หากพูดถึงประชาธิปไตยในโรงเรียน มันก็คงไม่ใช่แค่การเปิดให้มีระบบเลือกตั้งประธานนักเรียนเท่านั้น แต่เป็นการเปิดโอกาสให้ครูและนักเรียน ได้ตั้งคำถามอธิบาย อภิปราย โต้ตอบแสดงความคิดเห็นอย่างอิสระ
วันนี้ชวนผู้อ่านไปทำความรู้จักกับครูอรสิริพิมพ์ บริหารธนโชติ หรือว่าครูปุ้ย ครูที่ปรึกษาการส่งเสริมประชาธิปไตย โรงเรียนสันป่าตองวิทยาคม จ.เชียงใหม่ ในมุมมองครูที่พยายามสร้างประชาธิปไตยในโรงเรียน เกิดเป็นห้องเรียนประชาธิปไตย พื้นที่กลาง ที่ให้ครูและนักเรียนได้ ปลดปล่อยความคิดเห็น แสดงความเห็นต่าง
“ทำไมเรายังสอนเหมือนเดิม ทั้งที่โลกมันเปลี่ยนไปแล้ว”
นั่นเป็นประโยคที่ครูเอากลับมาถามตัวเองว่า เรายังจะเป็นครูแบบเดิม หรือว่าจะเป็นครูเพื่อนำพาเด็กไปสู่อนาคตที่พวกเขาต้องการ
เราสอนวิชาสังคม เราสอนบทบาทหน้าที่พลเมือง เราจะไปบอกเขาว่าเธอต้องมีประชาธิปไตยนะ เธอต้องเข้าใจมัน เราไปบอกเขาโดยที่ในห้องเรียนนี้เอง เขายังไม่มีโอกาสมีส่วนร่วมในการออกแบบมันเลย ซึ่งการมีส่วนร่วมมันคือหัวใจของประชาธิปไตย เขายังไม่มีสิทธิ์ที่จะพูดเลย เมื่อเราอยากเห็นการเปลี่ยนแปลง แต่ห้องเรียนยังเหมือนเดิม ครูไม่เคยเปลี่ยนการสอน มันก็ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ดังนั้น ครูจึงคิดว่าถ้าอยากให้เด็กเปลี่ยนแปลง ห้องเรียนก็ต้องเปลี่ยน ที่เกิดจากนักเรียนร่วมออกแบบ เป็นหลักประชาธิปไตยที่เอาเข้ามาอยู่ในวิถีชีวิตของเด็ก มันจึงเกิดเป็นห้องเรียนประชาธิปไตย
ห้องเรียนประชาธิปไตย เครื่องมือนำประชาธิปไตยสู่การปฏิบัติจริง
ห้องเรียนประชาธิปไตย คือ การเอากระบวนการประชาธิปไตยมาใส่ไว้ในห้องเรียน มันวิธีการการอยู่ร่วมกันในสังคมขนาดย่อม เมื่อเขาออกจากห้องเรียนนี้ไป ให้เขามีทัศนคติที่ดีต่อเพื่อน ไม่มีการบูลลี่ ไปใช้ชีวิตในสังคมได้อย่างมีความสุข เกิดสำนึกในบทบาทหน้าที่ของพลเมืองอย่างถูกต้อง
ชั่วโมงแรกของการเรียน นักเรียนจะเขียนแสดงวามคิดเห็น ว่าอยากให้ห้องเรียนที่เราจะอยู่ร่วมกันตลอด 1 เทอมนี้ เป็นอย่างไร จากนั้นครูจะเอาความคิดเห็นและข้อเสนอต่าง ๆ มาออกแบบการเรียนการสอนให้เป็นไปตามที่เด็ก ๆ ต้องการ สร้างข้อตกลงร่วมกัน การเข้ามาเรียนในห้องนี้ มันจะเหมือนเป็นการมาแลกเปลี่ยนกัน ใช้สิทธิของตัวเองในการพูดคุย กล้าพูด กล้าแสดงความคิดเห็น และรับฟัง บนพื้นฐานหลักสิทธิมนุษยชน และต้องมาพร้อมกับเหตุผล มันไม่มีเหตุผลถูกหรือผิด แต่อยู่ที่ว่า ใครสามารถสนับสนุนเหตุผลนั้นได้ดี
“ถ้าทำแบบนี้ เราไม่ต้องบอกเลยว่าประชาธิปไตยคืออะไร เพราะมันเป็นสิ่งที่เข้าทำอยู่แล้ว”
แล้วในสถานการณ์ปัจจุบัน ที่นักเรียนออกมาแสดงเชิงสัญลักษณ์ในตอนนี้ ครูควรมีบทบาทหน้าที่อย่างไร
ถ้าพูดถึงบทบาทของครูกับสถานการณ์ที่นักเรียนออกมาแสดงเชิงสัญลักษณ์ในตอนนี้ คือต้องเข้าใจก่อนว่าครูก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ที่มีความรู้สึก และอาจจะมีความนึกคิดเรื่องการเมืองที่แตกต่างกัน ครูว่าสิ่งที่สำคัญคือ เราต้องไม่ยัดเยียดความคิดของเราใส่เข้าไปให้เด็ก กลับกันคือเราต้องเปิดรับสิ่งที่เด็ก ๆ คิด ลองคิดง่าย ๆ เราเอาหลักประชาธิปไตยเข้ามาใช้ เราต้องเคารพจุดยืนทางการเมืองของแต่ละคน เราต้องเปิดใจรับฟังตรงนี้ ซึ่งถ้าทำได้ครูเชื่อว่ามันจะลดแรงเสียดทานครูกับเด็กได้
แต่หน้าที่ความเป็นครูเราก็ยังต้องทำอยู่ เราต้องคอยชี้แนะ บางอย่างที่อาจจะไม่เหมาะสม เช่น เรื่องการใช้ภาษาในการโพสต์บนโซเชียล ครูก็จะบอกเด็กเสมอว่า เราพูดถึงสิ่งที่เราอยากสื่อสารได้ โดยไม่จำเป็นต้องใช้คำหยาบ คำรุนแรง หรือแม้แต่การแชร์ เราต้องศึกษาข้อมูลก่อน กลั่นกรองก่อนว่าข้อความนั้น ๆ เป็นความจริงหรือไม่ ก่อนที่จะแชร์อะไรไป
ถอดบทเรียน 4 ปี กับบทบาท “ครูส่งเสริมประชาธิปไตยในโรงเรียน”
“ผ่านมา 4 ปี เราเห็นว่า ช่วงเวลาที่ผ่านมา มันมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงของเทคโนโลยี”
ปีแรกที่ครูมาทำงานตรงนี้ ครูเห็นว่าเด็ก ๆ ยังไม่ได้ตระหนักในเรื่องของการเมืองมาก พวกเขาก็จะไม่ได้มีการแสดงออกทางการเมืองที่ชัดเจน แต่เด็กรุ่นหลัง ๆ มานี้ เขาเริ่มเรียนรู้บทบาทของตัวเอง พอรู้แล้ว เขาก็เริ่มที่จะแสดงออกด้วยวิธีการต่าง ๆ
4 ปีที่ผ่านมา เด็ก ๆ ค่อย ๆ เริ่มเติบโตในเรื่องกระบวนการคิด การทำงานเป็นทีม ตั้งแต่การผลักดันเพื่อแก้ปัญหาต่าง ๆ ให้โรงเรียนดีขึ้น รวมไปถึงภาพใหญ่ในเรื่องการเมือง ที่พวกเขากล้าที่จะแสดงความคิดเห็น กล้าที่จะพูด กล้าที่จะสู้ในเชิงสัญลักษณ์ แต่สิ่งที่สำคัญสำหรับครูมองนะ ครูมองว่าเด็ก ๆ เขายังแยกแยะออกว่า สิ่งไหนทำแล้วเหมาะสม ไม่เหมาะสม ส่วนบทบาทหน้าที่ของครู ก็คอยอยู่ข้าง ๆ เขา คอยรับฟัง คอยให้คำแนะนำโดยไม่ชี้นำในสิ่งที่เขาคิด