญ้อเป็นส่วนใหญ่ จนภายหลังมีเผ่าลาว และชาวเวียตอพยพมาอยู่ร่วมกันจนถึงรุ่นลูกหลาน สืบต่อกันมาสร้างประเพณีและวิถีชีวิตของชุมชนเรื่อยมา นอกจากหลวงพ่อพระใหญ่แล้วที่นี่ยังมีศาลหลวงปู่ 3 องค์ให้ชาวบ้านได้เคารพบูชา คือ หลวงปู่โต่ง หลวงปู่เฒ่า และหลวงปู่เสน โดยชาวบ้านจะนิยมมาขอพรบนบาลหรือแก้บนต่างๆ พร้อมทั้งจุดบั้งไฟถวาย
“วันนี้ได้ชวนพี่น้องลุ่มน้ำโขงมาร่วมพิธีเพื่อขอพรและบนบานศาลกล่าวและกราบไหว้หลวงพ่อพระใหญ่ รวมทั้งหลวงปู่ทั้ง 3 ถือเป็นการมาเสริมกำลังใจหลังจากร่วมต่อสู้กันมานานนับ 10 ปี จนล่าสุดคือการเดินทางไปแถลงปิดคดีที่ศาลปกครอง ซึ่งพี่น้องชาวบ้านได้ร่วมกันยื่นฟ้องหน่วยงานรัฐที่มีส่วนเกี่ยวข้องในปัญหาแม่น้ำโขงจากการสร้างเขื่อน ที่ผ่านมาได้พยายามเก็บข้อมูลผลกระทบต่างๆในพื้นที่เพื่อใช้เป็นหลักฐานเรียกร้องความเป็นธรรม วันนี้จึงมาขอพึ่งพาสิ่งศักดิ์สิทธิ์แห่งนี้ ให้ท่านเห็นใจลูกหลาน ช่วยดลบันดาลใจผู้มีส่วนเกี่ยวข้องให้เข้ามาร่วมแก้ปัญหา และให้ผลตัดสินคดีเป็นไปในทิศทางที่ดีต่อพี่น้องลุ่มน้ำโขง อย่าให้สถานการณ์เลวร้ายไปกว่านี้”
อำนาจ ไตรจักร ประธานเครือข่ายสภาองค์กรชุมชนลุ่มน้ำโขง 7 จังหวัดภาคอีสาน ได้พูดถึงกิจกรรมที่จัดขึ้น เนื่องจากครั้งนี้ไม่ได้จัดขึ้นเพื่อประเพณีเพียงอย่างเดียว แต่ยังเป็นการย้ำว่าพวกเขายังคงยันหยัดและเสริมกำลังใจให้เครือข่ายริมน้ำโขง
“วันนี้รู้สึกอัดอั้นตันใจ ไม่มีที่พึ่ง จึงได้มาขอพรขอกำลังใจจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไชยบุรีแห่งนี้ หลังจากไหว้บูชาหลวงปู่ทั้ง 3 ศาล จึงได้มีการลอยพานบายศรีพญานาคลงแม่น้ำทั้ง 2 สายคือแม่น้ำโขงและแม่น้ำสงครามพร้อมกัน”
ส่วน สุนทร สุขคะนนท์ หรือสารวัตรหมู เลขานุการสมาคมพิทักษ์ลุ่มน้ำสงครามตอนล่าง ที่มาร่วมงานในครั้งนี้ กล่าวเสริมว่า ถึงสายน้ำจะเปลี่ยนไปอย่างไรหรือแม้แต่สถานการณ์โรคระบาดจะเข้ามา ความเชื่อและความศรัทธาของชาวชุมชนยังเหมือนเดิม ดังเห็นได้จากผู้มาร่วมงานในครั้งนี้ ลูกหลานส่วนหนึ่งได้เดินทางกลับมาจากต่างพื้นที่เพื่อร่วมประเพณี หลังจากต้องอพยพไปหางานทำที่อื่นเพราะอาชีพในพื้นที่ทางด้านเกษตรและประมงมีผลกระทบจากปัญหาความผันผวนของแม่น้ำหลังจากมีเขื่อนถูกสร้างขึ้นทั้งในจีนและลาว งานประเพณีบุญบั้งไฟในเดือนหกจึงยังครึกครื้นเหมือนเดิม
“ยังเชื่อว่าการที่แม่น้ำสงครามตอนล่างได้ถูกประกาศเป็นพื้นที่แรมซาร์ไซต์ นั่นอาจเป็นเพราะบารมีสิ่งศักดิ์สิทธิ์ในพื้นที่ช่วยดลบันดาลให้มีหน่วยงานหลายแห่ง เช่น wwf มาช่วยเหลือในเรื่องการพัฒนาผสักยภาพเครือข่าย และเขื่อนตอนล่างก็มีแนวโน้มที่จะถูกยกเลิกไป อันนี้เชื่อว่าเป็นพลังของความเชื่อความศรัทธาที่ส่งผลดีให้กับชาวชุมชนเสมอมา”