วันนี้(23เม.ย.61) ถือเป็นอีกวันที่คุณภาพอากาศในจังหวัดเชียงใหม่อยู่ในขั้นวิกฤตหนัก จากตรวจวัดค่าฝุ่นละอองขนาดเล็ก PM2.5 โดยความร่วมมือของมหาวิทยาลัยเชียงใหม่ และจังหวัดเชียงใหม่ ตามจุดวัดในอำเภอต่างๆพบว่า บางจุดอยู่ในระดับอันตราย เช่น ที่อ.กัลยาณิวัฒนา ในช่วง 5.00น.วัดค่าได้สูงถึง 558 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร (มคก./ลบ.ม) ซึ่งสูงกว่า 5 เท่าของค่าเฉลี่ยที่ประเทศไทยกำหนด คือต้องไม่เกิน 50 มคก./ลบ.ม. ในขณะที่จุดตรวจวัดอ.จอมทองวัดได้ 383 ไมโครกรัมต่อลูกบาศก์เมตร อยู่ในขั้นอันตรายเช่นกัน และพบว่าทุกจุดที่สามารถตรวจวัดค่าได้เกินค่ามาตรฐานทั้งหมด
รศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ หัวหน้าหน่วยวิชาโรคระบบการหายใจ เวชบำบัดวิกฤตและภูมิแพ้ ภาควิชาอายุรศาสตร์ คณะแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยเชียงใหม่ แนะนำให้ประชาชนสวมหน้ากาก N95 งดการทำกิจกรรมและหากไม่จำเป็นไม่ควรอยู่ในที่แจ้งนานๆ รวมถึงควรมีการแจ้งเตือนให้ประชาชนทราบ โดยยึดค่า PM2.5 เป็นหลัก
เนื่องจากค่า PM2.5 เป็นค่าที่เกิดจากการเผาไหม้ ทั้งจากไอเสียรถยนต์ หรือการเผาพืชทางการเกษตร หรือไฟป่า ซึ่งหากดูเฉพาะค่า PM10 ส่วนPM10 จะสูงขึ้นในพื้นที่ก่อสร้างต่างๆ หากดูเฉพาะ PM10 จะเหมือนอากาศยังดีอยู่ การประเมินสภาพอากาศในช่วงเกิดหมอกควันภาคเหนือจึงจำเป็นที่จะต้องดูที่ค่า PM2.5 เป็นหลัก ซึ่งเป็นมาตรฐานที่องค์กรอนามัยโลกใช้อยู่ในปัจจุบันด้วย
โดยค่า PM2.5 นั้เป็นค่าที่สะท้อนอนุภาคขนาดเล็กซึ่งมีผลกระทบต่อร่างกายได้รุนแรงที่สุด ส่วน PM10 (ขนาด 2.5 -10 ไมครอน) ส่วนใหญ่เราหายใจเข้าไปในปอด ก็จะตกค้างอยู่ในปอด ซึมเข้าสู่กระแสเลือดเป็นส่วนน้อย แต่ PM2.5 นั้นนอกจากจะซึมเข้าไปในปอดแล้วจะซึมเข้าสู่เส้นเลือดฝอย เข้าไปที่เส้นเลือดสมอง เส้นเลือดหัวใจ และทำการอักเสบให้กับร่างกายได้รุนแรงกว่าประมาณ 1.7 เท่าของ PM10
รศ.นพ.ชายชาญ โพธิรัตน์ ยังกล่าวอีกว่า แม้ว่าหลายจังหวัดจะไม่สามารถวัดค่า PM2.5 นั้นได้ แต่สามารถนำค่า PM10มาคำนวณเป็นPM2.5 ได้เช่นกัน ซึ่งประชาชนทั่วไปในเชียงใหม่สามารถเข้าไปตรวจสอบคุณภาพอากาศได้ที่ http://www.cmaqhi.org/ โดยการอ่านค่าจะระบุเป็นแถบสีต่างๆตามระดับความปลอดภัย ตั้งแต่สีเขียว สีเหลือง สีแดง สีม่วงและสีแดงเลือดนก ที่เป็นระดับอันตรายสูงสุด
ทั้งนี้ยังมีข้อเสนอให้ประกาศวิกฤตสภาพอากาศเป็นวาระแห่งชาติ พร้อมทั้งจะต้องมีความร่วมมือ หรือมีมาตรการที่เป็นรูปธรรมทั้งระยะสั้น ระยะยาวในการแก้ปัญหา หากไม่แก้ไขจะเกิดการสูญเสียอย่างมหาศาล รวมถึงต้องมีการพูดคุยในระดับอาเซียนเพื่อช่วยกันแก้ปัญหาที่เกิดขึ้นจากหมอกควันข้ามพรมแดนด้วย