นายราชัด โคเซีย ผู้อำนวยการอาวุโสฝ่ายวิจัยและนโยบาย แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเผยว่า ในขณะที่การชุมนุมโดยสงบในประเทศไทยขยายตัวขึ้น ทางการไทยยังคงใช้กฎหมายที่มีเนื้อหากำกวมและจำกัดสิทธิมากเกินไป เพื่อคุกคามและปิดปากประชาชน แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลจึงเรียกร้องทางการไทยให้ยกเลิกข้อหาทั้งหมดต่อผู้ชุมนุมอย่างสงบโดยทันที และให้ปล่อยตัวคนที่ยังถูกควบคุมตัวอยู่
“การชุมนุมที่ขยายตัวอย่างต่อเนื่องไปทั่วประเทศไทย เป็นสัญญาณบ่งบอกอย่างชัดเจนว่าประชาชนให้ความสำคัญอย่างยิ่งกับสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก และการชุมนุมโดยสงบ”
“แทนที่จะจัดพื้นที่ปลอดภัยให้ประชาชนเพื่อแสดงความคิดเห็น ทางการไทยกลับดำเนินคดีอาญาซ้ำแล้วซ้ำอีกกับการชุมนุมโดยสงบ ทั้งใช้กฎหมายที่ให้อำนาจอย่างกว้างขวางและมีเนื้อหากำกวม ข้อหาที่ทางการไทยใช้ดำเนินคดีกับแกนนำผู้ชุมนุมกลายเป็นเพียงยุทธวิธีเพื่อสร้างความหวาดกลัวให้ขบวนการ และอีกทั้งเป็นข้อหาโดยพลการ ไม่เหมาะสม และมีแรงจูงใจทางการเมือง”
เหตุจากตั้งแต่วันที่ 13 ตุลาคม มีผู้ถูกดำเนินคดีอย่างน้อย 84 คน ทำให้มีการชุมนุมเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องเกือบทุกวัน โดยการชุมนุมอย่างต่อเนื่องทั่วประเทศไทยนี้เริ่มขึ้นตั้งแต่เดือนกุมภาพันธ์ การชุมนุมครั้งนี้เป็นผลมาจากการที่ศาลรัฐธรรมนูญวินิจฉัยให้ยุบพรรคอนาคตใหม่ ซึ่งเป็นพรรคที่ได้ความนิยมในกลุ่มคนรุ่นใหม่ ในจำนวนผู้ที่ถูกดำเนินคดีนั้นรวมไปถึงเยาวชนสองคน อายุ 16 และ 17 ปี
การชุมนุมโดยสงบซึ่งมีข้อเรียกร้องสามข้อ ได้แก่ ให้ยุบสภาและจัดการเลือกตั้งใหม่ ให้มีการปฏิรูปทางการเมืองซึ่งรวมถึงการแก้ไขรัฐธรรม และให้หยุดคุกคามผู้วิจารณ์รัฐบาลอย่างสงบ
สืบเนื่องจากการชุมนุมที่เพิ่มขึ้นนับแต่วันที่ 15 ตุลาคม ทางการประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความ “ร้ายแรง” ห้ามการชุมนุมของบุคคลตั้งแต่ห้าคนขึ้นไปในพื้นที่กรุงเทพมหานคร รวมทั้งห้ามการเผยแพร่ข่าวหรือข้อความออนไลน์ที่ “อาจทำให้เกิดความหวาดกลัว” กระทบต่อความมั่นคงของรัฐหรือศีลธรรมอันดีของประชาชน
ยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉิน แต่ยังมีผู้ถูกดำเนินคดีจำนวนมาก และอีกหลายคนยังคงถูกควบคุมตัว
มีการยกเลิกประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความ “ร้ายแรง” เมื่อต้นสัปดาห์นี้ในวันที่ 22 ตุลาคม หลังจากนายกรัฐมนตรี ประยุทธ์ จันทร์โอชาแถลงการณ์ผ่านโทรทัศน์ในช่วงค่ำวันก่อนหน้า (แต่ทางการยังคงมีอำนาจในสถานการณ์ฉุกเฉินตามประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินอีกฉบับหนึ่ง ซึ่งมีผลบังคับใช้ตั้งแต่เดือนพฤษภาคม 2563 โดยมีเป้าหมายอย่างชัดเจนเพื่อควบคุมการระบาดของโรคโควิด-19)
ในคำแถลงเมื่อวันพุธ นายกรัฐมนตรีกล่าวถึงผู้ชุมนุมว่า“ปฏิบัติตนด้วยความสงบ มีเจตนาดีที่ต้องการขอความยุติธรรมให้เกิดขึ้นในสังคม และมีความจริงใจที่อยากจะเห็นประเทศดีขึ้น” แม้นายกจะกล่าวหาว่ามีผู้ชุมนุมส่วนน้อยที่ทำผิดทางอาญา โดยย้ำถึงบทบาทของการเปิดประชุมสมัยวิสามัญของรัฐสภา ในระหว่างวันที่ 26 และ 27 ตุลาคม เพื่อ “พูดคุยกัน ทำงานด้วยกัน ผ่านระบบและกระบวนการของรัฐสภา”
“นายกรัฐมนตรียอมรับว่า ผู้ชุมนุมส่วนใหญ่ชุมนุมด้วยความสงบ และการยกเลิกประกาศในสถานการณ์ฉุกเฉิน นับเป็นเรื่องน่ายินดีที่รัฐบาลตระหนักถึงสิทธิในเสรีภาพการชุมนุมและหาทางลดความตึงเครียดในการใช้อำนาจของทางการ”
“ณ เวลานี้ ทางการต้องทำมากกว่าแค่การแสดงวาทศิลป์ โดยต้องยกเลิกข้อหาต่อผู้ชุมนุมโดยสงบ และยกเลิกคำตัดสินต่อผู้ชุมุนมที่ถูกศาลลงโทษไปแล้วทั้งหมด การยกเลิกคำตัดสินต้องรวมไปถึงตั้งแต่ช่วงเวลาการเลือกตั้งเมื่อปี 2562 เนื่องจากผู้ชุมนุมได้ออกมาเรียกร้องโดยสงบ เพียงเพราะต้องการให้มีการปฏิรูป หรือการแสดงความคิดเห็นทางการเมือง”
ราชัดกล่าว
มีผู้ถูกควบคุมตัวจำนวนทั้งหมด 90 คนนับแต่วันที่ 13 ตุลาคม โดยมีการตั้งข้อหากับ 84 คน หกคนได้รับการปล่อยตัวโดยไม่มีการดำเนินคดี ส่วนใหญ่จะได้รับการประกันตัวออกมา แต่ยังมีผู้ถูกควบคุมตัวอีกแปดคน รวมทั้ง ปนัสยา สิทธิจิรวัฒนกุล (รุ้ง) พริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” แกนนำผู้ชุมนุมที่เป็นนักศึกษา อานนท์ นำภา ทนายความ ปติวัฒน์ สาหร่ายแย้ม หรือ แบงก์ เอกชัย หงส์กังวาน และสมยศ พฤกษาเกษมสุข อดีตนักโทษทางความคิด ภานุพงศ์ จาดนอก หรือ ไมค์ นักกิจกรรม และสุรนาถ แป้นประเสริฐ หรือ “ตัน” นักกิจกรรมด้านสวัสดิภาพเด็ก
“แกนนำผู้ชุมนุมเหล่านี้ถูกคุมขังเพียงเพราะแสดงความคิดเห็นของตนโดยสงบ เพื่อเรียกร้องการปฏิรูปทางการเมืองและสิทธิมนุษยชน ไม่มีเหตุผลที่ต้องควบคุมตัวพวกเขา และต้องปล่อยพวกเขาทันทีและโดยไม่มีเงื่อนไข” ราชัดกล่าว
ส่วนใหญ่ถูกดำเนินคดีในข้อหาที่กำกวมและรุนแรงเกินเหตุ
คาดว่ามีบุคคล 84 คนที่ถูกดำเนินคดีในข้อหาอาญานับแต่วันที่ 13 ตุลาคม ส่วนใหญ่ (65 คน) ถูกดำเนินคดีจากการละเมิดประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินที่มีความ “ร้ายแรง” ที่มีเนื้อหากำกวม และมีการยกเลิกไปเมื่อวันที่ 22 ตุลาคม
หลายคนถูกดำเนินคดีในข้อหา ‘ยุยงปลุกปั่น’ (มาตรา 116 ของประมวลกฎหมายอาญา) ซึ่งเป็นกฎหมายที่มีเนื้อหากำกวม และทางการมักนำมาใช้ปราบปรามผู้เห็นต่าง มีโทษจำคุกสูงสุดไม่เกินเจ็ดปี ส่วนบุคคลอื่นถูกดำเนินคดีในข้อหาเกี่ยวกับการใช้โซเชียลมีเดีย ซึ่งเป็นความผิดตามพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำความผิดทางคอมพิวเตอร์ ซึ่งมีเนื้อหากำกวมในหลายข้อบทเช่นกัน และมักถูกนำมาใช้เพื่อจำกัดสิทธิในเสรีภาพการแสดงออกของประชาชน ดังที่แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนล บันทึกไว้ ในรายงานที่เผยแพร่เมื่อต้นปีนี้
บุคคลทั้งสามคนได้แก่ บุญเกื้อหนุน เป้าทอง หรือ ฟรานซิส นักศึกษาระดับปริญญาตรี เอกชัย หงส์กังวาน นักกิจกรรมเพื่อประชาธิปไตย และสุรนาถ แป้นประเสริฐ นักกิจกรรมด้านสวัสดิภาพเด็ก ถูกดำเนินคดีตามมาตรา 110 ของประมวลกฎหมายอาญา ในข้อหา “กระทำการประทุษร้ายเสรีภาพของพระราชินี” ซึ่งมีโทษสูงสุดจำคุกตลอดชีวิต
ทั้งสามคนเข้าร่วมการชุมนุมโดยมื่อวันที่ 14 ตุลาคม ขณะที่ขบวนเสด็จของพระราชินีเคลื่อนผ่านมา ทางการไม่ได้อธิบายอย่างน่าเชื่อถือว่าเหตุใดจึงเลือกดำเนินคดีกับสามคนนี้ ทั้งที่มีประชาชนรวมตัวอยู่เป็นจำนวนมาก และไม่ได้อธิบายอย่างชัดเจน ว่าการกระทำตามข้อกล่าวหาของพวกเขา ก่อให้เกิดความเสี่ยงอันตรายอย่างไรบ้าง ภายหลังบุญเกื้อหนุน เป้าทอง ได้รับการประกันตัวออกมา ส่วนอีกสองคนยังคงถูกควบคุมตัว
คาดว่ามี 54 คนที่ถูกดำเนินคดีในหลายข้อหา และบางส่วนอาจได้รับโทษจำคุกเป็นเวลานาน โดยเฉพาะอย่างยิ่ง กรณีที่ร้ายแรงของพริษฐ์ ชีวารักษ์ หรือ “เพนกวิน” นักศึกษารัฐศาสตร์ อายุ 22 ปีที่ถูกดำเนินคดีอาญาอย่างน้อย 18 ข้อหา จากบทบาทในการประท้วงที่ผ่านมา รวมทั้งการชุมนุมเรียกร้องให้สอบสวนการอุ้มหายของวันเฉลิม สัตย์ศักดิ์สิทธิ์ บล็อกเกอร์ชาวไทยที่ลี้ภัยอยู่ในกัมพูชาและหายตัวไปที่นั่นเมื่อเดือนมิถุนายนที่ผ่านมา
“ทางการไทยต้องปฏิบัติตามพันธกิจล่าสุดที่จะลดความตึงเครียดของสถานการณ์ โดยต้องยุติการใช้กฎหมายในสถานการณ์ฉุกเฉินอย่างมิชอบ ยุติการจับกุมและการใช้กฎหมายคุกคามประชาชนจำนวนมาก” ราชัดกล่าว
แอมเนสตี้ อินเตอร์เนชั่นแนลเรียกร้องทางการไทย ให้เคารพพันธกรณีระหว่างประเทศที่จะต้องคุ้มครองสิทธิมนุษยชนที่จะมีสิทธิในเสรีภาพการแสดงออก และการชุมนุมโดยสงบ ที่เป็นไปตามกติการะหว่างประเทศว่าด้วยสิทธิพลเมืองและสิทธิทางการเมือง (ICCPR) รวมทั้งให้คุ้มครองสิทธิของบุคคลที่มีอายุต่ำกว่า 18 ปี ที่ได้เข้าร่วมการชุมนุมตามอนุสัญญาว่าด้วยสิทธิเด็ก ซึ่งมีผลบังคับใช้ต่อประเทศไทยทั้งสองฉบับ