ภาษีผ้าอนามัยมีไว้ทำไม? รู้ไหมค่าแรง 1 ชั่วโมงของคนไทย ซื้อได้กี่ชิ้น

ภาษีผ้าอนามัยมีไว้ทำไม? รู้ไหมค่าแรง 1 ชั่วโมงของคนไทย ซื้อได้กี่ชิ้น

  • ฮังการีเป็นประเทศที่มีการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยสูงที่สุดในโลก โดยอยู่ที่ 27% 
  • เอธิโอเปียลดอัตราการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยลงเหลือเพียง 10% จาก 15% แต่ผู้หญิงในเอธิโอเปียทำงาน 1 ชั่วโมงก็ยังไม่สามารถซื้อผ้าอนามัยได้แม้แต่แผ่นเดียว
  • ฟินแลนด์เก็บภาษีจากผ้าอนามัยสูงถึง 24% แต่ฟินแลนด์มีค่าแรงขั้นต่ำชั่วโมงละ 517 บาท จึงสามารถซื้อผ้าอนามัยในราคาที่ถูกที่สุดในประเทศได้ถึง 500 ชิ้น
  • เคนยาเป็นประเทศแรกที่ยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัย ตั้งแต่ปี 2004
  • ประเทศที่ยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยล่าสุดในปี 2022 คือ นามิเบียและเม็กซิโก

เคยลองคำนวณดูไหมว่าที่ผ่านมา ใช้ผ้าอนามัยไปแล้วกี่ชิ้น เสียเงินไปแล้วกี่บาท ผ้าอนามัยถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิง ในขณะเดียวกันมันก็กลายมาเป็นภาระรายจ่ายประจำเดือนที่ผู้หญิงต้องแบกรับ

แล้วจะจัดการเรื่องนี้อย่างไร ควรยกเลิกการเก็บภาษีผ้าอนามัย? ควรขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ? ควรจัดให้ผ้าอนามัยเป็นสวัสดิการฟรี? 

Rocket Media Lab  ซึ่งทำงานด้านข้อมูลเพื่อสื่อสารมวลชน ชวนมาดูข้อมูลว่าประเทศไหนเก็บภาษีจากผ้าอนามัยในอัตราเท่าไรบ้าง มีประเทศไหนที่ยกเลิกภาษีที่เก็บจากผ้าอนามัยไปแล้ว และผู้หญิงในแต่ละประเทศต้องทำงานเท่าไร ถึงจะซื้อผ้าอนามัยได้ 1 ชิ้น 

ภาษีผ้าอนามัยคืออะไร เก็บเท่าไร ทำไมถึงไม่เท่ากัน 

เราคงเคยได้ยินคำว่าภาษีผ้าอนามัย (Tampon Tax) หรือ “Pink Tax” ภาษีสีชมพู ซึ่งเป็นคําที่ใช้เรียกเชิงเสียดสีภาษีที่เก็บจากสินค้าที่ผลิตมาเพื่อผู้หญิง ที่จริงแล้ว ผ้าอนามัยถือเป็นสินค้าอย่างหนึ่งที่ในแต่ละประเทศจะจัดอยู่ในหมวดสินค้าใดสินค้าหนึ่ง ซึ่งแต่ละหมวดหมู่ของประเภทสินค้าก็จะมีการจัดเก็บภาษีแตกต่างกันไป 

ในแต่ละประเทศกำหนดให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าในหมวดหมู่ที่แตกต่างกัน ซึ่งทำให้มีการเก็บภาษีที่แตกต่างกันด้วย มีทั้งประเทศที่จัดให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าในหมวดหมู่สิ่งจําเป็นพื้นฐาน โดยจะได้รับการยกเว้นภาษี ประเทศที่จัดให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าในหมวดหมู่สินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ซึ่งมีการคิดภาษีตามอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มมาตรฐานในประเทศนั้นๆ หรือถูกจัดให้เป็นสินค้าในหมวดหมู่อื่นๆ เช่น เวชภัณฑ์ อุปกรณ์ทางการแพทย์ สินค้าประเภทสุขอนามัย ไปจนถึงสินค้าฟุ่มเฟือย

Rocket Media Lab สำรวจภาษีที่เกี่ยวกับผ้าอนามัยใน 69 ประเทศ พบว่า มีหลายประเทศที่จัดให้ผ้าอนามัยเป็นสินค้าในหมวดหมู่สิ่งจําเป็นพื้นฐาน ที่ทำให้ได้รับการยกเว้นภาษี เช่น เคนยา ซึ่งเป็นประเทศแรกที่ยกเลิกภาษีจากผ้าอนามัยในปี 2004 ก่อนหน้านั้นเคนยาเก็บภาษีจากผ้าอนามัยในอัตราเดียวกับภาษีมูลค่าเพิ่มทั่วไปที่ 16% เช่นเดียวกันกับอินเดียและรวันดา โดยอินเดียยกเลิกภาษีจากผ้าอนามัยในปี 2018 และรวันดายกเลิกภาษีจากผ้าอนามัยในปี 2019 รวมไปถึงแคนาดา โคลอมเบีย มาเลเซีย ออสเตรเลีย ฯลฯ และประเทศที่ยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยล่าสุดในปี 2022 คือ นามิเบียและเม็กซิโก

สำหรับประเทศที่เก็บภาษีจากผ้าอนามัยในอัตราเท่ากับภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป เช่น  ฮังการี 27% ซึ่งเป็นประเทศที่มีการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยสูงที่สุดในโลก โครเอเชีย 25% ฟินแลนด์ 24% อาร์เจนตินา 21% อัลแบเนีย 20% บัลแกเรีย 20% ตุรกี 18% จีน 13% หรือประเทศไทยที่ 7%

สำหรับประเทศที่มีการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยในอัตราที่ต่ำกว่าภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไป ได้แก่ เบลเยียม ซึ่งเก็บภาษีจากผ้าอนามัยในอัตรา 6% ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปคือ 21% เยอรมนี เก็บภาษีจากผ้าอนามัยในอัตรา 7% ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปคือ 19% เวียดนาม เก็บภาษีจากผ้าอนามัยในอัตรา 5% ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปคือ 10% ไซปรัส เก็บภาษีจากผ้าอนามัยในอัตรา 5% ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปคือ 19% เอธิโอเปีย เก็บภาษีจากผ้าอนามัยในอัตรา 10% ในขณะที่ภาษีมูลค่าเพิ่มของสินค้าอุปโภคบริโภคทั่วไปคือ 15%

ทำไมต้องยกเลิกภาษีจากผ้าอนามัย ประเทศไหนประสบความสำเร็จบ้าง

ผ้าอนามัยถือเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้หญิง ในขณะเดียวกันมันก็กลายมาเป็นภาระรายจ่ายประจำเดือนที่ผู้หญิงต้องแบกรับ โดย Huffington Post รายงานว่าทั้งชีวิตของผู้หญิงคนหนึ่งมีรอบประจำเดือนประมาณ 358 รอบ ใช้ผ้าอนามัยทั้งหมด 9,120 ชิ้น คิดเป็นเงิน 1,173 ดอลลาร์สหรัฐ หรือประมาณ 58,271 บาท ด้วยเหตุนี้จึงมีการรณรงค์เรียกร้องให้รัฐยกเลิกหรือลดภาษีที่เก็บจากผ้าอนามัย เพื่อช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายของผู้หญิง 

ออสเตรเลียเคยเก็บภาษีจากผลิตภัณฑ์สุขอนามัยของผู้หญิงที่ 10% เท่ากับอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสินค้า และเมื่อวันที่ 1 มกราคม 2019 ที่ผ่านมา รัฐบาลออสเตรเลียประกาศยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยทั้งแบบสอดและแบบแผ่น อันเป็นผลจากการรณรงค์เพื่อให้ยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยในออสเตรเลียต่อเนื่องและยาวนานถึง 18 ปี ตลอดระยะเวลาที่เคลื่อนไหว ชาวออสเตรเลียมีแคมเปญออกมามากมาย เช่นในปี 2015 นักเคลื่อนไหวชาวออสเตรเลีย ได้สร้างคลิปวิดีโอขึ้นเพื่อรณรงค์ให้งดเว้นภาษีในผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับประจำเดือน วิดีโอขาวดำเป็นการล้อเลียนเพลงแร็พสุดคลาสสิกของ Snoop Dogg เรื่อง “Drop it like it’s hot” มียอดเข้าชมกว่า 90,000 วิว

หรือในอินเดียซึ่งมีการยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยในปี 2018 อันเป็นผลมาจากภาพยนตร์เรื่อง Pad Man บอกเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับชายคนหนึ่งซึ่งได้รู้ว่าภรรยาตนเองต้องใช้ผ้าขี้ริ้วแทนผ้าอนามัย เนื่องด้วยผ้าอนามัยมีราคาแพง เขาจึงคิดค้นผ้าอนามัยราคาถูกขึ้นมาเพื่อช่วยให้ภรรยาตนเองและผู้หญิงคนอื่นๆ สามารถเข้าถึงผ้าอนามัยราคาถูกได้ หลังจากภาพยนตร์ออกฉายก็เกิดเป็นกระแสและนักแสดงนำอย่าง อักษัย กุมาร (Akshay Kumar) ก็ได้รณรงค์ต่อจนเกิดการเปลี่ยนแปลงยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยในที่สุด 

จากการสํารวจ ปี 2015 – 16 สุขภาพครอบครัวแห่งชาติของอินเดียพบว่ามากกว่า 40% ของผู้หญิงอินเดียอายุ 15 ถึง 24 ปีไม่สามารถเข้าถึงผลิตภัณฑ์สุขอนามัยได้ นอกจากนี้สถิติของกระทรวงสาธารณสุขอินเดียยังชี้ว่า 70% ของผู้หญิงอินเดียติดเชื้อในระดับที่แตกต่างกัน เนื่องจากการขาดผลิตภัณฑ์สุขอนามัยประจําเดือนที่ดี 

ที่โคลอมเบีย ในปี 2016 นักการเมืองชูประเด็นเรื่องให้ยกเว้นภาษีมูลค่าเพิ่มในผ้าอนามัย แต่รัฐสภาปฏิเสธ โดยตกลงที่จะลดจาก 16% เป็น 5% จนกระทั่งวันที่ 14 พฤศจิกายน 2018 ศาลรัฐธรรมนูญมีมติเป็นเอกฉันท์ให้ยกเลิกภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) สำหรับผ้าอนามัยแบบสอดและแบบแผ่น เพื่อความเท่าเทียมทางเพศ โดยระบุในคำวินิจฉัยว่า การมีภาษีมูลค่าเพิ่มในผ้าอนามัย และผ้าอนามัยแบบสอดเป็นการละเมิดรัฐธรรมนูญของโคลอมเบียที่ระบุว่าเพศชายและหญิงเท่าเทียมกันทุกประการ การเรียกเก็บนั้นถือเป็นการเลือกปฏิบัติต่อผู้หญิง 

แต่ก็มีอีกหลายประเทศที่มีการรณรงค์ให้ยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัย แม้จะไม่ประสบความสำเร็จขนาดถึงกับยกเลิกการเก็บภาษี แต่ก็ทำให้เกิดการลดอัตราภาษีที่เก็บจากผ้าอนามัย ทำให้ราคาของผ้าอนามัยนั้นถูกลง เช่น เยอรมนี ซึ่งเกิดจากการรณรงค์ของ Nanna-Josephine Roloff และ Yasemin Kotra ในปี 2018 โดยมีการลงชื่อเรียกร้องให้รัฐบาลลดภาษีที่เก็บจากผ้าอนามัย ซึ่งมีประชาชนร่วมลงชื่อกว่า 180,000 รายชื่อ ต่อมาแคมเปญนี้ประสบความสำเร็จในปี 2020 ทำให้เยอรมนีลดการเก็บภาษีจากผ้าอนามัย จากเดิม 17% เหลือเพียง 9%

หรือในประเทศฝรั่งเศสซึ่งมีการรณรงค์จากภาคประชาชน ด้วยแฮชแท็ก #laissermoisaigner จนทำให้เกิดการโหวตในรัฐสภาในปี 2015 ซึ่งเสียงส่วนใหญ่เห็นด้วยที่จะลดอัตราการเก็บภาษีจากผ้าอนามัย ทำให้ประเทศฝรั่งเศสประกาศลดการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยในปีเดียวกัน จากเดิม 20% เหลือเพียง  5.5%

นอกจากนี้ยังพบว่ายังมีประเทศอื่นๆ อีก ที่มีการปรับลดการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยซึ่งเกิดจากกระแสความเคลื่อนไหวทั่วโลกและในประเทศ เช่น เบลเยียม ที่เคยเก็บในอัตรา 21% แต่ปัจจุบันลดเหลือ 6% เท่ากับภาษีที่เรียกเก็บจากอาหารและหนังสือ หรือในเวียดนาม ที่ลดจาก 10% เหลือเพียง 5% ในปี 2018 

การยกเลิกภาษีจากผ้าอนามัย อาจไม่ใช่หนทางเดียวที่ทำให้ผู้หญิงเข้าถึงผ้าอนามัยได้

แม้ทั่วโลกจะมีการรณรงค์ยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยเพื่อให้ผู้หญิงสามารถเข้าถึงผ้าอนามัยในราคาที่ถูกลง อันเป็นการลดภาระค่าใช้จ่ายที่ผู้หญิงต้องแบกรับ แต่ก็ใช่ว่าเมื่อมีการการยกเลิกหรือลดภาษีที่เก็บจากผ้าอนามัยแล้วผู้หญิงจะสามารถเข้าถึงผ้าอนามัยได้ดีขึ้น

จากข้อมูลของ Rocket Media Lab จะพบว่า ในประเทศยากจนที่มีค่าแรงขั้นต่ำน้อยมากเช่น รวันดา แม้จะมีการยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยแล้ว แต่เมื่อพิจารณาค่าแรงขั้นต่ำและราคาผ้าอนามัยในแบบที่ถูกที่สุดในประเทศ ก็จะพบว่า รวันดามีค่าแรงขั้นต่ำอยู่ที่ชั่วโมงละ 2.01 บาท ในขณะที่ราคาผ้าอนามัยที่ถูกที่สุดในประเทศ 1 แผ่น อยู่ที่ 108.25 RWF หรือ 3.47 บาท เท่ากับว่าผู้หญิงในรวันดาทำงาน 1 ชั่วโมงยังไม่สามารถซื้อผ้าอนามัย 1 ชิ้นได้เลย

หรือในประเทศยากจนอื่นๆ ที่มีการยกเลิกหรือลดอัตราการเก็บภาษีจากผ้าอนามัย เช่น เอธิโอเปีย ที่ลดอัตราการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยลงเหลือเพียง 10% จาก 15% แต่ผู้หญิงในเอธิโอเปียทำงาน 1 ชั่วโมงก็ยังไม่สามารถซื้อผ้าอนามัยได้แม้แต่แผ่นเดียว

กลับกัน ในประเทศที่แม้จะมีการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยในอัตราที่สูง (เท่ากับภาษีสินค้าทั่วไป) แต่ค่าแรงขั้นต่ำในประเทศนั้นสูงมาก ก็ทำให้ผู้หญิงสามารถเข้าถึงผ้าอนามัยได้ง่ายกว่า เช่น ฟินแลนด์ ซึ่งมีการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยสูงถึง 24% แต่ฟินแลนด์มีค่าแรงขั้นต่ำชั่วโมงละ 517 บาท จึงสามารถซื้อผ้าอนามัยในราคาที่ถูกที่สุดในประเทศ (0.94 บาท) ได้ถึง 500 แผ่นจากการทำงานแค่ชั่วโมงเดียว

นอกจากนั้น ยังพบว่าแม้อัตราภาษีของผ้าอนามัยจะไม่สูงหรือค่าแรงขั้นต่ำจะไม่ถึงกับน้อยมาก แต่หากมีปัจจัยอื่นๆ ก็ทำให้ผู้หญิงเข้าถึงผ้าอนามัยได้ยากเช่นเดียวกัน เช่น ในตุรกีหรือเลบานอน ที่ภาวะเงินเฟ้อทำให้ราคาผ้าอนามัยสูงกว่าที่ควรจะเป็น เช่น ตุรกีราคาผ้าอนามัยเพิ่มขึ้น 50% จากราคาในปีที่แล้ว โดยเป็นผลมาจากภาวะเงินเฟ้อที่เพิ่มขึ้นสูงถึง 36%

ดังนั้นจะเห็นได้ว่าการยกเลิกการเก็บภาษีจากผ้าอนามัยอาจไม่ได้เป็นหนทางเดียวที่จะทำให้ผู้หญิงสามารถเข้าถึงผ้าอนามัยได้มากขึ้น แต่อาจจะต้องมองไปยังบริบทต่างๆ ร่วมด้วย ทั้งเรื่องการขึ้นค่าแรงขั้นต่ำ หรือแม้แต่สวัสดิการผ้าอนามัยฟรี ดังเช่นที่มีการเรียกร้องเกิดขึ้นในหลายๆ ประเทศ 

ความเคลื่อนไหวเรื่อง “ภาษีผ้าอนามัย” รอบโลกและในประเทศไทย

นอกจากการรณรงค์ให้ลด หรือยกเลิกภาษีที่เรียกเก็บจากผ้าอนามัยแล้ว ยังมีบางประเทศที่ริเริ่มโครงการเพื่อสุขอนามัยแก่ผู้หญิง โดยชาติแรกที่เริ่มแจกจ่ายผ้าอนามัยฟรีให้ประชาชนคือสกอตแลนด์ ในปี 2020 หลังจากการรณรงค์ที่มีมาอย่างยาวนานกว่า 4 ปี ขณะที่สหราชอาณาจักร ในปี 2015 ก็มีการตั้งเป็นกองทุนผ้าอนามัย (Tampon Tax Fund) โดยเอาเงินที่ได้จากการเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มไปอุดหนุนโครงการนี้เพื่อแจกจ่าย ต่อมาก็มีนโยบายแจกผลิตภัณฑ์สุขอนามัยประจำเดือนแบบให้เปล่า (policy of free sanitary products) ในสถานศึกษาและสถานพยาบาลของรัฐด้วย 

สำหรับที่ไทยนั้น ปี 2021 มีประเด็นร้อนแรงจากกรณีที่ราชกิจจานุเบกษาประกาศให้ “ผ้าอนามัยแบบสอด” เป็นเครื่องสำอาง โดยระบุไว้ว่า  “ให้ผ้าอนามัยชนิดสอดที่ใช้สอดใส่เข้าไปในช่องคลอดเพื่อซับเลือดประจำเดือน เป็นเครื่องสำอาง” ซึ่งการระบุว่าเป็นเครื่องสำอางนั้น จะทำให้ผ้าอนามัยชนิดสอดกลายเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย และถูกเก็บภาษีมูลค่าเพิ่ม 30% จึงทำให้คนกังวลว่าราคาผ้าอนามัยอาจสูงขึ้น 

จนเกิดกระแสวิพากษ์วิจารณ์ในไทย พร้อมด้วยแฮชแท็ก #ภาษีผ้าอนามัย  #ผ้าอนามัยไม่มีภาษี #Saveผ้าอนามัย #แจกฟรีไม่ได้รึไง อย่างไรก็ตาม อธิบดีกรมสรรพสามิตยืนยืนว่าไม่เก็บภาษีผ้าอนามัยแบบสอดเป็นสินค้าฟุ่มเฟือย เพราะเป็นสินค้าจำเป็นสำหรับใช้ในชีวิตประจำวัน ซึ่งยังคงเก็บภาษีมูลค่าเพิ่มที่ (VAT) 7% 

แม้ว่าปัจจุบันยังไม่มีการลดอัตราภาษีให้ต่ำลง หรืองดเว้นอัตราภาษีมูลค่าเพิ่มสำหรับผ้าอนามัยจากหน่วยงานรัฐ แต่ก็มีบางมหาวิทยาลัยที่เริ่มมีโครงการนำร่อง ทำสวัสดิการผ้าอนามัยฟรีให้สำหรับผู้หญิง มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ถือเป็นต้นแบบมหาวิทยาลัยแห่งแรกในประเทศไทย ซึ่งงานนโยบาย สโมสรนักศึกษามหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ร่วมกับร้านสหกรณ์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ ทำโครงการ ‘ผ้าอนามัยฟรี’ ตั้งจุดผ้าอนามัยฟรีไว้ในห้องน้ำหญิงและที่สาธารณะในมหาวิทยาลัย รวมถึงทำศูนย์แจกจ่ายผ้าอนามัยให้นักศึกษาที่ต้องการประหยัดค่าใช้จ่าย ในปี 2021 หรือที่มหาวิทยาลัยสงขลานครินทร์ วิทยาเขตปัตตานี ก็เริ่มทำโครงการ “สวัสดิการผ้าอนามัยฉุกเฉิน” เพื่อความเท่าเทียมทางเพศใน 3 จังหวัดชายแดนใต้ ในช่วงเดือนกุมภาพันธ์ 2022 ซึ่งตั้งตู้แจกผ้าอนามัยในจุดต่างๆ 

ดูข้อมูลได้ที่ https://rocketmedialab.co/database-tampon-tax

อ้างอิง: 

ภาพ cover จาก unsplash

India scraps tampon tax after campaign – BBC News

200810_States with a Special VAT Treatment(2).xlsx – Schreibgeschützt (periodtax.org)

Resources (periodtax.org)

Menstrual Health and the Problem with Menstrual Stigma (fawco.org)

The Tampon Tax: Everything You Need to Know (globalcitizen.org)

‘Tampon tax’ paid around the world – BBC News

Half of the European countries levy the same VAT on sanitary towels and tampons as on tobacco, beer and wine | Civio

India scraps controversial tax on sanitary pads – CNN

Tampon Taxes, Discrimination, and Human Rights (pace.edu)

author

เรื่องอื่นที่เกี่ยวข้อง related posts

ปฏิทินกิจกรรม EVENT CALENDAR

Prev

June 2025

Next

Mon

Tue

Wed

Thu

Fri

Sat

Sun

26
27
28
29
30
31
1
2
3
4
5
6
7
8
9
10
11
12
13
14
15
16
17
18
19
20
21
22
23
24
25
26
27
28
29
30
1
2
3
4
5
6

2 June 2025

Nothing to show.

เข้าสู่ระบบ